ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจตราดูคูหาและลานบ้านของจ้าวมารจันทราวายุ ตลอดจนสถานที่ที่เขาไปเป็นประจำในบันทึกอย่างเงียบเชียบรอบหนึ่งราวกับพรานป่า
“ไม่มีเลย”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นภายในหอสุราของเมืองเล็กอันห่างไกลแห่งหนึ่ง ดื่มสุราชั้นเลิศ กินอาหารเลิศรส “ดีร้ายอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นที่สอง พอวังเทพจิตโลกาเปิด ก็ตกใจกลัวขนาดนี้เลยหรือ คูหาและลานบ้านของตัวเองก็ยังไม่กล้าอยู่เลยด้วยซ้ำ”
รัฐเหินประจิมเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่ามารที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
นอกจากบรรพชนเหินประจิมและจอมเคารพสะบั้นฟ้าผู้สูงส่ง ระดับจอมเคารพสองคนนี้แล้ว…
ที่ตามมาก็คือสี่วายร้ายเหินประจิมซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นที่สองเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า แต่ก็สามารถบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้ แต่ละคนก็มิใช่ผู้ที่จะสามารถยั่วยุได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นบุคคลระดับจอมเคารพ ก็แค่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาระดับหนึ่งเท่านั้น การจะสังหารพวกเขาก็เป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง! พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมห่างชั้นกับจอมเคารพอยู่แล้ว แต่ก็มีความมั่นใจในการจัดการกับจ้าวมารจันทราวายุ
เป็นเพราะว่าอาศัย ‘อาภรณ์ราชันย์มาร’ ทำให้เคล็ดวิชาทางด้านวิญญาณของตนสามารถคุกคามผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นที่สองได้
“สี่วายร้ายเหินประจิม ระดับจิตใจของจ้าวมารจันทราวายุมีข้อบกพร่อง เป็นเพียงคนเดียวที่ข้ามีความมั่นใจที่จะใช้เคล็ดวิชาทางด้านวิญญาณจัดการ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
คนอื่นๆ อีกสามคน
จิตวิญญาณไม่มีข้อบกพร่องเลย พูดถึงปณิธานดวงจิตก็มิได้แตกต่างจากระดับจอมเคารพมากสักเท่าใดนัก เพียงแค่ขาดสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ทำได้เพียงสำรวจตรวจตราไปทุกหนแห่งเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราไปพลาง สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาทำการสำรวจตรวจตราทุกหนแห่งไปพลาง
……
การสำรวจตรวจตราทลายโลกาเป็นวิธีการที่โง่เง่าที่สุด อีกทั้งยังตรงไปตรงมาที่สุดด้วย! ตอนนั้นที่เสาะหารังระดับเกราะทองที่ทางเดินโลกาพิศวง ตงป๋อเสวี่ยอิงสิ้นเปลืองเวลานับล้านล้านปีก็ยังเสาะหาได้ไม่หมด เพราะว่า ‘สำรวจตรวจตราทลายโลกา’ สามารถปูพรมค้นหาได้แค่ทีละแห่งเท่านั้น อัตราเร็วเชื่องช้าอย่างยิ่ง และภารกิจในครั้งนี้มีระยะเวลาจำกัดอยู่เพียงแค่เก้าหมื่นปีเท่านั้น!
