โซนชั้นสามของหอคอยเทพจิต อบอวลไปด้วยตัวสำนึกของมหายุทธ์ขั้นปลาย และเส้นทางของวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องรับการโจมตีของมหายุทธ์ขั้น 9 อีกด้วย

จนถึงตอนนี้ ในบรรดาหนุ่มสาวผู้มีความสามารถทั้ง 20 คนนั้น มีเพียงต้าวหวูซินเท่านั้นที่ผ่านชั้นสามของหอคอยเทพจิต ได้แล้ว

ตอนนี้การฝึกตนของต้าวหวูซินบรรลุไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 9 แล้ว จึงมีโอกาสที่จะบรรลุแดนมหายุทธ์ได้ทุกเมื่อ ส่วนตัวสำนึกการฝึกตนของนางนั้นได้บรรลุไปถึงแดนมหายุทธ์ขั้นสูงสุดแล้วและได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีตัวสำนึกการฝึกตนอันดับหนึ่งของโลกแสงดาว

เนื่องจากไม่มีวิชายิ่งเลิศกลั่นวิญญาณขั้นสูง แม้ว่าหลัวซิวจะมีช่องจิตปลอมเป็นตัวช่วย แต่ภายในเวลาสิบเอ็ดเดือนที่ผ่านมานี้ ตัวสำนึกการฝึกตนของเขาก็ไปถึงเพียงขั้นมหายุทธ์ขั้น 7 เท่านั้น

แต่แดนแห่งกฎของเขานั้นสูงกว่า เมื่อใช้พลังแห่งกฎเสริมเข้ากับตัวสำนึก ดังนั้นจึงทำให้ผ่านเส้นทางวิญญาณของหอคอยเทพจิตชั้นที่สามได้ไม่ยากนัก

“ได้เวลาฝึกฝนตำหนักเต๋ามาอีก 60 วัน!”

เมื่อเดินทางมาถึงปลายทางของเส้นทางแห่งวิญญาณแล้ว ริมฝีปากของหลัวซิวก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ เทวทูตจื่อเยียนและผู้แข็งแกร่งในแดนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ จึงไม่แปลกใจ เพราะด้วยความสามารถในการควบคุมแดนกฎแห่งความตายได้ในขั้นแรก หากไม่สามารถผ่านหอคอยเทพจิตชั้นที่สามได้ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย

ทว่าในตอนที่หลัวซิวก้าวเข้าไปยังหอคอยเทพจิตชั้นที่สี่ การโจมตีทางวิญญาณก็อบอวลขึ้นใหม่ในระดับที่สูงกว่าเดิม นั่นคือเจ้ายุทธจักรขั้นปฐมภูมิ

ความแตกต่างระหว่างแดนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถใช้เหตุผลในการคาดคะเนได้ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ การโจมตีทางวิญญาณของหอคอยเทพจิตชั้นที่สี่มีพลังแห่งกฎแฝงอยู่ด้วย

เนื่องด้วยผู้แข็งแกร่งที่บรรลุถึงแดนเจ้ายุทธจักรทุกคนต้องตระหนักรู้ในกฎ ไม่เช่นนั้นแล้วจะหยุดอยู่เพียงขั้นมหายุทธ์เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง ความกดดันจึงตกอยู่ที่หลัวซิวอย่างมาก เพราะสุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่สามารถต้านทานอยู่ที่นั่นได้นานถึงหนึ่งก้านธูป ส่วนเส้นทางแห่งวิญญาณนั้นเขาไม่มีแม้แต่โอกาสจะลองผ่านมันไปด้วยซ้ำ

“หลังจากที่ฝึกอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์มาเกือบครบหนึ่งปีแล้ว พลังของข้าก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก แต่หากเอาไปเทียบกับผู้แข็งแกร่งแดนเจ้ายุทธจักรแล้วถือว่ายังห่างชั้นกันมากนัก”

แม้ว่าจะไม่สามารถผ่านด่านหอคอยเทพจิตชั้นที่สี่ได้ แต่หลัวซิวก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด เพราะเขาเข้าใจดีว่าเวลาในการฝึกฝนของตนนั้นน้อยเกินไป ขอเพียงเขามีเวลาเพียงพอเท่านั้น การที่พลังแห่งการฝึกตนจะไปถึงขั้นเจ้ายุทธจักรได้นั้นอยู่ที่เวลาเท่านั้นว่าจะช้าหรือเร็ว

จากนั้นหลัวซิวรีบออกไปจากหอคอยเทพจิตในทันที และมุ่งหน้าไปยังหอคอยร่างทองต่อ

คราวที่แล้วเขาใช้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อแดนมหายุทธ์ขั้นปลายจนสามารถผ่านด่านชั้นที่ 3 ไปได้ แม้ว่าจะต้านทานอยู่ที่ชั้น 3 ได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะโซนสีทองไปได้

แต่ครั้งที่แล้วเขาใช้เพียงความดุดันของร่างยุทธ์ร่างเนื้อเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ใช้พลังแห่งกฎ

“จงพังทลาย!”

หลังจากเข้ามายังชั้นที่ 3 แล้ว หลัวซิวก็เริ่มส่งเสียงคำราม เขาใช้พลังแห่งความตายร่วมกับร่างยุทธ์ร่างเนื้อ แล้วปล่อยหมัดกระบี่ 13 สายออกไปทำลายโซนสีทอง จนได้รับเวลาในการฝึกตนตำหนักเต๋าอีก 30 วัน

ส่วนชั้น 4 ที่อยู่เหนือขึ้นไปนั้น หลัวซิวไม่แม้แต่จะพยายามผ่านด่านด้วยซ้ำ เขาเลือกที่จะออกจากหอคอยร่างทองไปทันที

บนชั้นที่ 4 ของสี่หอคอยฝึกฝนทุกแห่งล้วนเป็นชั้นแห่งเจ้ายุทธจักรเหมือนกัน หลัวซิวรู้อยู่แก่ใจดีว่าด้วยพลังของเขาตอนนี้ยังไม่สามารถที่จะฝ่าด่านไปได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก

ส่วนหอคอยเสวียนเทียนและหอคอยมหาภพที่เหลือ หลัวซิวเลือกที่จะยังไม่ไปฝ่าด่าน บนหอคอยเสวียนเทียนจะเน้นการทดสอบการฝึกพลังจิตแท้ ซึ่งในด้านนี้นั้นถือเป็นด้านที่หลัวซิวอ่อนหัดมากที่สุด ส่วนชั้นที่สามของหอคอยมหาภพ เขาก็เลือกที่จะยังไม่กลับไปฝ่าด่านอีกครั้ง

อันที่จริงในครั้งที่แล้วนั้น หากเขาทนเอาไว้ก่อน เพราะการต้านทานบนชั้น 3 ของหอคอยมหาภพนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขากลับอยากผ่านด่านชั้นที่ 3 ด้วยการสังหารคู่ต่อสู้ ดังนั้นเมื่อเขาระเบิดมหายุทธ์กลั่นร่างได้แล้วเขาจึงถูกขับไล่ออกมาทันที