หลังจากที่หายจากอาการตื่นเต้นดีใจหลิงหยุนก็รีบเรียกไขหยกเขียวขนาดใหญ่เข้าไปเก็บในแหวนจักรวาลอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้พลังชีวิตของมันถูกปลดปล่อยออกมาให้เสียของไปมากกว่านี้
หินพลังชีวิตไม่ว่าก้อนใดก็ตามตราบใดที่มันถูกทิ้งให้ปลดปล่อยพลังชีวิตออกไปเรื่อยๆเช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ในที่สุดพลังชีวิตก็จะถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด และกลายเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาทั่วไป
ในโรงประมูลตระกูลเย่เซี่ยโหวหมิงได้กล่าวไว้ว่าแกร่งกว่าดินคือหิน แกร่งกว่าหินคือหยก และแกร่งกว่าหยกก็คือไขหยก..
ด้วยเหตุนี้ไขหยกจึงเปรียบเสมือนแก่นของโลกและดาวเคราะห์ต่างๆ ซึ่งใช้เวลาก่อตัวนานนับหลายร้อยล้านปี
หินพลังชีวิตจึงเป็นพลังชีวิตบริสุทธิ์ที่อยู่ระหว่างสวรรค์และโลกหากดาวเคราะห์ใดมีหินพลังชีวิตมากพอ ดาวเคราะห์ดวงนั้นก็จะมีพลังชีวิตที่เปี่ยมล้น และเหมาะแก่การฝึกฝนของทุกสรรพชีวิต อย่างเช่นโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ซึ่งหลิงหยุนจากมาเป็นต้น..
ดาวเคราะห์ซึ่งเป็นที่ตั้งของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นสามารถพบเจอพลังอมตะเป็นสายยาวนับพันลี้เลยทีเดียว เช่นนี้แล้วจะขาดแคลนพลังชีวิตได้อย่างไรกัน
“ข้าจะยังไม่นำหยกจักรพรรดิออกขายจะดีกว่า..”
หลังจากที่ขุดเอาไขหยกออกมาจากราชาหินหยกจักรพรรดิแล้วหลิงหยุนก็ตัดสินใจที่จะยังไม่นำหยกจักรพรรดิออกขาย เพราะเวลานี้เขายังไม่ได้ร้อนเงิน อีกทั้งยังมีวิธีที่จะหาเงินได้อีก
เหตุผลนั้นก็ง่ายมากนั่นเพราะถึงแม้ตัวหยกจักรพรรดิที่ห่อหุ้มไขหยกเขียวนั้นจะมีพลังชีวิต แต่มันก็เป็นเปลือกที่สามารถสกัดกั้นไม่ให้พลังชีวิตระเหยออกได้ เพราะแม้แต่หลิงหยุนซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่ยังไม่สามารถสัมผัสพลังชีวิตของไขหยกเขียวซึ่งถูกห่อหุ้มไว้ภายในได้เลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนตั้งใจที่นำหยกจักรพรรดินี้ไปแกะเป็นขวดสำหรับใช้บรรจุของเหลวพลังชีวิตแทน..
หลังจากเรียกเก็บหยกจักรพรรดิเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลหลิงหยุนก็ได้เรียกน้ำผึ้งหยกขาวออกมาเพื่อชื่นชมความบริสุทธิ์ของมัน เขาต้องการน้ำผึ้งหยกขาวนี้มากลั่นเป็นโอสถโฉมสะคราญ และโอสถเยาว์วัย..
“เอาล่ะ..ในเมื่อได้วัตถุดิบหลักมาแล้ว ก็เหลือแค่นำสมุนไพรชีวิตที่ปลูกในสวนมาเป็นส่วนผสม”
หลิงหุยนพึมพำออกมาพร้อมกับกำลังคิดว่าจะขอให้จินเหยียวช่วยเตรียมสมุนไพรหลักๆให้ตนโดยเร็วที่สุด
จากนั้นหลิงหยุนก็นำแผนที่ปริศนาศิลากลั่นวิญญาณก้อนใหญ่ กระบี่ฑูตสวรรค์ และผ้าแพรไหมดำออกมาชื่นชมต่อ “ฮ่า..ฮ่า.. ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติล้ำค่ามากจริงๆ!”