“น่าเสียดายที่ข้าไม่ถนัดทางด้านการสะกดรอย ถ้าหากข้าถนัดการสะกดรอย สามารถขจัดเคล็ดที่ปิดบังเอาไว้ได้ เช่นนั้นก็คงจะยอดเยี่ยมเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง
อย่างเช่นการสะกดรอยของเจ้าศิลานั้นร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง
ภายในโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ไม่มีที่ใดเลยที่เขาไม่ตรวจหา
ดินแดนจิตโลกาอันเวิ้งว้าง…ผู้ที่สะกดรอยได้ร้ายกาจกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีอยู่มากมายนัก! เบื้องหลังของเขาก็คือท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา นอกจากนี้เขายังไม่อยากรบกวนท่านอาจารย์ในเรื่องนี้ด้วย
“ค่อยๆ หาไปก็แล้วกัน”
“นอกจากนี้ เชื่อว่านอกจากข้าแล้วคงจะมีผู้แกร่งกล้ารัฐโบราณคนอื่นๆ จับจ้องที่นี่อยู่เหมือนกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง
*****
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงทลายโลกาสอดแนมสถานที่แต่ละแห่ง เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามพันปีแล้ว
ยามราตรี
“หืม มารตนนี้หรือ” ภายในลานเล็กแห่งหนึ่ง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวกำลังนั่งดื่มอยู่ตามลำพัง ประกายหนาวเหน็บสายหนึ่งวาบผ่านดวงตา เขาสอดแนมไปถึงยังคูหาแห่งหนึ่ง
ภายใน ‘จวนเฉียหย่ง’ ที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่เป็นที่สุด
ที่คุกใต้ดินภายในจวน
คุมขังนักโทษกลุ่มใหญ่เอาไว้เป็นจำนวนมาก บรรดานักโทษเหล่านี้กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าล้วนถูกทรมานจนมีบางส่วนวิปลาสไปเสียแล้ว
“อืม”
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงามคนหนึ่งเดินทอดน่องอยู่ภายในคุกใต้ดิน หลังจากที่บรรดานักโทษภายในคุกเหล่านั้นได้เห็นเขาแล้ว พวกที่วิปลาสต่างก็ตาแดงก่ำแล้วคลุ้มคลั่งขึ้นมา พวกที่นั่งอยู่อย่างสงบต่างก็ขบกรามจ้องเขาเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงขนาดที่มีจำนวนมากก่นด่าสาปแช่งเขาอย่างโกรธแค้น “บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าอยากจะใช้ชีวิตของข้าสาปแช่งเขา สาปแช่งพญามารเฉียหย่งผู้นี้ สาปแช่งให้มันตาย ให้มันตายไปเสีย!!”
“พญามารเฉียหย่ง…”
ความโกรธแค้นล้นฟ้า นักโทษจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความชิงชัง
ทว่าชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงามกลับเผยรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยปากพูดกับลูกน้องด้านหลังว่า “ดีมาก ทรมานพวกเขาต่อไป ให้ความแค้นนี่สาหัสขึ้นอีกก็ยิ่งดีเลย”
“ขอรับๆ” เหล่ายามรักษาการณ์ที่อยู่ด้านหลังรับคำอย่างเคารพ
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงามยื่นมือออกมาแล้วสะบัดแขนขวายื่นตรงเข้าไปภายในคุกห้องหนึ่ง บรรดานักโทษแต่ละคนที่ถูกคุมขังอยู่ภายในคุกห้องนั้นดูดกลืนพลังเข้าไปอย่างหวาดหวั่น ร่างกายของเหล่านักโทษแต่ละคนสั่นสะท้าน หลังจากนั้นก็กลายเป็นผุยผงจนหมด พลังวิญญาณแค้นอันเข้มข้นขุมหนึ่งลอยเข้าสู่กลางอุ้งมือขวาของชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงาม กลางฝ่ามือของเขามีหุบเหวลึกไร้ก้นอยู่แห่งหนึ่ง กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างลงไป
เขาเดินทอดน่องอยู่ภายในคุก แล้วกลืนกินนักโทษผู้อยู่ในคุกที่มีความแค้นหนาแน่นเหล่านี้ลงไป
“เจ้านาย” เงาร่างอันรางเลือนจากที่ไกลๆ ด้านหลังสายหนึ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว รอจนเข้ามาใกล้แล้วก็แปลงกายเป็นชายชราผมสีเงินคนหนึ่ง
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงามกลืนกินอย่างต่อเนื่องไปพลาง เผยสีหน้ารอคอยไปพลางแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้านาย ประชากรนับล้านล้านคนของเมืองเล็กแห่งนั้นถูกจับเป็นมาจนหมดสิ้นแล้วขอรับ” ชายชราผมสีเงินยื่นมือออกมา กลางอุ้งมือก็คือแหวนสีทองวงหนึ่ง “ถูกขังอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์นี้หมดเลยขอรับ”
