ยามอวี้เหว่ยเห็นมู่หรงเหยาฉือก็ไม่รู้สึกยินดี
เพราะเตี้ยนเซี่ยในยามนี้กำลังอารมณ์ไม่ดี คงไม่มีอารมณ์ใส่ใจพวกคนไม่มีความสำคัญเช่นนี้ ในขณะที่เขากำลังคิดว่าควรก้าวไปขวางดีหรือเปล่า
มู่หรงเหยาฉือก็เดินเข้ามาด้วยน้ำตาคลอเบ้า เอ่ยปาก “เตี้ยนเซี่ย…ท่าน…ทำไมท่านถึงดื่มสุรามากมายขนาดนี้”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจ้องมองนางเงียบ ไม่พูดจา
ดูจากท่าทีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อวี้เหว่ยรู้สึกไม่เข้าใจว่าคราวนี้เตี้ยนเซี่ยคิดอะไรอยู่ในใจแน่ เตี้ยนเซี่ยไม่เอ่ยปากไล่มู่หรงเหยาฉือ บางทีอาจยอมพูดด้วยสักสองประโยคกระมัง
ด้วยเหตุนี้อวี้เหว่ยไม่ส่งเสียงสักแอะ
มู่หรงเหยาฉือเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พูดไม่จา ก็เอ่ยปากต่อว่า “เหยาฉือได้ฟังว่า ระยะนี้ระหว่างท่านกับแม่นางเยี่ยเม่ยเกิดเรื่องขึ้น ที่ท่านเป็นเช่นนี้ก็เพราะแม่นางเยี่ยเม่ยอย่างนั้นหรือ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว
ถามอวี้เหว่ยว่า “นางคือใครกัน”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา สีหน้ามู่หรงเหยาฉือพลันซีดเผือด นางหลงคิดว่าหลายปีนี้ตัวเองใช้วิธีต่างๆ นานาปรากฏกายต่อหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ทว่าความหมายขององค์ชายสี่ในยามนี้คือ เขาจำนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
นางเริ่มสงสัยว่าหลายปีมานี้นางใช้วิธีต่างๆ เพื่อปรากฏตัวต่อหน้าเขา ล้วนเสียเปล่าแล้วใช่หรือไม่
ความจริงนางสงสัยไม่ผิดเลย ทุกอย่างเสียเปล่าจริงๆ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีภาพความทรงจำของนางเลยสักน้อย
เรื่องนี้ไม่ต่างจากการคาดเดาของอวี้เหว่ยเท่าไร เพราะว่าเตี้ยนเซี่ยเป็นคนประเภทไหน อวี้เหว่ยเข้าใจอย่างถ่องแท้กว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แม้กระทั่งชื่อของฝ่าบาทเตี้ยนเซี่ยยังคร้านจะจดจำเลย นับประสาอะไรจะจำมู่หรงเหยาฉือที่ไร้ความสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องได้เล่า
อวี้เหว่ยตอบ “เตี้ยนเซี่ย นางคือท่านหญิงเหยาฉือ เป็นธิดากำพร้าของแม่ทัพมู่หรง ช่วงนี้เดินทางมาเที่ยวชมทัศนียภาพชายแดน”
ยามมู่หรงเหยาฉือได้ฟัง กลับรู้สึกเสียหน้านัก คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะจำนางไม่ได้จริงๆ
สิ่งที่ยิ่งทำให้นางโมโหก็คือ หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังจบแล้ว เพียงแค่พยักหน้า ราวกับคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ทั้งยังไม่พยายามคิดเชื่อมโยงกับความทรงจำอื่นเลย นี่ทำให้มู่หรงเหยาฉือกลุ้มใจนัก