หลิงหยุนได้แต่นึกขอบคุณตระกูลเย่อยู่ในใจเพราะสมบัติล้ำค่าที่ได้มาในคืนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกในด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่ทั้งสิ้น
หลิงหยุนไม่เพียงได้ทรัพยากรในการฝึกให้ตัวเองแต่ยังได้ทรัพยากรมาให้คนตระกูลหลิงอย่างมากมายอีกด้วย
“หึ..ทรัพยากรในการฝึกที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ไม่เกินครึ่งปีตระกูลหลิงต้องแข็งแกร่งจนสามารถบดขยี้ตระกูลหลงกับตระกูลเย่ได้แน่!”
หลังจากชื่นชมสมบัติล้ำค่าที่ได้มาจนพอใจแล้วหลิงหยุนจึงได้ถอนค่ายกลสกัดกั้นจิตหยั่งรู้ออก และเวลานี้ด้านนอกก็เริ่มสว่างไสวแล้ว
เมื่อเหลือบไปดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงเช้าพอดีหลิงหยุนส่ายหน้าไปมายิ้มๆ เพราะเขามัวแต่ชื่นชมสมบัติที่ได้มาจนเกือบจะหลงลืมการฝึกฝน
สำหรับหลิงหยุนแล้วสิ่งอื่นอาจล่าช้าได้ แต่ต้องไม่ใช่การฝึกฝน!
หลิงหยุนรีบลุกออกาจากห้องและตรงไปยังสวนชั้นที่หกของคฤหาสน์ตระกูลหลิง แล้วตรงไปนั่งหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์อยู่ข้างต้นหลิวเทวะวิญญาณ จากนั้นจึงเริ่มฝึกวิชาดาราคุ้มกาย..
หลังจากฝึกดาราคุ้มกายไปร่วมสองชั่วโมงหลิงหยุนก็ลุกขึ้นยืน และร้องตะโกนบอกตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งนั่งฝึกอยู่ไม่ไกลนัก
“เสี่ยวอู๋เจ้าจะไม่ควรหักโหมฝึกฝนเช่นนี้ หลังจากเปิดจิตหยั่งรู้แล้ว จะต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูด้วย แล้วการฝึกจะก้าวหน้าเร็วขึ้นถึงสองเท่า”
“รับทราบพี่หยุน..”
“นำสิ่งที่ของที่เจ้าเก็บกวาดมาได้ออกมา..”
ตี้เสี่ยวอู๋จัดการเรียกของที่เขาเก็บกวาดได้จากผู้ที่ถูกสังหารเมื่อคืนนี้ออกมาจนหมดและส่วนใหญ่ก็เป็นอาวุธชนิดต่างๆ และถุงสมบัติของเหล่ายอดฝีมือทั้งหลาย..
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ!ของพวกนี้เพียงพอที่จะให้ข้าเปิดโรงประมูลได้เลย ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงหยุนมองกองสิ่งของที่เก็บกวาดมาได้พร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างอารมณ์ดีจากนั้นจึงเรียกทั้งหมดเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลของตนเอง
“เมื่อคืนเจ้าเก็บกวาดมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไม่” หลิงหยุนเอ่ยถามออกมา
“ไม่มี..เพียงแต่ระหว่างที่ข้ากับเอ็ดเวิร์ดกำลังเร่งเก็บกวาดอยู่นั้น มีชายสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าสีดำเหาะอยู่กลางอากาศไกลๆ พวกข้าเองก็มองเห็นไม่ชัด”
“อืมม..น่าจะเป็นคนของตระกูลเย่ ที่ออกมาสำรวจตรวจตรา”
หลิงหยุนคาดการและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“หึ.. ดูท่าครั้งนี้ตระกูลเย่คงจะเจ็บใจไม่น้อย!”
นั่นเพราะในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ที่มาร่วมประมูล ต่างก็ถูกสังหารตายไปมากมายเช่นนี้ จากนี้ยุทธภพคงต้องเกิดความโกลาหลเป็นแน่ และที่สำคัญตระกูลเย่คงต้องรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยทีเดียว
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงประมูลของตระกูลเย่ไม่น้อยทีเดียว!
หลิงหยุนรู้ดีว่าตระกูลเย่คงต้องสงสัยว่าเป็นฝีมือของตนแน่แต่เขาไม่ใส่ใจ เพราะเขาได้ใช้ผงละลายศพทำลายหลักฐานทุกอย่างทิ้งไปหมดแล้ว
และหากมีผู้ใดกล้ามากล่าวหาตนโดยไร้หลักฐานแล้วล่ะก็หลิงหยุนจะจัดการด้วยวิธีในแบบของตน!