“ดี ดีมาก เจ้าทำได้ดีมากทีเดียว” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงามได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้ายินดี “ต่อไปเจ้าก็ทรมานพวกเขาให้ข้าหนักๆ ล่ะ ยิ่งแค้นเคืองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“ขอรับ” นัยน์ตาของชายชราผมสีเงินเต็มไปด้วยความคาดหวังและความกระหายสังหาร
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงามยิ้มตาหยีพร้อมทั้งยื่นมือเข้าไปภายในคุกอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
ภายในคุกห้องนั้นก็มีนักโทษอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง
“มาร มาร” สาวน้อยผู้หนึ่งดวงตาแดงก่ำไปหมด ทั้งสำนักของนางล้วนถูกจับกุมตัวมาจนสิ้น แต่ละคนเผชิญกับโทษทัณฑ์ทรมานนานาชนิด อีกทั้งยังถูกพญามารผู้นี้กลืนกินอีกด้วย
“ในที่สุดก็ถึงตาข้าแล้วหรือ” สาวน้อยเอ่ยพึมพำ “ข้าเกลียดนัก บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาล จักรพรรดิเทพผลาญโลกา จักรพรรดิเซี่ย…บุคคลผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งเหนือผู้ใดเอ๋ย ข้าขอร้องพวกท่านล่ะ ข้าเต็มใจจะพลีชีวิตและวิญญาณของข้าให้ ขอเพียงแค่เขาตายเท่านั้น”
ตอนที่มือข้างนั้นยื่นเข้ามาใกล้คุกนั่นเอง ทันใดนั้น…
ขณะที่เหล่ายามรักษาการณ์และพวกชายชราผมสีเงินที่อยู่ข้างๆ แต่ละคนต่างก็มองดูอยู่อย่างตื่นเต้นนั้นเอง ทันใดนั้นชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรางดงามก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างไร้ซึ่งร่องรอย จากนั้นชายชราผมสีเงินและยามรักษาการณ์บางส่วนก็ร่วงหล่นลงมาจนหมดเสียงดังฟึ่บๆๆ แต่ละคนต่างก็มิได้ส่งเสียงเลย
“ปัง”
บรรดานักโทษที่มีอยู่ทั้งหมดในคุกใต้ดินรวมถึงแหวนวงนั้นต่างก็ถูกฝืนเคลื่อนย้ายจากไปในชั่วพริบตา
ท่ามกลางความเวิ้งว้างที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่เป็นที่สุดแห่งหนึ่ง
เหล่านักโทษจำนวนมากและบรรดาประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในแหวนสีทองต่างก็ปรากฏตัวขึ้น ผนึกของนักโทษเหล่านั้นก็ถูกคลายออกจนหมดด้วย
“นี่ นี่มัน…”
เหล่านักโทษที่เดิมทีเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเกลียดชังต่างพากันมองไปทั่วทุกทิศอย่างตื่นตะลึง บริเวณโดยรอบอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ปกคลุมด้วยราตรีกาล
“พวกเราออกมาแล้วหรือ”
“พวกเรา…”
เหล่านักโทษและบรรดาประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากภายในแหวนต่างก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว
จากนั้นผู้คนจำนวนมากต่างก็พากันคุกเข่าลง “ขอบคุณผู้อาวุโสที่มีบุญคุณช่วยชีวิต! ขอบคุณผู้อาวุโสที่มีบุญคุณช่วยชีวิต!” น้ำเสียงสายแล้วสายเล่าดังกึกก้องฟ้าดิน
พวกเขาต่างก็เข้าใจว่าเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่มีฝีมือลึกล้ำยากหยั่งถึงคนหนึ่งช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ แต่ละคนเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เพราะเรื่องด้านมืดในโลกก็มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่กล้าเป็นอริกับมารจำนวนนับไม่ถ้วนของรัฐเหินประจิมก็มีอยู่เพียงน้อยนิดอย่างที่สุด ผู้ที่เต็มใจจะลงมือช่วยเหลือผู้อ่อนแออย่างพวกเขาก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่! ถึงอย่างไรในสายตาของผู้แกร่งกล้าจำนวนมาก ผู้อ่อนแอล้วนราวกับมดปลวกทั้งสิ้น
สามารถไม่รังแกผู้อ่อนแอได้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว ผู้ที่ช่วยเหลือพวกเขาโดยไร้ซึ่งเหตุผลก็ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่! ถึงอย่างไรดินแดนจิตโลกาก็กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ก็มีเรื่องพรรค์นี้มากมายเหลือเกิน
……
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งจิบสุราอยู่ภายในลานบ้านมีแววร้ายกาจสายหนึ่งพาดผ่าน “เฮอะ ความหนักหนาของสายเหตุปัจจัยความแค้นของมารตนนี้มิอาจจินตนาการได้เลย สมควรตายนัก!”
