ในเมื่อท่านอ๋องบอกว่าไม่จำเป็น อย่างนั้นก็คงไม่มีความจำเป็นสินะ
เพียงแต่…
ด้วยฐานะพิเศษของเสินเซ่อเทียน ท่านอ๋องไม่ไปพบเขาเป็นการดีจริงหรือ หากทำให้เสินเซ่อเทียนระแวงเร็วเกินไป…
เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเอ้อเฟิงคราหนึ่ง คล้ายรู้ทันความคิดเขา เอ่ยว่า “เจ้าต้องเข้าใจ ในสถานการณ์ปกติเสินเซ่อเทียนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลี่ยงที่จะพบข้า ใช่ว่าข้าต้องพยายามตีสนิทพวกเขา!”
ไม่ว่าอย่างไรเสินเซ่อเทียนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ต่างไม่อยากเป็นศัตรูกันเอง
ส่วนคนทั้งสองก็รู้ดีว่า
หากเป่ยเฉินอี้ลงมือวางแผนสักเล็กน้อย ก็สามารถทำให้พวกเขาเกิดปัญหาขัดแย้งกันเพราะเรื่องบ้านเมือง ทำให้เสินเซ่อเทียนต้องลงมือกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาสองคนจึงไม่เคยปะทะกับเป่ยเฉินอี้ตรงๆ
หากมิใช่เพราะเยี่ยเม่ย ระยะนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่มีทางขัดแย้งกับเป่ยเฉินอี้ แต่ว่าเป่ยเฉินอี้เข้าใจ ขอเพียงตัวเองไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องพวกเขา พวกเขาก็จะพยามหลบเลี่ยงตน ต่างอยู่อย่างสงบ ต่างฝ่ายต่างไม่ก่อปัญหาให้กันและกัน
เอ้อเฟิงฟังเรื่องราวก็เข้าใจ ทั้งยังเห็นด้วยกับสิ่งที่เป่ยเฉินอี้เอ่ย
ก็ถูก ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเกรงใจพวกเขา กลับกันพวกเขาสมควรระวังท่านอ๋องไว้ อย่างไรเสียท่านอ๋องก็เป็นยอดนักวางแผนที่โดดเด่นที่สุดในใต้หล้า ทั้งยังเป็นคนที่รู้จักคานอำนาจที่อันตรายที่สุด
เขากลับอดใจไม่ไหวมองเป่ยเฉินอี้ถามว่า “แต่ท่านอ๋อง ท่านคิดจะปล่อยให้เยี่ยเม่ยเดินไปจนถึงก้าวสุดท้ายจริงๆ หรือ”
เป่ยเฉินอี้กลอกตามองเขา ถามว่า “ทำไม เจ้าไม่เชื่อว่าข้าจู่โจมเพียงครั้งเดียวก็เปลี่ยนจากแพ้เป็นชนะได้หรือ”
“ไม่ ข้าน้อยเชื่อ!”
เอ้อเฟิงก้มหน้าลงทันที
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านอ๋องไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนจะพ่ายแพ้ในเงื้อมมือเยี่ยเม่ยได้
ต่อให้เป็นก้าวสุดท้าย เขาก็เชื่อว่าท่านจะเปลี่ยนจากแพ้มาเป็นชนะได้
เพียงแต่ เขายังอดไม่ไหวเอ่ยว่า “แต่ว่าเยี่ยเม่ยไม่ใช่ท่านหญิงซี ท่านไม่จำเป็นต้องถอยให้นางตลอด”
“แต่นางมีใบหน้าเหมือนอาซีไม่มีผิด” เป่ยเฉินอี้ตอบกลับ เลิกคิ้วมองเอ้อเฟิงเอ่ย “บางทีสวรรค์มอบหน้านี้ให้นาง เพราะหวังให้ข้าเห็นแก่หน้าอาซีถอยให้นางหลายก้าว”
ยามนี้เอ้อเฟิงพูดไม่ออก
ไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรออกไปแล้ว
ไม่ว่าปัญหาที่เดิมทีแยกแยะด้วยเหตุผลได้ ทันทีที่มีองค์หญิงซีเกี่ยวข้อง เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอ๋องแล้วคล้ายเปลี่ยนเป็นแก้ไขไม่ได้ นับตั้งแต่องค์หญิงซีจากไป ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด
เอ้อเฟิงคร้านจะโน้มน้าวท่านอ๋องอีกแล้ว
ในเวลานี้เอง
เป่ยเฉินอี้ลุกขึ้นมา เดินไปหน้าประตู มองไปยังท้องฟ้าไร้ขอบเขต ถามเอ้อเฟิงว่า “อีกกี่วันจะถึงวันฉู่ซี”
“สามวัน!”