ในขณะที่หลิงหยุนกับตี้เสี่ยวอู๋คุยกันอยู่นั้นโม่วู๋เตาก็เดินหาวเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขาพักผ่อนไม่เพียงพอนัก
“นี่เพียงแค่คืนเดียวเจ้าก็อกหักจนนอนไม่หลับแล้วรึ!”
หลิงหยุนตะโกนหยอกเย้าทันทีที่เห็นหน้าโม่วู๋เตา“แล้วนี่เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ตีสี่ครึ่ง..”
โม่วู๋เตาได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงเขาจึงตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว พร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยสายตาดุดัน
“ข้าก็นึกว่าเจ้าจะรอข้าหลังจากส่งแม่นางเหอแล้ว ข้าก็กลับไปที่สวนสาธารณะอีกครั้ง!”
หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงรีบตอบกลับไปทันที“ก็ข้าไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอเจ้ากับแม่นางเหอนี่ ก็เลยไม่ได้โทรบอก..”
โม่วู๋เตาได้ยินก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่เขาร้องโวยวายเสียงดังทันที “เชอะ! เจ้าโอ้อวดนางถึงเพียงนั้น นางยังจะเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาอีกเล่า..”
โม่วู๋เตานึกถึงเหตุการณ์ที่เขาไปส่งเหออวี้ฉงเมื่อคืนแล้วน้ำตาก็แทบร่วงเพราะนางแทบลืมไปด้วยซ้ำว่ามีเขาอยู่ด้วย..
ทันทีที่หลิงหยุนกับตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังโม่วู๋เตาโวยวายออกมาเช่นนั้นทั้งคู่ต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกัน ในที่สุดหลิงหยุนจึงเอ่ยขึ้นว่า
“นี่เจ้านักพรตน้อยข้าขอเตือนให้เจ้าตัดใจจากแม่นางเหอซะ! นางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหญิงที่เฉลียวฉลาด เด็ดเดี่ยว แล้วก็เก่งกาจมากทีเดียว นางไม่มีทางตกหลุมรักชายใดง่ายๆแน่..”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นโม่วู๋เตาก็ได้แต่ทำตาปริบๆ และได้แต่ทำใจยอมรับเพราะตนเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกับหลิงหยุน
“เอาล่ะไปกินข้าวเช้ากันได้แล้ว”
หลิงหยุนก้าวเดินออกไปโอบไหล่น้องชายทั้งสองพร้อมกับพูดต่อว่า“วันนี้ข้ายังมีงานต้องทำอีก..”
และวันนี้ก็ตรงกับวันที่10 กันยายน ซึ่งเป็นวันที่หลิงหยุนจะต้องเข้าสู่เส้นทางของการเรียนในมหาวิทยาลัย..
…..
วันที่10 กันยายน เวลาเก้าโมงเช้า..
วันนี้อากาศในเมืองปักกิ่งดีอย่างน่าประหลาดท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวปุยสองสามก้อนลอยอยู่ท่ามกลางท้องนภา แสงแดดสาดส่องลงมาเจิดจ้าสว่างไสว ลมอ่อนๆพัดโชยมาให้ความสดชื่น
วันนี้เป็นวันมอบตัวเข้ามหาวิทยาลัยหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หลิงหยุน หนิงหลิงยู่ ฉีเสี่ยวฉิง ตีเสี่ยวอู๋ และคนอื่นๆต่างก็นัดหมายรวมตัวกัน
ในบรรดาทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงมีเพียงหลิงหย่งเท่านั้นที่ไม่อยู่ในวันนี้ และนับตั้งแต่วันที่รู้ความจริงเรื่องหลิงเจิ้น เขาก็ไม่เคยกลับเข้าบ้านตระกูลหลิงอีกเลย “พี่หลิงหยุนข้าเองก็ต้องไปโรงเรียนแล้วเช่นกัน วันหน้ามีอะไรดีๆ ก็อย่าลืมข้าด้วยล่ะ!”
หลิงเลี่วยนั้นรู้ดีว่าหลิงหยุนมักมีสมบัติล้ำค่าใหม่ๆมากมายเขาจึงไม่ลืมที่จะกำชับหลิงหยุนให้นึกถึงตนเอง
หลิงหยุนฟังแล้วจึงได้แต่ยิ้มก่อนจะพยักหน้า และตอบกลับไปว่า “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง ตั้งใจเรียนก็แล้วกัน!”