เขาทลายโลกาสอดแนมรัฐเหินประจิม เดิมทีรัฐเหินประจิมก็เป็นสถานที่รวมตัวของมารอยู่แล้ว มีมารมากมายเหลือเกิน ถ้าหากสังหารแต่ละตนจนหมด! เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะเปิดศึกกับรัฐเหินประจิมอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้กระทั่งรัฐโบราณสหโลกาก็ยังจัดการ ‘บรรพชนเหินประจิม’ มิได้ เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมิได้แข็งกร้าวเช่นนั้นในตอนนี้… เขาก็คร้านจะไปใส่ใจมารจำนวนมากมายให้มากเกินไปนัก
มีเพียงมารที่ร้ายกาจอย่างที่สุดเท่านั้น อย่างเช่นมารที่มีนามว่า ‘เฉียหย่ง’ เมื่อครู่ เขาก็ไม่มีทางทนรับได้เลยจริงๆ!
มารธรรมดาทั่วไปก็เพียงแค่มีฝีมือร้ายกาจสักหน่อยเท่านั้น! หากแต่การบำเพ็ญครั้งหนึ่งของ ‘เฉียหย่ง’ ก็ต้องแลกด้วยชีวิตนับล้านล้านชีวิต ความร้ายกาจของมารพรรค์นี้น่ากลัวกว่ามารธรรมดาทั่วไปไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“สมควรตายนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสลัดออกจากหัวสมองไปในทันที แล้วสอดแนมสถานที่อื่นๆ ของรัฐเหินประจิมต่อไป
******
ณ จวนเฉียหย่ง
มารขั้นอลวน ‘เจ้าเมืองเฉียหย่ง’ ตายไป นักโทษที่ขังไว้ในคุกใต้ดินก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยจนหมดสิ้น ก็ไปกระตุ้นเตือนระดับสูงของรัฐเหินประจิมในทันที
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”
มีผู้แกร่งกล้าเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง ต่างก็เป็นสำนักวิชาเดียวกันกับเจ้าเมืองเฉียหย่งทั้งสิ้น
ภายในรัฐเหินประจิมก็แบ่งออกเป็นหลายสำนักวิชา
“ตายแล้วหรือ” เงาร่างสามสายที่อยู่ภายในคุกใต้ดินมองดูเจ้าเมืองเฉียหย่งที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น ที่ตายไปด้วยกันในบริเวณรอบๆ ยังมีชายชราผมสีเงินและยามรักษาการณ์จำนวนหนึ่งด้วย ต่างก็เป็นสายเหตุปัจจัยความแค้นอันหนาหนักที่ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบตอนที่จงใจสังเกตเหตุปัจจัย ‘ลบเลือน’ ไปอย่างง่ายดายเสียแล้ว
“สมบัติล้ำค่าในตัวศิษย์น้องเฉียหย่งยังคงอยู่เช่นเดิม อีกทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บที่อื่นๆ เลยด้วย ถูกผลาญวิญญาณอย่างนั้นหรือ”
“อืม เป็นวิญญาณนั่นแหละ คนอื่นๆ ทุกคนต่างก็ถูกผลาญวิญญาณกันหมด”
“ทางด้านวิญญาณหรือ”
ยอดฝีมือขั้นอลวนสามคนที่อยู่ที่นั่นประสานสายตากัน แต่ละคนหน้าถอดสี เดิมทียอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณก็น่ากลัวอยู่แล้ว สามารถสังหาร ‘เจ้าเมืองเฉียหย่ง’ อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงได้ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถผลาญสังหารพวกเขาได้ภายในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน
“เป็นใครกันที่บังอาจถึงเพียงนี้ กล้าลงมือกับศิษย์น้องเฉียหย่งได้ ไปรายงานท่านอาจารย์เร็วเข้า! จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้แน่!”
