การตัดสินใจของหลัวอวิ๋นซีทำให้ความชิงชังที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มีต่อนางลดน้อยลง ‘ศัตรูของศัตรูถือว่าเป็นมิตร’ พวกนางเข้าใจความหมายของประโยคดังกล่าวเป็นอย่างดี
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางและหลัวอวิ๋นซีจะไม่ดีนัก ทว่าตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการร่วมมือกันเพื่อจัดการตู้ซีรั่วและกลุ่มคนชุดดำ เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงสงบศึกกันเป็นการชั่วคราว
หลัวอวิ๋นซีและตู้ซีรั่วเหาะขึ้นกลางอากาศโดยตรง ทั้งสองมิได้ยั้งมือแต่อย่างใดขณะใช้พลังอำนาจแทบทั้งหมดในการต่อสู้อันดุเดือดนี้
กลุ่มคนชุดดำก็ได้รับคำสั่งเช่นกันและเข้าล้อมรอบกลุ่มของฉินอวี้โม่ อย่างน้อยพวกนางก็ต้องรับมือกับคู่ต่อสู้จำนวนสามถึงสี่คน ทว่าหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำก็ไม่ได้เคลื่อนไหวออกไป เขาเพียงจดจ่อกับการตามหาต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่ฉินอวี้โม่และทุกคนติดพันอยู่กับการต่อสู้
ความแข็งแกร่งของคนชุดดำถือว่าไม่อ่อนแอแม้แต่น้อยและยังมีเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ฝ่ายของฉินอวี้โม่ที่แม้จะร่วมมือกับหลัวอวิ๋นซีและเหลียนหยางก็รวมเป็นจำนวนเพียงหกคนเท่านั้นซึ่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปชั่วขณะ
ฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลอีกและเรียกเหล่าอสูรมายาของตนออกมาทันทีในขณะที่หานโม่ฉือเองก็เรียกมังกรเหมันต์และกิเลนอัคคีออกมาต่อสู้เช่นกัน
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจอย่างมากก็คือในเวลานี้มังกรเหมันต์ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตนภาเซียนแล้วภายใต้การฝึกฝนอบรมของกิเลนอัคคี แม้ตอนนี้มันยังอยู่เพียงระดับนภาเซียนครึ่งก้าว แต่การที่มันจะพัฒนากลายเป็นอสูรนภาเซียนเต็มตัวก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว
ยิ่งไปกว่านั้น มันก็มองหานโม่ฉือและกิเลนอัคคีด้วยแววตาท่าทางเคารพ มังกรจอมอหังการตัวเดิมหายไปที่ใดกัน ?
“เป็นอย่างไรล่ะ ? ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามังกรเหมันต์มาเป็นอย่างดี”
เมื่อกิเลนอัคคีมองเห็นสีหน้าประหลาดใจของฉินอวี้โม่ มันก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและหันไปกล่าวกับเสี่ยวอวี้ที่อยู่ด้านข้าง
“เยี่ยมจริง ๆ ข้าเองก็ประหลาดใจที่ความแข็งแกร่งของมันในตอนนี้ก็ยังเหนือกว่าข้าเสียอีก”
ในความจริง ความแข็งแกร่งของหานอวี้ เสี่ยวจิ่วและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ก็ชะงักนิ่งมาเนิ่นนาน
ในเมื่อฉินอวี้โม่ยังไม่สามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตนภาเซียนได้ ไม่ว่าเหล่าอสูรจะมีพรสวรรค์ทางสายเลือดเพียงใด พวกมันก็ไม่มีหนทางที่จะฝ่าบรรลุระดับนภาเซียนได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น อสูรบางตัวก็บรรลุถึงระดับสูงสุดของพรสวรรค์มันแล้ว ยกตัวอย่างเช่นเสี่ยวเฮย เสี่ยวจินและอสูรอีกหลายตัว หากไม่พบโอกาสที่พิเศษจริง ๆ พวกมันก็ทำได้เพียงติดอยู่ในระดับพสุธาเซียนขั้นสูงสุดไปตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม มังกรเหมันต์ก็ถือว่าเป็นมังกรสายเลือดระดับสูงในเผ่าพันธ์ุมังกร หานอวี้จึงไม่แปลกใจนักที่มันบรรลุระดับนภาเซียนได้ไม่ยาก
ในเวลานี้เมื่อกองทัพอสูรมายาของฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นมาและร่วมมือกันด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหานอวี้ กิเลนอัคคี มังกรเหมันต์และอสูรอื่น ๆ ภายในเวลาเพียงไม่นาน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ตอบโต้ได้โดยที่ไม่ตกเป็นรองอีกและกลายเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าได้สำเร็จ
กลุ่มคนชุดดำถูกโจมตีจนต้องถอยออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าและตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชไม่น้อย
“เหอะ พวกเจ้าสายไปเสียแล้ว ฮ่า ๆ ๆ !”