เอ้อเฟิงตอบกลับ เขารู้ว่าทำไมท่านอ๋องถึงถาม เพราะว่าวันที่สองของวันฉู่ซีหรือว่าวันขึ้นปีใหม่ คือวันครบรอบวันตายขององค์หญิงซี
หลังจากองค์หญิงซีจากไป ท่านอ๋องไม่เคยฉลองปีใหม่หรือร่วมงานเลี้ยงใดๆ อีกเลย ต่อให้ฮ่องเต้ที่กักบริเวณท่านอ๋อง เกิดเมตตาจิตเชิญให้ท่านอ๋องเข้าวังร่วมงานเลี้ยง ท่านอ๋องก็ไม่เคยไป
วันปีใหม่ของทุกปี ในจวนอ๋องมีบรรยากาศเงียบเหงาเย็นเยือก
ในขณะที่บ้านอื่นสนุกสนานคึกครื้น ท่านอ๋องกลับเซ่นไหว้ว่าที่พระชายาผู้ล่วงลับ ยามนี้พวกเขาล้วนไม่อยู่ในเมืองหลวง ดังนั้นคงไม่ต้องเซ่นไหว้องค์หญิงซีแล้วกระมัง
จากนั้น
เป่ยเฉินอี้กลับสั่งการว่า “สิ่งที่ต้องเตรียมก็ไปเตรียมไว้”
เอ้อเฟิงเข้าใจทันทีว่า ยังคงต้องเซ่นไหว้อยู่
เขารีบตอบรับ “ขอรับ! ท่านอ๋องวางใจ ข้าน้อยจะจัดการให้เรียบร้อย”
“ฟ้ามืดแล้ว”
เป่ยเฉินอี้มองท้องฟ้า โพล่งคำพูดนี้ออกมา
เมื่อเห็นแผ่นหลังเป่ยเฉินอี้ เอ้อเฟิงไม่รู้ว่าตัวเองสมควรเอ่ยอะไรในฉับพลัน ฟ้ามืดแล้วจริงๆ บางทีนับตั้งแต่นาทีที่องค์หญิงซีจากไป โลกของท่านอ๋องก็ไม่เคยมีแสงสว่างมาก่อน…
……
ตกดึก
เรือนพักผ่อนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อวี้เหว่ยมองไหสุราทั้งหลายตรงหน้าอย่างตื่นเต้น
นับตั้งแต่เตี้ยนเซี่ยกลับมาก็ดื่มสุราแก้กลุ้มไม่หยุด
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าประตูห้อง ศอกเกยอยู่บนเข่า กระดกสุราลงไปทีละไหๆ
หลายปีที่ผ่านมา อวี้เหว่ยไม่เคยเห็นเตี้ยนเซี่ยดื่มสุราดุเดือดขนาดนี้มาก่อน
เรื่องนี้ทำให้อวี้เหว่ยตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ทั้งยังอดไม่ไหวเกลี้ยกล่อมว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่าน…ท่านดื่มน้อยลงสักหน่อยเถอะ ขออภัยที่ข้าน้อยต้องเอ่ยตามตรง ต่อให้ท่านเมาจนตาย ก็ไม่แน่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะใส่ใจ”
หาใช่เขาจงใจใส่ความเยี่ยเม่ย เพียงแต่ท่าทางของเยี่ยเม่ยยามที่กูเยว่อู๋เหินผู้นั้นมาถึง เตี้ยนเซี่ยยังมองไม่ออกอีกหรือ
เยี่ยเม่ยเคยทำเช่นนี้กับเตี้ยนเซี่ยเมื่อไรกัน
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเป็นฝ่ายจับมือเตี้ยนเซี่ยก่อน
แต่ว่าวันนี้กูเยว่อู๋เหินกลับได้รับเกียรตินั้น ดังนั้นต่อให้เป็นอวี้เหว่ย เขาก็ยังรู้สึกว่าเยี่ยเม่ยชอบกูเยว่อู๋เหินจริงๆ ยามนี้นอกจากเกลี้ยกล่อมให้เตี้ยนเซี่ยรามือแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขายังทำอะไรได้อีก