“หาตัวฆาตกรให้เจอแล้วฆ่ามันเสีย”
พวกเขาแต่ละคนถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน เหล่ามารแห่งรัฐเหินประจิมต่างก็โอหังกันเป็นอย่างยิ่ง เพียงคำสั่งเดียวของประมุขรัฐเหินประจิม พวกเขาก็กล้าไปก่อความวุ่นวายที่หกรัฐโบราณแล้ว จะเห็นได้ถึงความมุทะลุทำตามอำเภอใจ
พรึ่บ
เงาร่างสองสายหนึ่งชายหนึ่งหญิงลอยเข้ามา บุรุษชุดเขียวที่นำหน้ามามีสีหน้าอึมครึม
“ศิษย์พี่ใหญ่”
สามคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นคารวะอย่างเคารพนบนอบ พลังยุทธ์ของศิษย์พี่ใหญ่แข็งแกร่งกว่ามากนัก ซึ่งก็คือยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในสำนักที่มีพลังรบระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ
“พวกเจ้าตรวจสอบกันมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้างเล่า” บุรุษชุดเขียวเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย
“เรียนศิษย์พี่ใหญ่ ฆาตกรเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณขอรับ” หนึ่งในคนเหล่านั้นเอ่ยขึ้น “สังหารศิษย์น้องเฉียหย่งและลูกน้องที่อยู่รอบๆ บางส่วนอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงในชั่วพริบตา อีกทั้งนักโทษที่ขังเอาไว้ทั้งหมดก็ถูกเคลื่อนย้ายหนีไปด้วยขอรับ!”
“ในชั่วพริบตาอย่างนั้นหรือ” บุรุษชุดเขียวถามย้ำ
“ขอรับ มียามรักษาการณ์บางส่วนโชคดีรอดมาได้ พวกเขาบอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้นขอรับ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ มันบังอาจสังหารศิษย์น้องของพวกเรา เรื่องนี้จะปล่อยไปเช่นนี้มิได้แล้วนะขอรับ! จะต้องหาตัวฆาตกรให้พบแล้วฆ่ามันให้ได้”
คนอื่นๆ ต่างก็พากันพูดขึ้น
พวกเขารู้ว่าฆาตกรผู้นี้ร้ายกาจนัก แต่พวกเขาก็ยังมีท่านอาจารย์อยู่ เหนือท่านอาจารย์ขึ้นไปก็ยังมีระดับที่สูงกว่าอยู่อีก! รัฐเหินประจิม จะมีก็แต่พวกเขารังแกคนอื่นเท่านั้น มีคนอื่นมารังแกพวกเขาตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า
“เฮอะ”
บุรุษชุดเขียวส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งพลางกวาดตามองอย่างเยียบเย็น “โง่เง่านัก”
ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึง แม้กระทั่งหญิงสาวข้างกายเขาก็ยังเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่”
บุรุษชุดเขียวเอ่ยอย่างเรียบเฉย “บอกพวกเจ้าตามความจริงก็แล้วกัน เมื่อหลายพันปีก่อน วังเทพจิตโลกาก็ค่อยๆ เริ่มเปิดทีละน้อย”
“วังเทพจิตโลกาหรือ”
“วังเทพจิตโลกาหรือ”
แต่ละคนพากันตื่นตระหนก