จู่ ๆ บุรุษชุดดำผู้ที่เป็นหัวหน้าก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ไม่ทราบแน่ชัดว่าเขาทำสิ่งใด ทว่าน้ำในบ่อกลับเกิดคลื่นรุนแรงอย่างกะทันหันและเกิดฟองอากาศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะน้ำพุยังคงไหลเวียนต่อไปราวกับกำลังเดือดปุด ๆ
สีหน้าของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีขณะจับตาดูการเปลี่ยนแปลงประหลาดของบ่อน้ำพุตรงหน้า ทั้งสองทราบดีว่าต้นโพธิ์ที่ตามหากำลังจะปรากฏขึ้นมาแล้ว
เป็นจริงดังที่คิดไว้เมื่อจู่ ๆ พลังชีวิตที่มหาศาลก็กวาดออกไปทั่วทั้งยอดเขาม่านหมอก จากนั้นพฤกษานานาพรรณในระยะหนึ่งร้อยลี้ก็เติบโตเต็มวัยในทันทีราวกับได้รับพลังงานบำรุงหล่อเลี้ยงเป็นอย่างดี แม้แต่ผลไม้ประหลาดที่เดิมทีต้องใช้เวลาเจริญเติบโตนับร้อยปีก็แผ่กลิ่นอายดึงดูดและสุกงอมอย่างรวดเร็ว
จากนั้นลำแสงหลากสีก็ปรากฏขึ้นในบ่อน้ำและส่องสว่างเจิดจ้าจนแทบไม่สามารถลืมตามองได้
อึดใจต่อมา น้ำพุร้อนที่เดือดพล่านเมื่อครู่ก็สงบลงอย่างรวดเร็วและเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ตรงกลางบ่อก่อนต้นไม้งดงามต้นหนึ่งซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตที่มหาศาลค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นมา ในเวลานี้ราวกับมีเกาะขนาดเล็กปรากฏขึ้นกลางบ่อน้ำพุร้อนและตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้นจนดูเป็นภาพที่วิเศษราวกับต้องมนต์สะกด
“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดข้าก็พบต้นโพธิ์เสียที !”
บุรุษชุดดำแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจและร่างของเขาพุ่งตรงเข้าไปใกล้ต้นโพธิ์อย่างรวดเร็ว เขาไม่รอช้าและเอื้อมมือหมายจะแตะต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความต้องการฉกฉวยมันกลับไปโดยเร็วที่สุด
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของบุรุษผู้นั้นทว่าพวกนางก็ตอบสนองช้าเกินไปก้าวหนึ่ง เมื่อเห็นว่าต้นโพธิ์กำลังจะตกเป็นของบุรุษชุดดำ หลัวหมิงเฟยและคนอื่น ๆ ก็เริ่มมีสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน ทว่าสีหน้าของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยังคงเรียบเฉย
หากต้นโพธิ์ถูกฉกฉวยหรือครอบครองไปได้ง่าย ๆ มันก็คงไม่คู่ควรกับชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในสามพฤกษาที่ทรงพลังที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น พลังความมืดควรจะเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดสำหรับพฤกษาแห่งธรรมะอย่างต้นโพธิ์ ในเมื่อคนผู้นั้นบ่มเพาะพลังความมืดของฝ่ายมาร แน่นอนว่าการที่เขาคิดจะแตะต้องต้นโพธิ์ก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก
และก็เป็นจริงดังที่ทั้งสองคิดไว้ เมื่อมือของเขาเข้าใกล้ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จนเกือบแตะถึงมัน จู่ ๆ แสงสว่างจ้าก็เปล่งออกมาจากต้นโพธิ์และพุ่งตรงเข้าใส่บุรุษชุดดำอย่างจัง
พลั่กกก !
เนื่องจากไม่มีโอกาสหลบหลีกได้ทัน เขาจึงถูกลำแสงดังกล่าวโจมตีอย่างแรงจนกระแทกเข้ากับเนินเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลก่อนร่วงลงพื้นในสภาพที่ดูน่าเวทนาไม่น้อย
“จิ๊จิ๊ ต้นโพธิ์ที่ยังไม่โตเต็มวัยนี้ ต่อให้เจ้าต้องการมัน เจ้าก็เอามันไปไม่ได้หรอก”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบัง การที่ก่อนหน้านี้พวกเขาขโมยบุปผาแห่งความมืดไปได้ง่าย ๆ มันจึงทำให้พวกเขาประมาทไปพอสมควร เพราะในครานั้น บุปผาแห่งความมืดยังไม่ถูกปลุกขึ้นมาด้วยซ้ำและมันไม่มีพลังมหาศาลเช่นเดียวกับต้นโพธิ์ตรงหน้า มิฉะนั้นมันก็คงไม่ถูกคนของฝ่ายมารฉกฉวยไปได้ง่ายดายเช่นนั้น
เมื่อต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตรงหน้า แน่นอนว่าหลัวอวิ๋นซีและตู้ซีรั่วก็หยุดการต่อสู้ไปโดยปริยาย
หลัวอวิ๋นซีถอยออกไปยืนรวมกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้าประหลาดใจยิ่งนัก นางใช้เวลาฝึกวิชาอยู่ในเขตต้องห้ามของเผ่าเพียวเหมี่ยวมาตลอดชีวิตทว่ากลับไม่เคยค้นพบต้นโพธิ์ที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำนี้เลย
ไม่แปลกใจเลยที่บ่อน้ำพุร้อนจะมีอิทธิฤทธิ์ที่วิเศษวิโสจนน่าประหลาดถึงเพียงนั้น ที่แท้มันก็เกี่ยวข้องกับต้นโพธิ์นี้เอง
“ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ !”
เมื่อตู้ซีรั่วมองเห็นต้นโพธิ์ที่ตามหา สีหน้าตื่นเต้นของนางก็ปรากฏชัดเจนทันทีก่อนพุ่งตรงเข้าไปใกล้มัน
“หึ ตู้ซีรั่ว เจ้าไม่มีสิทธิ์เข้าไปใกล้ต้นโพธิ์ !”
หลัวอวิ๋นซีแค่นเสียงในลำคอและออกไปขวางหน้าตู้ซีรั่วทันที ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้ถูกพบในยอดเขาม่านหมอกของนางและนั่นก็ถือว่าเป็นสมบัติของนาง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองมันไป
“หลัวอวิ๋นซี เจ้าเด็กโง่ คิดว่าขัดขวางข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไรงั้นรึ ? ไปเอามันมาสิ ตราบใดที่ต้นโพธิ์อยู่ในมือเจ้า เจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ !”
เมื่อถูกขัดขวางโดยหลัวอวิ๋นซี ตู้ซีรั่วก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที นางต้องการอ้อมผ่านหลัวอวิ๋นซีไปยังเป้าหมายของตนทว่าไม่มีทางผ่านไปได้เลย
“ตู้ซีรั่ว หากต้นโพธิ์เป็นสิ่งที่ครอบครองมาได้ง่าย ๆ มันก็คงจะไม่อยู่ตรงนี้หรอก เจ้าอย่าพยายามยุยงปลุกปั่นข้าเลย ข้ามิได้โง่เขลาอย่างที่เจ้าคิด !”
หลัวอวิ๋นซีจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเย็นชาก่อนหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่ “ดูเหมือนว่าสาเหตุที่พวกท่านมาที่เผ่าเพียวเหมี่ยวของข้าก็คงจะเป็นเพราะต้นโพธิ์ต้นนี้สินะ !”
เมื่อลองไตร่ตรองดู องค์หญิงเล็กก็เข้าใจได้ทันที การที่ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมาที่เผ่าของนางอย่างกะทันหัน เกรงว่าจะต้องเป็นเพราะต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้านี่เอง
ในเมื่อฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งใด นั่นก็ถือเป็นคำตอบยืนยันข้อสงสัยของหลัวอวิ๋นซีได้อย่างชัดเจน พวกนางมาเพื่อต้นโพธิ์ต้นนี้จริงและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังอีก
“เหอะ ! ต้นโพธิ์ต้นนี้อยู่ในอาณาเขตของข้าและมันเป็นถือว่าเป็นสมบัติของข้า ใครหน้าไหนที่คิดจะแย่งชิงเอามันไปจะถือเป็นศัตรูของข้าหลัวอวิ๋นซีผู้นี้ ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน อย่าหวังว่าใครจะได้ครอบครองมันไป !”
หลัวอวิ๋นซีตัดสินใจและประกาศกร้าวออกไปทันที หากมีต้นโพธิ์อยู่ในการครอบครอง มันจะเป็นไพ่ตายสำคัญของนางอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาทั้งสามพฤกษา ต้นโพธิ์ก็ถือว่าเป็นพฤกษาที่จอมยุทธ์ชื่นชอบมากที่สุดเนื่องจากมันมีผลประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการฝึกวิชาของจอมยุทธ์
ทุกส่วนของต้นโพธิ์สามารถเพิ่มพลังความแข็งแกร่งให้กับผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างมาก มันสามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าได้อย่างง่ายดาย นางจึงตั้งมั่นที่จะครอบครองต้นโพธิ์นี้มาให้จงได้
“คิดว่าเจ้าจะรับมือกับพวกเราทุกคนได้งั้นรึ ?”
บุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มปรากฏตัวใกล้กับต้นโพธิ์อีกครา สายตาของเขาในตอนนี้จับจ้องตรงไปยังต้นไม้ต้นงามตรงหน้าด้วยแววตาปรารถนาอย่างไม่ปิดบัง
หากนำต้นโพธิ์ต้นนี้กลับไปยังฝ่ายมารได้สำเร็จ กอปรกับบุปผาแห่งความมืดที่มีอยู่แล้ว ฝ่ายมารของพวกเขาจะกลายเป็นขุมกำลังที่ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ดินแดนเทพมายาจะไม่มีทางขัดขวางหรือหยุดยั้งพวกเขาได้อีก ไม่มีทางที่จะต่อกรกับพวกเขาได้ ความแค้นที่สั่งสมมานานนับพันปีก็จะถูกชำระกับผู้คนทั่วทั้งดินแดนเทพมายาอย่างสาสม
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและนำกลีบบุปผาสีดำขึ้นมาทันที
กลิ่นอายประหลาดทว่าทรงพลังแผ่ออกมาจากกลีบบุปผาดังกล่าวซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รู้สึกอึดอัดขึ้นในทันที
“มันคือกลีบของบุปผาแห่งความมืด !”
