บทที่ 679 ความน่ากลัวที่แท้จริง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 679 ความน่ากลัวที่แท้จริง

“ท่านพ่อเป็นอะไรไปขอรับ?”

ฉุยหมิงโหลวถามด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล “ท่านพ่อปลอดภัยดีหรือไม่”

เซียวปิงที่ยืนกัดน่องไก่อยู่ด้านข้าง ยกมือขึ้นเกาหัวและยิ้มแห้งๆ “ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าเป็นคนช่วยเหลือบิดาท่านกลับมาทั้งคน มีหรือที่เขาจะได้รับบาดเจ็บเป็นอันตราย ตลอดทางที่ผ่านมา ข้ากอดบิดาของท่านแนบแน่นที่สุดในชีวิต อาการของเขาบัดนี้ คงเป็นเพราะดีใจมากเกินไปที่ได้กลับมาพบเจอหน้าบุตรชายของตนเองต่างหาก”

ฉุยหมิงโหลวได้ยินดังนั้นก็คิดว่าเป็นคำตอบที่มีเหตุมีผลมากทีเดียว…

ไม่ต้องอธิบายเป็นคำพูดก็รู้ว่าพวกเขาพ่อลูกดีใจมากแค่ไหนที่ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็นำตัวเด็กสาวทั้งสองคนเข้าไปในกระโจมที่พักหลังใหญ่

“รีบไปเตรียมน้ำอุ่นได้แล้ว ข้าอยากอาบน้ำ ข้าอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าอยากลงไปนอนแช่น้ำ”

ทันทีที่เดินเข้าไปในกระโจมที่พักของตนเอง คุณชายหลินก็ระเบิดเสียงคำรามออกมาดังลั่น

ครั้งนี้เขาเดินทางเข้าไปในพื้นที่เขตเมืองที่สามและสี่เป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ผ่านการต่อสู้ดุเดือดนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะการต่อสู้ในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์…

เด็กหนุ่มจึงรู้สึกอยากอาบน้ำ ซึ่งปกติแล้วสองสาวรับใช้จะเตรียมไว้ให้ล่วงหน้าอย่างรู้หน้าที่

ทุกคนในกระโจมที่พักหันกลับมาจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความตกตะลึง

“หืม?”

หลินเป่ยเฉินถลึงตาจ้องมองตอบกลับไป “ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ในกระโจมที่พักของข้าได้ล่ะเนี่ย? เหตุไฉนถึงไม่ออกไปทำงาน? หรือว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าถือโอกาสทำตัวขี้เกียจกันแล้วหรือ?”

ทุกคนได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ

ทันใดนั้น หลิวเฉิงเหนียนซึ่งถูกหลินเป่ยเฉินหอบหิ้วมาตลอดทางเสมือนว่าวในสายลมตัวหนึ่ง ก็หยุดยืนอยู่กับที่ด้วยความเวียนหัว เด็กสาวไม่ต่างจากผู้ที่ดื่มสุรามากเกินไป ท้องไส้ปั่นป่วนอยากอาเจียน นางเดินซวนเซออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ล้มฟุบลงไปในอ้อมอกของเซียวปิง ซึ่งกำลังนั่งรับประทานน่องไก่อย่างมีความสุข

“เอ๋?”

เซียวปิงเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความตกใจ

จากนั้นเด็กหนุ่มถึงได้ยกมือขึ้นพยายามดันร่างเด็กสาวออกจากอ้อมอกของตนเอง พร้อมกับละล่ำละลักบอกทุกคนว่า “ทุกท่านได้โปรดเป็นพยาน ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นางล้มลงมาเอง…”

แต่พูดยังไม่ทันจบประโยค

“โอ๊กกก…”

หลิวเฉิงเหนียนก็อ้าปากอาเจียนออกมาคำใหญ่

“เหวอออ น่องไก่ของข้า”

เซียวปิงผู้ถูกเด็กสาวอาเจียนใส่ร้องเสียงหลงด้วยความตื่นตระหนก

ลำพังอาเจียนใส่ตัวเขานั้นไม่เป็นไรหรอก แต่มาอาเจียนใส่น่องไก่ของเขามันเสียของหมด

หากจะทำเช่นนี้ สู้ฆ่ากันเสียยังดีกว่า

สำหรับในชีวิตของเซียวปิง การทำให้อาหารต้องเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ คือบาปที่ให้อภัยไม่ได้

เฉียนเหมยกับเฉียนเจินมือหนึ่งบีบจมูกตนเอง อีกมือหนึ่งก็รีบเข้าไปประคองหลิวเฉิงเหนียนลุกขึ้น และนำตัวนางไปล้างเนื้อล้างตัวรวมถึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทางด้านหลังกระโจม

ในเวลาเดียวกันนี้ อดีตนายทหารแรงงานขุดเหมืองก็เข้ามารายงานว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร ปรากฏขอทานกลุ่มหนึ่งมารออยู่ด้านนอกค่ายพัก อยากจะขอพบท่านแม่ทัพขอรับ”