แต่นางก็ไม่ท้อแท้ ทั้งยังปลุกปลอบให้กำลังใจตัวเอง
ไม่เป็นไรหรอกมู่หรงเหยาฉือ ถึงเขาจำเจ้าไม่ได้ วันนี้จำไม่ได้ พรุ่งนี้ก็อาจจำได้ อย่างมากก็เริ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อก่อนนางกับองค์ชายสี่ก็ไม่ใช่สหายกัน
สำหรับองค์ชายสี่แล้ว นางอาจเป็นคนแปลกหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่จดจำนาง
มู่หรงเหยาฉือพยายามให้กำลังใจตัวเองอย่างสุดชีวิต
ในเวลานี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันยื่นไหสุราไปให้ มู่หรงเหยาฉือ เอ่ยว่า “ดื่มมันสิ”
มู่หรงเหยาฉือตะลึงงัน
ในใจเกิดความยินดี เดิมก่อนนางมาก็ไม่คิดว่าองค์ชายสี่จะสนใจตัวนาง นางเตรียมใจไว้แล้วว่าจะไม่ได้พบหน้าเขา ได้แต่ยืนรออยู่หน้าประตูเท่านั้น
คิดไม่ถึงเสียเลย องค์ชายสี่ไม่ขับไล่นางก็แล้วไปเถิด ยังเชิญนางดื่มสุรา หัวใจนางในยามนี้เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าความสุขเข้ามาอย่างไม่เป็นจริง พลันเกิดความยินดีที่ตัวเองอดทนรอมาจนถึงคราวฟ้าสดใสไร้เมฆบดบัง
นางรีบเปิดไหสุรา เดินไปนั่งที่ขั้นบันไดไม่ไกลจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากนัก
จากนั้นก็เงยหน้ากระดกสุราคำหนึ่ง
ถึงแม้นางรักษาฐานะเป็นกุลสตรีตลอด แต่ก็เป็นวรยุทธ์ ทั้งยังคอแข็ง ดังนั้นการดื่มสุรากับองค์ชายสี่นางไม่มีปัญหาเลย
อวี้เหว่ยยืนมองอยู่ด้านข้าง รู้สึกแปลกประหลาดพิกล
เขาไม่เข้าใจ ไฉนเตี้ยนเซี่ยถึงมีท่าทางเป็นมิตรกับมู่หรงเหยาฉือ หรือว่าเพราะเตี้ยนเซี่ยสิ้นหวังจากแม่นางเยี่ยเม่ย ดังนั้นคิดจะอยู่กับมู่หรงเหยาฉือหรือ
ไม่น่าเป็นไปได้!
หรือว่าจงใจทำเช่นนี้ เพื่อแพร่ข่าวออกไปให้แม่นางเยี่ยเม่ยรับรู้ ให้แม่นางเยี่ยเม่ยหึงหวง
เตี้ยนเซี่ยคงไม่ทำอะไรเด็กแบบนี้กระมัง
ระหว่างที่อวี้เหว่ยกำลังคาดเดาไปต่างๆ นานา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองมู่หรงเหยาฉือ เอ่ยปากถามว่า “เยี่ยนอยากถามเจ้าว่า สตรีอย่างพวกเจ้าปกติชอบบุรุษเช่นไร”
มู่หรงเหยาฉือได้ฟังคำถาม หัวใจยิ่งเบิกบานปรีดา องค์ชายสี่กำลังส่งสัญญาณให้นางหรือเปล่านะ
เขาเริ่มสนใจแล้วว่านางชอบบุรุษแบบไหน
นางมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความขวยเขิน เอ่ยเบาๆ ว่า “ย่อมต้องชอบบุรุษที่จิตใจแน่วแน่ แข็งแกร่ง หล่อเหลา บุคลิกโดดเด่น ไม่ว่าการใดๆ ล้วนมีหลักการของตัวเอง ไม่สนใจข้อจำกัดทางคุณธรรมหลักการของโลกหล้า ยิ่งหากเขาดีต่อตัวเอง ก็จะยิ่งโชคดีที่สุด!”