เสียงของเสี่ยวม่านดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ก่อนที่ร่างของมันจะปรากฏขึ้นมาข้างกายนาง
ทันทีที่ต้นโพธิ์ปรากฏตรงหน้า พลังทั้งหมดที่เสี่ยวม่านสูญเสียไปก่อนหน้านี้ก็ฟื้นกลับคืนมาในทันทีและพลังของมันก็ยังพัฒนาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในฐานะอสูรพฤกษา กลิ่นอายและพลังที่แผ่มาจากต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิพลต่อการรักษาฟื้นฟูของมันอย่างยิ่ง
“นายหญิง อย่าให้กลีบบุปผานั่นสัมผัสเข้ากับต้นโพธิ์เด็ดขาด มิฉะนั้นต้นโพธิ์จะถูกกัดกร่อนอย่างแน่นอน !”
เสี่ยวม่านกล่าวอย่างรวดเร็ว
บัดนี้ต้นโพธิ์เพิ่งตื่นขึ้นมาเท่านั้นและอาจจะยังต้านทานกับพลังความมืดที่แอบแฝงอยู่ในกลีบของบุปผาแห่งความมืดไม่ได้ หากมันถูกกัดกร่อนขึ้นมา นั่นจะมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินคำเตือนของเสี่ยวม่าน ฉินอวี้โม่ก็ไม่กล้าลังเลหรือเสียเวลาอีกต่อไปขณะพุ่งตรงเข้าโจมตีหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำผู้ที่มีกลีบบุปผาสีดำอยู่ในมือ
หานโม่ฉือก็ไม่ลังเลและตรงเข้าไปโจมตีพร้อมกับฉินอวี้โม่ขณะพยายามช่วงชิงกลีบของบุปผาแห่งความมืดมาจากมือของอีกฝ่าย
“เหอะ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจสักหน่อย !”
แม้ตกเป็นเป้าโจมตี บุรุษผู้นั้นก็ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เขาแค่นเสียงเย็นชาและหุ่นสองตัวปรากฏขึ้นในมือก่อนโยนลงพื้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหุ่นประหลาดทั้งสองก็กลายร่างเป็นมนุษย์และยืนผงาดตรงหน้าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดทั้งสองอยู่ในระดับนภาเซียนขั้นสูงซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าหานโม่ฉือเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น หุ่นเชิดทั้งสองก็มีคุณสมบัติแตกต่างจากมนุษย์ซึ่งก็คือการที่พวกมันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดและไม่เกรงกลัวความตาย การรับมือกับพวกมันมีเพียงสองทางเท่านั้นนั่นก็คือการสยบหรือทำลายเสียให้สิ้นซาก
เมื่อเห็นหุ่นเชิดทั้งสองประจันหน้ากับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ บุรุษชุดดำก็ตรงเข้าไปใกล้ต้นโพธิ์โดยไม่ลังเล
จากนั้นกลีบของบุปผาแห่งความมืดในมือของเขาก็ถูกโยนตรงไปที่ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับรอยยิ้มยกขึ้นที่มุมปากอย่างสบายใจ
หากไม่สามารถนำมันกลับไป ก็ควรที่จะทำลายต้นโพธิ์ต้นนี้เสีย หากปราศจากต้นไม้ทรงพลังนี้ ชนเผ่าเอลฟ์ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัสและนั่นก็เป็นผลดีสำหรับฝ่ายมารของเขา
ฉินอวี้โม่ก็ถ่ายทอดคำสั่งให้มารยาที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดทันทีและต้องการให้อสูรสาวคว้ากลีบบุปผาสีดำนั้นไว้
อย่างไรก็ตาม มารยายังไม่ทันกระทำสิ่งใดเมื่อจู่ ๆ บุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏกายกลางอากาศและคว้ากลีบบุปผาดังกล่าวไว้ในมือก่อนหยุดลงบนต้นโพธิ์
.