“ขอทานอย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินตวาดกลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ข้าเป็นใคร? ข้ามีตัวตนสูงส่งขนาดไหน มีขอทานมาเข้าพบ เจ้ายังจะต้องมาขอคำอนุญาตจากข้าอีกหรือ? จะบอกให้นะว่า… โอ๊ะ ช้าก่อน ไม่เป็นไร นี่คือเวลาที่สมควรสร้างภาพลักษณ์อันดีงาม ข้าต้องเอาชนะใจผู้อพยพทุกกลุ่มให้ได้ พวกเขาจะได้มาเป็นแรงงานให้กับพวกเรา… นำตัวขอทานเหล่านั้นเข้ามา”

กลุ่มคนที่อยู่ในกระโจมที่พักหันมองหน้ากันด้วยความเอือมระอา

พวกเขาคิดอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินต้องตอบรับเช่นนี้แน่นอน

แล้วมันก็เป็นจริงตามนั้น

ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ

หลิวเฟยซูที่มีเนื้อตัวมอมแมมราวกับขอทานผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับพรรคพวกของตนเอง

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นสภาพของจอมยุทธ์ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เหล่านี้ เช่นเดียวกับหญิงสาวและเด็กชายฝาแฝดคู่หนึ่ง

และพวกของหลิวเฟยซูก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน

บรรยากาศของกระโจมที่พักตกอยู่ในความเงียบ

“ทำไมสภาพของพวกท่านถึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?”

หลินเป่ยเฉินสอบถาม

หัวใจของหลิวเฟยซูและพรรคพวกแตกสลาย

พวกเขาก็ไม่อยากอยู่ในสภาพน่าอับอายเช่นนี้หรอก

แต่คำถามก็คือพวกเขาจะมีสภาพเป็นอย่างไรได้ หากต้องวิ่งตามหลินเป่ยเฉิน ซึ่งวิ่งนำหน้าฝุ่นตลบขนาดนั้น?

พวกของหลิวเฟยซูเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แล้วทำไมเด็กหนุ่มต้องวิ่งทำให้ฝุ่นบนพื้นดินลอยฟุ้งในอากาศขนาดนี้ เหตุไฉนถึงไม่ใช้วิชาตัวเบาอันสวยงามเล่า?

เด็กหนุ่มจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเส้นทางที่ตนเองวิ่งผ่านนั้น มีสภาพเหมือนพื้นที่แผ่นดินถล่มเกิดอุทกภัยอย่างไรอย่างนั้น…

อย่าบอกนะว่าหลินเป่ยเฉินไม่รู้ตัวเลยสักนิด?

“บุญคุณที่คุณชายหลินช่วยเหลือพวกเราในครั้งนี้ พวกข้าน้อยจะไม่มีวันลืมเลือน” หลิวเฟยซูเป็นจอมยุทธ์ผู้มีสติปัญญาสูงส่ง แม้ในใจจะก่นด่าหลินเป่ยเฉินไปถึงบรรพบุรุษ แต่ภายนอกก็ยังคงแสดงออกด้วยความเคารพนับถือ

พวกของชายฉกรรจ์หน้ากากดำก็เดินเข้ามาประสานมือคำนับเด็กหนุ่มเช่นกัน

“หุหุ ด้วยความยินดี ไม่มีปัญหา”

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง พูดว่า “ข้ามันเป็นคนที่รักความยุติธรรมมาแต่ไหนแต่ไร ยามมีเวลาว่างก็ชื่นชอบการช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เป็นนิจ แล้วครั้งนี้เมื่อเห็นพวกท่านเดือดร้อนอยู่ตรงหน้า ข้าจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร…” เด็กหนุ่มหยุดชะงักเล็กน้อยเพื่อวางมาด ก่อนกล่าวต่อ “จุดอ่อนเดียวของข้าก็คือการที่เป็นคนใจดีมากเกินไปนี่แหละ บางครั้งเห็นสุนัขถูกรังแกอยู่ข้างถนน ข้าก็ยังต้องเข้าไปช่วยเหลือพวกมันเลยด้วยซ้ำ”

หลิวเฟยซูพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

เด็กหนุ่มผู้นี้นับว่าไร้ยางอายสมคำเล่าลือจริงๆ

ดังนั้น เขาจึงหันหน้าไปด้านข้าง และเมื่อเห็นว่าฉุยเฮาเฟิงปลอดภัยดีแล้วจึงได้เดินเข้าไปหาด้วยความโล่งอก “ศิษย์พี่ฉุย นับว่าสวรรค์ยังเมตตาที่ท่านไม่เป็นอะไร”

ฉุยเฮาเฟิงรีบลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พวกเจ้า ไม่สิ… โชคดีที่ครั้งนี้คุณชายหลินยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา พวกเราจึงหนีรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัยครบถ้วนทุกคน”

ในที่สุด หลิวเฟยซูก็สามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้เต็มที่แล้ว