เมื่อเขาแสดงความเห็น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมองเขาทีหนึ่ง ดวงตาคู่ร้ายในยามนี้แฝงความมึนเมา กวาดมองอวี้เหว่ย น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “อวี้เหว่ย เจ้าว่านางเคยรักข้าไหม ต่อให้สักเสี้ยวนาทีหนึ่งก็ตามที”
อวี้เหว่ยพลันเงียบไป
เขาพยายามย้อนคิดอย่างละเอียด คิดถึงช่วงนี้ เตี้ยนเซี่ยอยู่ร่วมกับแม่นางเยี่ยเม่ย ถึงอวี้เหว่ยไม่ใช่สตรีที่คิดว่าตัวเองมีสัมผัสที่หก แต่ว่าเขามั่นใจว่าสำหรับเรื่องความรู้สึกต่างๆ ทางโลก เขามีความสามารถที่จะวิเคราะห์ได้
ดังนั้น
หลังจากนิ่งไปสักครู่ เขาก็เอ่ยตามจริงว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยคิดว่า เคยรัก! เพียงแต่ข้าน้อยไม่เข้าใจ เพราะอะไร…”
เพราะอะไรจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป
หรือจิตใจสตรีล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจพึ่งพิงได้เช่นนี้ ความรักของสตรีเปราะบางกว่าความรักของบุรุษเสียอีก
อวี้เหว่ยไม่เข้าใจจริงๆ
ส่วนในยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มออก เขาก้มหน้าดื่มสุราอีกคำหนึ่ง กล่าวว่า “หากนางเคยรักข้าจริง ไฉนต้องทำร้ายข้าเช่นนี้เล่า”
อวี้เหว่ยจนคำพูด
จากนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็กระดกสุราทีละอึกๆ อย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าเมื่อเมาแล้วก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง ราวกับว่าเมื่อเมาแล้วก็จะลืมทุกสิ่ง
อวี้เหว่ยมองอยู่ด้านข้าง ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรดี
จริงด้วย
หากแม่นางเยี่ยเม่ยเคยรักเตี้ยนเซี่ย วาจาโหดร้ายเหล่านั้นนางเอ่ยออกมาได้อย่างไร ขอเพียงเคยรัก ก็ไม่สมควรไร้เยื่อใยเช่นนี้
บางที
เขาอาจมองผิดไป
บางทีอาจเป็นอย่างที่แม่นางเยี่ยเม่ยบอก นับตั้งแต่ต้นนางทำไปเพราะอำนาจทางทหาร ไม่เคยรักเตี้ยนเซี่ยมาก่อน
ในเวลานี้เอง
พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงยหน้าขึ้นด้วยความฉงนมองไปทางผู้มา คนผู้นั้นคือมู่หรงเหยาฉือ นางเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดื่มสุรามากถึงขั้นนี้ ก็ตกตะลึงไป…