หลิงเลี่วยยิ้มกว้างพร้อมกับร่ำลาหนิงหลิงยู่ฉีเสี่ยวชิง และคนอื่นๆ
“หลิงเลี่วยนี่เจ้าจะร่ำไรอีกนานหรือไม่!” หลิงเฟิงที่จะต้องไปส่งหลิงเลี่วยถึงกับร้องออกมาอย่างหงุดหงิดใจ
หลังจากที่หลิงเฟิงกับหลิงเลี่วยขับรถออกไปแล้วหลิงหยุนจึงหันไปพูดกับหลิงซิ่วว่า “พี่หลิงซิ่ว.. พวกเราต้องรีบไปก่อน จะได้รีบกลับมาให้ทันบ่าย ข้ายังมีเรื่องมีเรื่องต้องพูดคุยกับเจ้าอีกมาก..”
หลิงหยุนเหลือบมองไปทางหลิงซวี่คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างจะพูดแต่ก็ยังคงไม่พูดออกไป..
จากนั้นทุกคนก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถMercedes Benz ขนาดเจ็ดที่นั่งที่จอดอยู่ในสวนด้านหน้าทันที และผู้ที่ทำหน้าที่คนขับก็คือตี้เสี่ยวอู๋
ทั้งหลิงซิ่วกับหลิงซวี่ต่างก็เดินมาส่งหนิงหลิงยู่และคนอื่นที่หน้าประตู..
“น้องซวี่..หลังจากที่พี่ใหญ่ของเจ้าช่วยท่านอาสามกลับมาจากคนของพรรคมารได้ ก็พยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างท่านน้ากับท่านอาดีขึ้นเรื่อยๆ”
หลังจากที่ทุกคนออกจากบ้านไปแล้วหลิงซิ่วจึงหันไปพูดกับหลิงซวี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่ของเจ้าไม่เคยคิดขัดความความสัมพันธ์ระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าเลยแม้แต่น้อยตรงข้าม.. เขากลับพยายามสนับสนุนด้วยซ้ำไป” หลิงซิ่วกำลังพูดถึงต่งยั่วหลานกับหลิงเสี่ยว..
จากนั้นจึงยกมือขึ้นลูบศรีษะของหลิงซวี่อย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดต่อว่า “เช่นนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมรับพี่ชายของเจ้าอีกงั้นรึ!”
ใบหน้างดงามของหลิงซวี่แดงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำเสียงเบา “ใครบอกว่าข้าไม่ยอมรับเขาเล่า.. ข้า.. ข้า..”
“ข้า..ข้าอะไรอีกเล่า” หลิงซิ่วรีบขัดขึ้นทันที
“แม่เทพธิดาตัวน้อยของตระกูลหลิงนี่เจ้ายังไม่กล้าเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อีกงั้นรึ!”
หลังจากที่หลิงเจิ้นถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลิงแล้วและหลิงซวี่ได้รับรู้ความเลวร้ายของหลิงเจิ้นที่ผ่านมา นางก็ทั้งโกรธและเกลียดหลิงเจิ้นมาก และในใจของหลิงซี่วเวลานี้ ท่านลุงของนางมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือหลิงเย่ว!
“ข้าไม่ใช่เทพธิดาตัวน้อยอีกแล้วนะพี่หลิงซิ่วขืนยังล้อข้าอีก ข้าจะฟ้องท่านลุง!”
“ได้..ได้.. ข้าไม่ล้อเจ้าแล้ว”
หลิงซิ่วนั้นรู้จักนิสัยใจคอของหลิงซวี่ดีจึงรีบหยุดหยอกล้อนางทันที แล้วพูดต่อว่า “อีกราวเจ็ดแปดวัน พี่ชายของเจ้าก็จะไม่อยู่ปักกิ่งแล้ว เขาจะเดินทางไปร่วมงานชุมนุมชาวยุทธที่เขาหลงหู่..”
“ข้าในฐานะพี่สาวย่อมไม่อยากเห็นพวกเจ้าสองพี่น้องหมางเมินกันเช่นนี้ข้าอยากให้หลิงหยุนออกเดินทางด้วยความสบายอกสบายใจ ไม่มีห่วงกังวลใดๆ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลิงซวี่นั้นเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาดย่อมสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย นางจึงพยักหน้าหงึกๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี..เจ้าไว้ใจพี่สาวคนนี้ได้ ข้าจะหาโอกาสให้เจ้าได้ทำความสนิทสนมกับพี่ชาย จะได้กำจัดช่องว่างนี้ทิ้งเสีย!”
หลิงซวี่ได้แต่พยักหน้า..