การบุกชิงตัวนักโทษประหารคือปฏิบัติการที่น่าตื่นเต้น

และเสี่ยงตายมากเกินไป

หากไม่มีการช่วยเหลือของหลินเป่ยเฉิน อย่าว่าแต่พวกเขาจะช่วยเหลือศิษย์พี่ฉุยหลบหนีออกมาไม่สำเร็จ แม้แต่ชีวิตของตนเองก็คงต้องจบสิ้นลงเป็นแน่แท้

เช่นเดียวกับครอบครัวของพวกเขาที่รออยู่ข้างหลัง

หากจะต้องโทษใครสักคน หลิวเฟยซูก็คิดโทษแต่เพียงตนเองเท่านั้น ที่หูหนวกตาบอดมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของเจิ้งกุย

คิดมาถึงตรงนี้ กลุ่มชายฉกรรจ์อีกหลายคนก็ต้องหันไปประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพเทิดทูนมากกว่าเดิม

“คุณชายหลิน ไม่ทราบว่าแผนการต่อจากนี้ ท่านจะทำอย่างไร?” หลิวเฟยซูถาม ไม่สนใจสภาพเนื้อตัวที่มอมแมมของตนเอง

หลินเป่ยเฉินเม้มริมฝีปาก แสดงสีหน้าคิดหนักอยู่ชั่วครู่ใหญ่ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “แผนการต่อไปของข้าคือการนอนแช่น้ำอุ่นให้สบาย ให้หญิงรับใช้นวดไหล่นวดขาผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หลังจากนั้นจึงนอนหลับให้เต็มอิ่ม อันที่จริงข้ากำลังรู้สึกปวดหลังอยู่เล็กน้อย…”

หลิวเฟยซูถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง

คำถามมากมายเกิดขึ้นในจิตใจของเขา

นี่ควรเป็นคำตอบสำหรับคำถามของเขางั้นหรือ?

“กราบเรียนคุณชายหลิน อีกไม่นานพวกเจ้าหน้าที่มือปราบคงไล่ล่ามาถึงที่นี่ ท่านคิดจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ต่อไป หรือจะหลบหนีออกไปนอกเมืองขอรับ?”

หลิวเฟยซูถามต่อเสียงเรียบ

หลินเป่ยเฉินทำตาโตด้วยความประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มก็มีคำถามมากมายเช่นกัน

“ซ่อนตัว? ทำไมข้าถึงต้องซ่อนตัวด้วย?”

หลินเป่ยเฉินสบตามองหน้าหลิวเฟยซู และกล่าวว่า “บัดนี้พวกเรากลับมาอยู่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ไม่มีใครสามารถทำอันตรายพวกเราได้อีก พวกท่านได้โปรดวางใจ ขณะนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว”

ปลอดภัยแล้ว?

หลิวเฟยซูขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

นี่คือครั้งแรกที่เขาสงสัยว่าตนเองอาจจะเข้าใจความหมายของคำว่าความปลอดภัยผิดเพี้ยนมาโดยตลอด

ตลอดเส้นทางที่หลบหนีออกจากลานประหาร มาจนถึงค่ายที่พักของผู้อพยพแห่งนี้ พวกเขาทิ้งร่องรอยและเบาะแสเอาไว้บนถนนอย่างชัดเจน

เกรงว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน เจ้าหน้าที่มือปราบและนายทหารเหล่านั้น ก็คงแกะรอยมาจนถึงที่นี่ได้ไม่ยาก

หรือหลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าชาวเมืองผู้อพยพของตนเองจะสามารถต่อสู้กับเจ้าหน้าที่มือปราบของนครเจาฮุยได้?

“คุณชายหลิน หลงเสี่ยวเถียนบัดนี้มีสถานะเป็นหัวหน้าหน่วยมือปราบ มิหนำซ้ำ เขายังมีใต้เท้าเฉินคอยหนุนหลัง… เฉินตงหยางคนนี้ได้ชื่อว่าเป็นขุนนางคนสำคัญประจำนครเจาฮุย นอกจากมีอำนาจของกองทัพอยู่ในมือแล้ว เขายังมีเส้นสายอยู่นอกเมืองอีกไม่ใช่น้อย เมื่อหลงเสี่ยวเถียนร่วมมือกับเฉินตงหยางเล่นงานพวกเรา ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถต่อกรกับพวกมันได้”

หลิวเฟยซูกล่าวย้ำเตือนเสียงดังฟังชัด

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง

“ท่านไม่เข้าใจหรือว่าเพราะเหตุใด ข้าถึงประกาศชื่อตนเองในลานประหาร?”

เด็กหนุ่มถามหลิวเฟยซูด้วยน้ำเสียงสดใส “เพราะข้ากลัวว่าพวกมันจะตามหาตัวข้าไม่เจอต่างหาก ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น พวกเราจะรอคอยมันอยู่ที่นี่แหละ รอให้พวกมันมาเถิด เดี๋ยวพวกมันจะได้รู้ว่าความน่ากลัวที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร”

เพราะไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าการทำลายล้างของปืนยิงจรวด Type 69 อีกแล้ว…