พวกเขาสามารถเป็นขั้นอลวนได้ อีกทั้งยังล่วงรู้เรื่องที่เล่าขานกันทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วย วังเทพจิตโลกานั้นก็คือสถานที่ในตำนานเล่าขาน! เหล่าเทพจักรวาลต่างก็เสี่ยงชีวิตหมายจะเข้าไป แต่ผู้ที่สามารถเข้าไปได้นั้นมีน้อยจนน่าอนาถ อย่างเช่นพวกบรรพชนเหินประจิมและจอมเคารพสะบั้นฟ้านั้นก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย
“วังเทพจิตโลกาค่อยๆ เปิดออก ภายในหกรัฐโบราณก็มีการต่อสู้ชิงตำแหน่ง พวกเขาในเวลานี้สามารถทำการล่าค่าหัวพญามารจำนวนหนึ่งของทั้งดินแดนจิตโลกาได้” บุรุษชุดเขียวพูด “รัฐเหินประจิมของพวกเราก็อาจมีระดับสุดยอดอยู่หลายคนที่สามารถถูกจัดชื่อไว้ในทำเนียบรายนามล่าค่าหัวได้ พวกเขาไล่ล่าสังหารพวกเราเพื่อให้ได้รับความดีความชอบ เพื่อตัดสินตำแหน่งในท้ายที่สุด”
“ดังนั้น ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนก็มีผู้แกร่งกล้าของหกรัฐโบราณลอบเข้ามายังรัฐเหินประจิมของพวกเราแล้วล่ะ”
“พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นนักล่า…ต่างก็กำลังเสาะหาเหยื่อกันอยู่”
บุรุษชุดเขียวน้ำเสียงเยียบเย็น
“แต่ว่า ศิษย์พี่ใหญ่ เทพจักรวาลที่น่าหวาดหวั่นเหล่านั้น เหยื่อก็สามารถตกรางวัลได้กระมัง พวกเขาก็ลงมือกับคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเรานี้ด้วยหรือ” ขั้นอลวนคนอื่นๆ อีกสี่คนก็มีความอกสั่นขวัญแขวนเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างก็รู้ว่าทุกครั้งที่เปิดวังเทพจิตโลกาล้วนก่อให้เกิดคลื่นลมอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้น
เพราะในเวลาปกติ
เทพจักรวาลที่น่าหวั่นเกรงเหล่านั้นก็ไม่มีทางมาล่าสังหารอย่างง่ายดายอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง! มีเพียงยามที่มีการต่อสู้ชิงตำแหน่งเท่านั้นที่มีแรงดึงดูดมากพอ พวกเขาจึงจะมา ตามปกติแล้วในเวลานี้ อย่างเช่น ‘สี่วายร้ายเหินประจิม’ พวกเขาแต่ละคนต่างก็หวาดกลัวเสียจนต้องคอยหลบซ่อนตัว
“ใช่แล้ว เหยื่อของพวกเขาก็คือระดับสูงสุดของรัฐเหินประจิมเรา” บุรุษชุดเขียวยิ้มเย็น “แต่ทว่าสำหรับเทพจักรวาลที่น่าหวาดหวั่นอย่างพวกเขา สังหารคนอย่างพวกข้าก็คือการเหยียบย่ำมดปลวกให้ตาย อีกประเดี๋ยวศิษย์น้องเฉียหย่งเขาก็จะถูกบุคคลที่น่าหวาดหวั่นคนหนึ่ง ‘เหยียบย่ำให้ตาย’ แล้ว ดังนั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไปก็เจียมเนื้อเจียมตัวกันสักหน่อย ทำตัวดีๆ หน่อย อย่าก่อเรื่องวุ่นวาย ถึงแม้ว่าข้าจะสงสัยว่าเทพจักรวาลที่น่าหวั่นเกรงผู้นั้นลอบสังเกตพวกเราอยู่อย่างลับๆ พวกเราก็คงจะมิอาจค้นพบได้หรอก”
ทั้งสี่คนในที่นั้นหัวใจสั่นสะท้านพลางอดที่จะมองดูบริเวณรอบๆ มิได้
………………………………….