เซี่ยไห่หลงมองเฉินโม่ เห็นเฉินโม่ไม่พูด ก็พยักหน้าตาม “ผมก็เห็นด้วย”
ลี่เซี่ยว คิดไปครู่หนึ่ง มองจีอู๋หยาแล้วถาม “ถ้าหากประเทศรัสปฏิเสธร่วมมือกับเราล่ะ? หรือว่าเรียกร้องในสิ่งที่เรารับไม่ได้ล่ะ? อย่างไรเสียทุกคนก็อยากจะได้ที่หนึ่ง มันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ!”
จีอู๋หยายิ้มๆแล้วกล่าว “เป็นคำถามที่ดีมาก ฉันเคยคิดพิจารณาปัญหาข้อนี้นานแล้วประเทศรัสกำลังเผชิญสถานการณ์ที่เหมือนกับพวกเรา พวกเขาก็ถูกต่อต้านจากทั้งสามประเทศ นอกจากเป็นพันธมิตรกับเราแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้เลย ถ้าแค่อาศัยความสามารถของเขาประเทศเดียว อยากจะชนะการร่วมมือกันของสามประเทศนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย เพื่อปกป้องตัวเองพวกเขาทำได้เพียงร่วมเป็นพันธมิตรกับเรา”
“ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ พวกเขาไม่มีทางที่จะเรียกร้องกับเรามากเกินไป”
เหลยจ้านและคนอื่นๆพยักหน้า “พูดได้มีเหตุผล ผมว่าก็ตามนี้เลย ตอนนี้เราก็ไปตามหาคนของประเทศรัสเถอะ!”
ลี่เซี่ยวครั้งนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาแล้ว พยักหน้ากล่าว “งั้นก็เริ่มลงมือกันเถอะ!”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินโม่ไม่ได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว จีอู๋หยาถามอย่างอดไม่ได้ “รองหัวหน้าเฉิน นายมีความเห็นอย่างไร?”
เฉินโม่พูดอย่างราบเรียบ “ผมไปกับพวกคุณ”
จางเจิ้นอดหัวเราะไม่ได้ “รองหัวหน้าทีมคนนี้ไร้ประโยชน์จริงๆ ไม่มีความคิดเห็นอะไรเลย ไม่สู้ให้ลี่เซี่ยวเป็นดีกว่า!”
ลี่เซี่ยวถลึงตาใส่จางเจิ้น พูดอย่างเย็นชา “นายกล้าเอาฉันไปเกี่ยว ฉันจะจัดการนายตอนนี้เลย!”
จางเจิ้นยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “โอเคๆ ฉันผิดไปแล้ว ฉันก็แค่ยกตัวอย่าง!”
จีอู๋หยาลูบของขลังต่างๆที่อยู่บนตัวที่ใช้ปกป้องภยันตราย ชี้ไปยังทิศทางที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าว “ไปกันเถอะ!”
พูดจบ เซี่ยไห่หลงก็อุทานขึ้นในทันที รีบดูเร็ว “คนของประเทศอเมได้แกนอสูรไปสองเม็ดแล้ว!”
จีอู๋หยาขมวดคิ้ว “เร็วขนาดนี้เลย ใครเป็นคนเอาไปได้?”
เซี่ยไห่หลงกล่าว “อแมนดัส!
จีอู๋หยาขมวดคิ้ว “ไม่เคยได้ชื่อนี้มาก่อน ทั้งสองเม็ดก็เป็นของเขา มันบังเอิญไปมั้ย? หรือว่าคนของประเทศอเมอยากจะดันเขาให้เป็นที่หนึ่ง?”
เหลยจ้านกล่าว “ไม่มั้ง พวกประเทศอเมนั้นเลื่อมใสการเป็นวีระบุรุษที่กล้าหาญมากที่สุด จะยอมเสียโอกาสที่ดีในการสร้างชื่อเหรอ?”
“บุคคลที่ชนะที่หนึ่ง รางวัลนั้นใหญ่มาก เพื่อรางวัลนี้แล้ว คนประเทศอเมจะเล่นตุกติกก็เป็นเรื่องธรรมดา อยู่ในนานาชาติพวกเขาก็ทำแบบนี้เป็นประจำไม่ใช่เหรอ?” เฟิงเหมียนพูดอย่างเยาะเย้ย
จีอู๋หยาพูดอย่างจริงจัง “ไม่ต้องไปสนใจ ทำตามแผนก็พอ ไปเถอะ!”
เฉินโม่เดินตามหลัง มุ่งหน้าเดินไป ป่าที่พวกเขาอยู่นั้นไม่ได้ใหญ่มาก ไม่นานก็เดินทะลุออกมาจากป่าแล้ว
ด้านหน้าของพวกเขาปรากฏขึ้นด้วยพื้นที่ราบ แห้งแล้งมาก ผืนดินยังเป็นสีน้ำตาล เป็นหลุมเป็นบ่อ และมีเศษเหล็กที่เป็นสนิมกระจายอยู่ไปทั่ว
เมื่อพิจารณาจากลักษณะของเศษขยะเหล่านั้นแล้ว น่าจะเป็นชิ้นส่วนของเครื่องบิน รถถัง และรถหุ้มเกราะ แน่นอนว่ายังมีเศษซากบางอย่างที่เฉินโม่และคนอื่นดูไม่รู้เลย
ในบรรดาเศษขยะเหล่านี้ ยังคงมีดาบยาวที่แหลมคมกระจายอยู่ เพียงแต่ว่าบนดาบ ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังทางจิตวิญญาณของดาบได้แล้ว และดูเหมือนว่าพวกมันจะเป็นอาวุธธรรมดา
“ไม่รู้ว่าเศษซากปรักหักพังพวกนี้มีมานานแค่ไหนแล้ว แต่ดาบยาวเหล่านี้ยังคงคมอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องเป็นอาวุธวิเศษในตอนนั้น” เหลยจ้านถอนหายใจเล็กน้อย
จีอู๋หยากล่าว “สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าเหมือนสนามรบที่ต่อสู้กันระหว่างอารยธรรมสมัยโบราณและสมัยใหม่ มันแปลกมาก!”
จางเจิ้นอุทาน “ผมก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ราวกับว่าได้มาถึงห้วงเวลาของมิติของทั้งสองที่มาบรรจบกัน!”
ทันใดนั้น เฟิงเหมียนก็อุทาน “ระวัง!”
พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้น และปล่อยแสงสีแดงไปทางด้านหลัง จางเจิ้น
ร่างของจางเจิ้นสว่างวาบ ทว่าเมื่อมองไปยังตำแหน่งเดิมที่เขายืนอยู่ ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย
“เฟิงเหมียน เธอทำอะไร?” จางเจิ้นเข้าใจว่าจางเจิ้นจะแกล้งเขา
“อย่าเพิ่งพูด มีสิ่งลี้ลับ!” เฟิงเหมียนสีหน้าจริงจัง
จีอู๋หยาพูดอย่างจริงจัง “เฟิงเหมียนเก่งในด้านสัมผัสพิเศษและปลอมตัว จงเชื่อเธอ! ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม!