ตอนที่ 667 ไป๋ฉี่แห่งหอคอยวิญญาณ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ผู้มาใหม่คือบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูมีอายุเพียงประมาณยี่สิบปีเท่านั้น เขาสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดและแผ่กลิ่นอายที่สร้างความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หล่อเหลาไร้ที่ติ ลักษณะท่าทางอ่อนโยนหรือรูปร่างสูงโปร่ง คุณสมบัติทุกด้านที่ประกอบกันทำให้เขาไม่ด้อยไปกว่าหานโม่ฉือแม้แต่น้อย

ในเวลานี้ รอยยิ้มบางก็ประดับมุมปากของเขาขณะถือกลีบของบุปผาแห่งความมืดไว้ในมืออย่างสบาย ๆ และยืนนิ่งด้วยความใจเย็น

หลังจากบุรุษผู้นั้นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่ ทันใดนั้น รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาทันทีและดูมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

ฉินอวี้โม่มองตอบด้วยความฉงนสงสัยไม่น้อย ราวกับว่านางไม่เคยรู้จักบุรุษผู้นี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม นางสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยบางอย่างจากตัวเขาทว่าก็ยังนึกไม่ออกในตอนนี้

“เจ้าเป็นใคร ?! คืนกลีบของบุปผาแห่งความมืดมาให้ข้า !”

เมื่อเห็นผู้ที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำของฝ่ายมารก็ชะงักไปเล็กน้อยทว่าเรียกสติกลับคืนมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกเล็กน้อย

หากกลีบของบุปผาแห่งความมืดนี้กัดกร่อนต้นโพธิ์ได้ไม่สำเร็จ แผนการของพวกเขาก็จะล้มเหลวไปอย่างสิ้นเชิง และหากกลับไปที่ฝ่ายมารพร้อมกับความล้มเหลวนี้ พวกเขาจะต้องรับบทลงโทษอันแสนสาหัสอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

บุรุษผู้นั้นเมินเฉยราวกับไม่ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความไม่พอใจของหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำแม้แต่น้อย สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ฉินอวี้โม่อย่างไม่ละสายตา

ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสภาวะอารมณ์ของหานโม่ฉือที่อยู่ข้างกายและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีขณะเขาก้าวออกมาขวางหน้าตนไว้ ดูเหมือนว่าบุรุษคนรักของข้าจะเริ่มมีน้ำโหเพราะความหึงหวงเสียแล้ว !

เมื่อเห็นบุรุษอื่นมองโม่เอ๋อร์ของตนอย่างไม่วางตาเช่นนี้ แน่นอนว่าหานโม่ฉือมิอาจทนอยู่เฉย ๆ ได้ ฉินอวี้โม่เป็นคนรักของเขาและไม่ว่าบุรุษใดก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดหมายปอง แม้เห็นได้ชัดว่าแววตาของบุรุษหนุ่มตรงหน้าดูจะเป็นแววตาของผู้ที่ได้พบกับสหายที่พลัดพรากจากกันมานาน ทว่าหานโม่ฉือก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี

ทันใดนั้น หานอวี้—มังกรทองเก้าเล็บที่กำลังเฝ้าสังเกตสถานการณ์โดยรวมก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความคุ้นเคยบางอย่าง หลังจากมองดูบุรุษผู้มาใหม่อย่างครุ่นคิด ในที่สุดมันก็นึกบางอย่างออกและดวงตาเป็นประกายตื่นเต้นทันที

หลังจากจำแลงร่างเป็นเด็กหนุ่ม มังกรน้อยผู้ร่าเริงก็ตรงเข้าไปหาบุรุษผู้หล่อเหลาในทันที

“พี่…พี่ไป๋ฉี่ใช่หรือไม่ ?!”

“ฮ่า ๆ ๆ เสี่ยวอวี้ นึกว่าเจ้าจะจำข้าไม่ได้เสียแล้ว”

เมื่อพบหน้าหานอวี้ บุรุษผู้นั้นก็ยิ้มร่าและอ้าแขนโผเข้ากอดมัน

“พี่ไป๋ฉี่จริง ๆ ด้วย !”

รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของมังกรน้อยก่อนผละออกไปปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่อีกครา

“ท่านแม่ เขาคือพี่ไป๋ฉี่ พี่ไป๋ฉี่จากหอคอยวิญญาณ !”

หานอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่าและตื่นเต้นดีใจเมื่อได้พบสหายที่ไม่ได้พบกันมานาน

เมื่อได้ยินชื่อ ‘ไป๋ฉี่’ ฉินอวี้โม่ก็เห็นภาพของบุรุษน่ารักกระปุ๊กลุกเจ้าของร่างกายจ้ำม่ำเจ้าเนื้อปรากฏขึ้นในหัวทันที ในอดีต ภายในหอคอยวิญญาณของโรงเรียนราชสำนักนั้น นางมีความสัมพันธ์ที่ดีและสนิทสนมกับวิญญาณประจำหอคอยในร่างมนุษย์ซึ่งมีชื่อว่า ‘ไป๋ฉี่’

ฉินอวี้โม่จำได้ดีว่าตอนที่นางจากมา ไป๋ฉี่บอกกับตนว่าจะมาหาเมื่อบ่มเพาะพลังจนจำแลงร่างที่แท้จริงและออกจากหอคอยวิญญาณได้ ทว่าหลังจากเวลาผ่านมาหลายปี นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เขากล่าวไว้จะกลายเป็นจริง และการที่เขาปรากฏกายตรงหน้าในวันนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

“อวี้โม่ ไม่ได้พบกันนานเลย”

เวลานี้ไป๋ฉี่มิได้ยืนอยู่บนต้นโพธิ์อีกต่อไป ทว่ากระโดดลงมาอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่และกล่าวทักทายด้วยความดีใจ

“ใช่ มันผ่านมานานหลายปีทีเดียว”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าหงึกหงักและมองบุรุษหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา

หลังจากไตร่ตรองดู นางยังคงมองเห็นร่องรอยของความเยาว์วัยจากใบหน้าของเขาได้เลือนราง ทว่าในเวลานี้ความจ้ำม่ำดูน่ารักของวัยเด็กหายไปอย่างสิ้นเชิงและแทนที่ด้วยความเติบโตของบุรุษหนุ่มรูปงามชวนตะลึง

“ข้าบอกแล้วว่าเมื่อออกจากหอคอยวิญญาณได้ ข้าจะมาหาเจ้า เมื่อไม่กี่วันก่อน…ในที่สุดข้าก็ทะลวงพลังอย่างสมบูรณ์และออกมาจากหอคอยได้ หลังจากสัมผัสได้ว่าเจ้าอยู่ที่ดินแดนเทพมายา ข้าก็รีบแหวกเปิดห้วงมิติและตรงเข้ามาโดยเร็ว หลังจากนั้นข้าก็สัมผัสได้ว่าเจ้าอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์แห่งนี้และตามมาจนพบ”

ไป๋ฉี่กล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้มกว้าง เมื่อครั้งฝึกวิชาอยู่ในหอคอยวิญญาณ เขาคิดเสมอว่าหากได้พบฉินอวี้โม่อีกครั้ง เขาคงจะมีความสุขมากเป็นแน่

ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจเช่นกัน ครานั้นที่ได้พบบุรุษหนุ่มจ้ำม่ำในหอคอยวิญญาณโดยบังเอิญ แม้ฝ่ายหนึ่งเป็นวิญญาณและอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ ทั้งสองก็ผูกมิตรเป็นสหายที่ดีต่อกัน ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้นางมีโอกาสที่ดีเช่นนั้น

“หานโม่ฉือรึ ?”

ไป๋ฉี่มองไปที่หานโม่ฉือถัดจากฉินอวี้โม่และตกตะลึงเล็กน้อย

หานโม่ฉือเองก็ศึกษาในโรงเรียนราชสำนักและเคยเข้าไปในหอคอยวิญญาณเช่นกัน ไป๋ฉี่เคยได้พบปะและปฏิสัมพันธ์กับเขาในหลายโอกาส แม้ว่าช่วงเวลาในตอนนั้นจะผ่านมาหลายปีแล้ว ไป๋ฉี่ก็ยังจำยอดฝีมือหัวกะทิอย่างหานโม่ฉือได้ไม่เปลี่ยนแปลง

“เจ้าคือวิญญาณที่เฝ้าหอคอยวิญญาณในตอนนั้นรึ ?”

หานโม่ฉือมองดูไป๋ฉี่อย่างจริงจังและไม่ยืนขวางระหว่างเขาและฉินอวี้โม่อีกต่อไป อดีตวิญญาณเฝ้าหอคอยตนนี้มิใช่ภัยคุกคามต่อพวกเขา ฉินอวี้โม่มองเขาเปรียบเสมือนเด็กน้อยคนหนึ่งไม่เปลี่ยนและก็ถือเป็นสหายที่ฉินอวี้โม่ไว้วางใจ

“ใช่แล้วล่ะ ในเมื่อเจ้าเป็นสามีของอวี้โม่ที่เป็นเหมือนพี่สาวของข้า ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าพี่เขยก็แล้วกัน”

ไป๋ฉี่ยิ้มกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาทราบความสัมพันธ์ระหว่างหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี

หานโม่ฉือพยักศีรษะเบา ๆ เป็นการตอบรับ

“พี่ไป๋ฉี่ คนพวกนี้รังแกข้าและท่านแม่”

หานอวี้กล่าวขัดจังหวะการรำลึกความหลังของไป๋ฉี่และฉินอวี้โม่ได้อย่างพอเหมาะพอดี ตอนนี้ยังมีกลุ่มคนรอบตัวที่จับจ้องมองอยู่ การที่จะจัดการกับคนเหล่านี้ก่อนและค่อยรำลึกความหลังก็ยังถือว่าไม่สายไป

“โอ้ มีคนริอาจรังแกอวี้โม่งั้นรึ ?”

เมื่อได้ยินวาจาของมังกรน้อย ไป๋ฉี่ก็ยื่นกลีบของบุปผาแห่งความมืดในมือของตนให้กับฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วก่อนหันกลับไปประจันหน้ากับกลุ่มคนชุดดำ

“เจ้าเป็นใคร ?!”

บุรุษชุดดำเหล่านั้นเอ่ยเสียงดังทว่าสีหน้าดูกังวลเล็กน้อย พวกเขาไม่สามารถมองเห็นถึงความแข็งแกร่งของไป๋ฉี่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น การที่บุรุษผู้มาใหม่ปรากฏตัวตรงหน้าโดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัวเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขามีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ข้าเป็นใครมิใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องรู้ สิ่งเดียวที่พวกเจ้าจะต้องรู้คือการที่กล้ารังแกอวี้โม่สหายของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้ารอดตัวไปแน่ หากวันนี้ไม่ได้สั่งสอนให้พวกเจ้าได้รู้สำนึก เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร !”

ไป๋ฉี่ยังคงวางท่ายโสโอหังเหมือนในอดีตและกล่าววาจาอย่างทะนงตน

เมื่อได้ยินวาจาของไป๋ฉี่ สีหน้าของคนชุดดำก็กลายเป็นเหยเกยิ่งกว่าเดิม เขาจะเรียกตัวเองว่าเป็นจอมยุทธ์นภาเซียนอย่างเต็มภาคภูมิต่อไปได้อย่างไร ? นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกดูหมิ่นอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้

“ไอ้เด็กสามหาว ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน !”

ทันทีที่สิ้นเสียงดังกล่าว บุรุษชุดดำก็ตรงเข้าโจมตีไป๋ฉี่ทันที ในขณะเดียวกันนั้น คนอื่น ๆ ก็ได้รับคำสั่งและรุมล้อมโจมตีฉินอวี้โม่เพื่อพยายามแย่งชิงกลีบของบุปผาแห่งความมืดกลับคืนมา

ตูมมม !

ร่างของไป๋ฉี่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วและประจันหน้ากับคนชุดดำ เขาแทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำขณะเหวี่ยงฝ่ามือฟาดอีกฝ่ายกระเด็นลอยกลางอากาศอย่างง่ายดายไม่ต่างจากการตบตีแมลงวัน

พลั่ก !

บุรุษชุดดำกระแทกเข้ากับเนินเขาอย่างแรงจนกระอักเลือกชุ่มไปทั่วร่างกายและตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก

“จะ…เจ้าไม่ใช่มนุษย์ !”

ความหวาดหวั่นปนความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าของบุรุษชุดดำทันที เขาชี้นิ้วตรงไปที่ไป๋ฉี่อย่างสั่นระริกเล็กน้อยและเอ่ยด้วยความกังวล

พลังของไป๋ฉี่น่าสะพรึงกลัวเกินไปซึ่งนี่มิใช่พลังที่มนุษย์จะสามารถครอบครองได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังที่เขาใช้เมื่อครู่ก็มิใช่พลังวิญญาณที่เกิดจากการฝึกยุทธ์ของมนุษย์ ซึ่งแม้แต่พลังความมืดของอีกฝ่ายก็ไม่มีผลต่อเขาเลยสักนิด

“เจ้าเพิ่งจะรู้รึ ?”

ไป๋ฉี่แสยะยิ้มอย่างเหยียดหยาม

“อวี้โม่ ต้องการให้ข้าจัดการกับเขาเลยรึไม่ ?”

เขาทำท่าทางปาดคอขณะเอ่ยถามฉินอวี้โม่อย่างสบาย ๆ เห็นได้ชัดว่าการสังหารใครสักคนมิใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา

ฉินอวี้โม่เพียงส่ายศีรษะและยังไม่สามารถสังหารคนผู้นี้ได้ในตอนนี้ หากพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์จนมุมและคิดระเบิดตัวเอง ผลที่เกิดขึ้นมิใช่สิ่งที่นางและคนอื่น ๆ จะรับมือได้

หากไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะสังหารศัตรูได้ในคราวเดียว นางก็จะไม่ตัดสินใจสังหารคนผู้นั้น

“พวกเจ้าไสหัวออกไปไปซะ ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นของพวกข้า !”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบา ๆ ขณะนางและหานโม่ฉือเดินตรงเข้าไปใกล้ต้นโพธิ์

หลัวหมิงเฟยและสั่วซีหย่า รวมถึงกองทัพอสูรของฉินอวี้โม่ก็เดินตามไปเช่นกัน

พวกเขาร่วมมือกันเพื่อปกป้องคุ้มกันรอบ ๆ ต้นโพธิ์เพื่อไม่ให้ศัตรูมีโอกาสแย่งชิงไปได้

“เหอะ ข้าจะจดจำเรื่องวันนี้ไว้ไม่มีวันลืม !”

บุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มแค่นเสียงเย็นชาโดยไม่ลังเลและหลบหนีออกไปพร้อมกับคนชุดดำคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว

เมื่อตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ตู้ซีรั่วก็จากไปกับเขาเช่นกัน ภายในเวลาเพียงชั่วขณะ ตรงจุดศูนย์กลางของการต่อสู้เมื่อครู่ก็เหลือเพียงกลุ่มของฉินอวี้โม่เท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้หลัวอวิ๋นซีและเหลียนหยางตกตะลึงไปชั่วขณะ กว่าที่ทั้งสองจะเรียกสติกลับคืนมาได้ ตู้ซีรั่วและกลุ่มคนชุดดำก็ไปจากที่นี่แล้ว

หลัวอวิ๋นซีฉงนสงสัยอย่างยิ่งขณะก้าวออกมาข้างหน้าและเอ่ยถาม “ฉินอวี้โม่ เหตุใดจึงปล่อยให้คนพวกนั้นหนีไปง่าย ๆ ?”

“องค์หญิงเล็ก หากคนชุดดำพวกนั้นเข้าตาจนและตัดสินใจระเบิดตัวเองที่นี่ ฝ่ายที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียมากที่สุดก็คือเผ่าเพียวเหมี่ยวของท่าน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาของการต่อสู้ชี้ขาด”

ฉินอวี้โม่อธิบายอย่างเรียบง่ายและในตอนนี้นางก็ไม่ต้องการมีเรื่องขัดแย้งใด ๆ กับหลัวอวิ๋นซีอีก

พวกนางพบต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ตามหาแล้วและต้องคิดหาทางเอามันออกไป เมื่อพิจารณาจากบุคลิกนิสัยของหลัวอวิ๋นซี เชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยให้นางครอบครองต้นโพธิ์ไปง่าย ๆ แน่ อย่างไรก็ตาม หากปราศจากต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ นางก็ไม่สามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ของต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถช่วยให้ราชินีเอลฟ์ฟื้นขึ้นมาได้ เพราะเหตุนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะต้องเอาต้นโพธิ์ต้นนี้กลับไปให้จงได้

เมื่อหลัวอวิ๋นซีได้ฟังคำอธิบายของฉินอวี้โม่ นางก็พยักศีรษะด้วยความเข้าใจ การปล่อยคนชุดดำเหล่านั้นหนีไปถือเป็นการกระทำที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้ หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่จนตรอก ไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าคนเหล่านั้นจะตัดสินใจทำอย่างไร หากพวกเขาระเบิดตัวเองด้วยกันจริง พลังนั้นก็มากพอสำหรับทำลายทั้งเผ่าเพียวเหมี่ยวจนราบเป็นหน้ากลอง

“คนพวกนั้นคือคนของฝ่ายมารอย่างนั้นหรือ ?”

หลัวอวิ๋นซีกล่าวถามอีกครา แม้จะทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว นางก็ต้องการคำยืนยันจากฉินอวี้โม่ คนจากฝ่ายมารเหล่านั้นกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งและมีหลายคนแฝงตัวเข้ามาปะปนอยู่ในชนเผ่าเอลฟ์ของพวกนาง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ในเผ่าเพียวเหมี่ยวของนางก็จะมีคนของฝ่ายมารที่ลักลอบแฝงตัวอยู่หรือไม่ ?

“ถูกต้อง”

ฉินอวี้โม่ตอบยืนยันและกล่าวต่อ “หลัวอวิ๋นซี วันนี้เราต้องเอาต้นโพธิ์นี้กลับไป หากท่านคิดจะขัดขวาง เกรงว่าเราคงต้องสู้กันเท่านั้น”

น้ำเสียงของนางหนักแน่นไร้ความลังเลซึ่งบ่งบอกถึงความมั่นใจว่านางจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะได้แน่

.