อวี้เหว่ยฟังแล้วแอบกลอกตาใส่
คนที่มู่หรงเหยาฉือเอ่ยนี้ยังไม่ใช่เตี้ยนเซี่ยอีกหรือ ขาดก็แต่นางเอ่ยออกมาตรงๆ ว่า นางชอบเตี้ยนเซี่ยเท่านั้น จริงสิ สตรีนางนี้จิตใจทะเยอทะยานนัก หวังว่าเตี้ยนเซี่ยจะดีกับนาง…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังจบแล้ว คล้ายจมอยู่ในภวังค์ความคิด เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์ ถอนใจเบาๆ “ใช่หรือ เช่นนั้นไฉนนาง…ไม่ชอบเล่า”
กลับไปชอบคนน่าเบื่ออย่างกูเยว่อู๋เหิน
มู่หรงเหยาฉือฟังถึงยามนี้ สีหน้าซีดขาว ฉุกคิดได้ว่าตัวเองคงคิดเองเออเองไปแล้ว ที่องค์ชายสี่ถามออกมา ก็แค่นางเป็นสตรีเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ความคิดของสตรี เพื่อดูว่าเยี่ยเม่ยคิดกับบุรุษอย่างไร
นางที่เขาเอ่ยออกมา มู่หรงเหยาฉือใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้ว่าหมายถึงเยี่ยเม่ย
จิตใจของนางพลันดำดิ่ง เดิมทีความเมตตาที่เขามอบให้อย่างกะทันหันก็เพื่อยืมปากของสตรีนางหนึ่ง ลอบถามว่าเยี่ยเม่ยชอบคนแบบไหนเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้…
ไม่ว่าตอนนี้คนที่ปรากฏตัวที่นี่จะเป็นนาง หรือคนอื่น ต่อให้เป็นสาวใช้ธรรมดาผู้หนึ่ง องค์ชายสี่ก็คงยื่นสุราให้ พร้อมถามคำถามนี้อยู่ดี
ส่วนความเบิกบานในใจของมู่หรงเหยาฉือเมื่อครู่หลงคิดว่าตัวเองรอจนถึงวันที่ฟ้าสดใส ล้วนกลายเป็นความดีใจเก้อไปแล้ว สำหรับเขาแล้ว นางหาใช่คนพิเศษ
มู่หรงเหยาฉือเงียบไป
ในใจได้แต่หว่านล้อมตัวเองให้ปลุกปลอบกำลังใจขึ้นมาใหม่ ต่อให้สิ้นหวังแค่ไหน โกรธเคืองเพียงใด แต่อย่างน้อยก็เป็นครั้งแรกในรอบสิบแปดปีที่นางได้สนทนากับองค์ชายสี่ นี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
นางต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ต่อให้โมโหก็มิอาจให้องค์ชายสี่รู้ ซ้ำยังต้องทำเป็นใจกว้างต่อหน้าองค์ชายสี่เพื่อทิ้งภาพลักษณ์ดีๆ เอาไว้ บางทีหลังจากนี้องค์ชายสี่อาจจะพูดคุยเรื่องพวกนี้กับนางบ่อยขึ้นก็ได้
หากเป็นเช่นนั้น เชื่อว่าต้องมีสักวัน ความรู้สึกจะค่อยๆ เพาะบ่มขึ้น องค์ชายสี่ก็รักนางเช่นกัน
มู่หรงเหยาฉือคิดถึงตรงนี้ พลันรู้สึกได้เติมเต็มความกล้าหาญอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มเกลี้ยกล่อมว่า “องค์ชายสี่ เชื่อเถอะว่าหากเวลาผ่านไป คนผู้นั้นจะเข้าใจความจริงใจของท่าน ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ทำให้สตรีทั้งหลายหวั่นไหวได้”
เมื่อนางกล่าว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองนาง ใบหน้าหล่อร้ายมีแววสนุกสนาน “ทำไม เจ้าชอบเยี่ยนหรือ”