บทที่ 48 ดูหมิ่น
ทวีปต้นกำเนิดไม่ใช่ถิ่นที่เคร่งเรื่องความเชื่อเท่าไหร่
แม้เผ่ามนุษย์ คนเถื่อน และเผ่าอื่น ๆ จะมีศาสนาและนิกายในวัฒนธรรมของตน แต่ก็ไม่มีศาสนาและนิกายใดเป็นใหญ่ในสังคมเลย
แต่มีเพียงเผ่าเดียวที่เป็นข้อยกเว้น คือเผ่าปักษา
เผ่าปักษามีความเชื่อแรงกล้า เชื่อในพระแม่หนึ่งเดียว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของทั้งเผ่าปักษา ถูกเรียกว่าพระแม่แห่งท้องฟ้าไร้สิ้นสุด เหล่าสาวกจึงเรียกนางว่าพระแม่
เผ่าปักษายังมีการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างศาสนาและรัฐ อาณาจักรแห่งหมู่เมฆและนิกายพระแม่แห่งปักษานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ราชาครองอำนาจด้านการเมืองเบ็ดเสร็จ ส่วนเจ้าศาสนาก็ครองอำนาจด้านความเชื่อ มีอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าราชา ทั้งในบางด้านยังจะมากกว่าด้วยซ้ำ นิกายพระแม่แห่งปักษามีกองกำลังและการเก็บภาษีเป็นของตนอีกต่างหาก
เผ่าปักษาบูชาและเชื่อมั่นในพระแม่ ซูเฉินเองก็รู้เรื่องนี้
แต่ไม่รู้ว่าเผ่าปักษาจะได้แรงบันดาลมาจากพระแม่
นางไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์แทนหรอกหรือ ?
เขาเอ่ยเสียงหยัน “เชื่อด้วยหรือว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ?”
นกขมิ้นเปลวเพลิงตอบ “พระแม่ย่อมมีจริง ! พวกคนไร้ความเชื่ออย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอก เพราะไม่เคยได้รับการดูแลจากนาง แต่พวกเราเผ่าปักษานั้นแตกต่าง พวกเราได้รับการดูแลจากพระแม่ นางเป็นคนชี้ทางที่ถูกต้องให้พวกเรา !”
ซูเฉินไม่คิดว่านกขมิ้นเปลวเพลิงจะตอกกลับอย่างคลั่งไคล้งมงายเช่นนั้นจึงชะงักไป
เป็นผ้าเท่อลั่วเค่อที่ตอบ “อย่าดูหมิ่นพระแม่ของเผ่าปักษาเลย นางเป็นบ่อความเชื่อและรากเหง้าความภูมิใจทั้งหลายของพวกเขาเชียว”
“รากเหง้าความภูมิใจทั้งหลายมาจากพระแม่ ?” ซูเฉินถามกลับ ตกใจนัก
ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ “คงไม่ได้มาจากการที่บินได้หรอก”
ซูเฉินยักไหล่กลับ ก็เขาเชื่อเช่นนั้นมาจนถึงตอนนี้นี่นา
แต่แท้จริงแล้วความหยิ่งผยองของเผ่าปักษานั้นมาจากความเชื่อที่ว่าพวกเขาเป็นเผ่าเดียวที่ได้รับการชี้นำจากพระแม่
ด้วยเหตุนี้ ทุกข์ทั้งหลายก็แค่เรื่องชั่วคราวเท่านั้น
ความเชื่อทำให้ไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้จักวิเคราะห์แยกแยะ แต่กลับทำตามคำสั่งพระแม่อย่างหูหนวกตาบอด
หากพระแม่อยากให้เมตตา พวกเขาก็มีเมตตา
หากพระแม่อยากให้โหดร้าย พวกเขาก็โหดร้าย
ความเชื่อทำให้ซื่อสัตย์ แต่ก็ทำให้บ้าคลั่งได้เช่นกัน
หากแต่ซูเฉินไม่เข้าใจเลย
อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ
ดังนั้นจึงทำผิดมหันต์ไป
เขาหัวเราะหยัน “พวกคนเขลา”
“เจ้าไม่เชื่อหรือว่ามีพระแม่อยู่จริง ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถาม
ซูเฉินตอบ “ข้าแค่คิดว่าจะมีพระแม่อยู่หรือไม่นั้นไม่สำคัญ หากไม่มีก็แค่พวกโง่ที่หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่มีจริง แต่หากมีจริงก็ยังเป็นพวกโง่ที่ยอมมอบทุกอย่างให้นางและละทิ้งอิสรเสรีของตนไป ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ยังเป็นพวกไร้สมองอยู่ดี ข้ายอมเปลี่ยนสายเลือดกับวัฒนธรรมประเพณีดีกว่าทิ้งความหวังความฝันทุกอย่างให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วละทิ้งอิสระตนหรอก”
“หุบปาก ! อย่าดูหมิ่นพระแม่นะ !” นกขมิ้นเปลวเพลิงร้องลั่น
ซูเฉินตอบเสียงเย็น “อย่าแผดเสียงใส่ข้าเช่นนั้น บอกมาว่าคิดจะคุมเจ้านี่ต้องทำอย่างไร”
“ข้าไม่บอกแล้ว !” แปลกนักที่นกขมิ้นเปลวเพลิงยังกล้าแข็งข้อ
“อะไรนะ ?” ซูเฉินชะงักไป
นกขมิ้นเปลวเพลิงพลันลุกขึ้น ทั่วร่างเต็มไปด้วยความโกรธ
ซูเฉินจึงพบว่าจังหวะนั่นนางหลุดออกจากการควบคุมได้
พอบินขึ้นฟ้าแล้วก็กรีดเสียงลั่น “จะไม่มีใครดูหมิ่นพระแม่ทั้งนั้น ! อย่าคิดว่าข้าจะบอกอะไรอีก แผนข้าล่มแล้ว แต่นางพญาในรังแมลงจะเป็นของเผ่าปักษาเท่านั้น ! ข้าไม่ยอมให้เจ้าใช้มันทำร้ายคนในเผ่าหรอก ! ข้ายอมสละชีวิตเพื่อรักษาเกียรติของนางไว้ !”
พูดจบ ร่างนางก็เปล่งแสงจ้าออกมา
จากนั้นก็ระเบิด
ตู้ม !
ด้วยการระเบิดพลังรุนแรง นกขมิ้นเปลวเพลิง ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งเลือดและเนื้อกระจายทั่วห้องหิน
มีแต่เลือดสาดกระเซ็น
จังหวะที่นางระเบิด ซูเฉินเอื้อมมือไปคว้าร่างนกขมิ้นเปลวเพลิงไว้ได้ มือข้างที่ทำจากพลังต้นกำเนิดบีบอัดแน่นรีบคว้าอักขระวิชาอาร์คาน่าของนางไว้แล้วโยนเข้าไปในขวดยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้าทันที
มันรวดเร็วมากราวกับเขาเตรียมการอยู่ก่อนแล้ว แต่แท้จริงแล้วการกระทำของนางก็ทำเขาตกใจเช่นกัน เพียงแต่เป็นการวิเคราะห์อันรวดเร็วของผลึกวิญญาณเท่านั้นที่ทำให้เขาลงมือทันเวลา
“เป็นพวกคลั่งศาสนานี่เอง” ผ้าเท่อลั่วเค่อพึมพำอึ้ง ๆ
จากนั้นหันมาพูดกับซูเฉิน “รู้แล้วใช่ไหมว่าอย่าไปดูหมิ่นพระแม่พวกเขา ?”
ซูเฉินเงียบมองรูปแบบพลังต้นกำเนิดที่อยู่ในขวดและเลือดที่นองพื้นก่อนยอมรับ “ข้าพลาดไป ข้าจะเรียนรู้จากความผิดพลาดนี้เสีย”
“ใช่ จำเอาไว้ อย่าไปยั่วยุพวกสาวกคลั่งศาสนาอย่างไม่ทันคิด เพราะหากผิดใจกันไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ผ้าเท่อลั่วเค่อแนะนำ
ซูเฉินตอบเสียงสงบ “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนนั้น”
“อะไรนะ ?”
“การโจมตีจิตทรงพลังไม่เพียงทำให้นางพ้นจากวิชากักความทรงจำลับได้ แต่ยังทำลายทะเลความรู้ของนางด้วย ที่คาดไม่ถึงคือนางฉวยโอกาสนั้นทำลายผนึกที่ข้าสลักลงจิตไว้ได้…… บัดซบเอ๊ย ! หากต่อไปเจอเช่นนี้อีก ต้องระวังให้มากกว่าเดิม” ซูเฉินกัดฟันเอ่ย
ผ้าเท่อลั่วเค่อไม่คิดว่าซูเฉินจะเอ่ยเรื่องที่ได้รู้มาเช่นนี้ “แต่ความเชื่อ……”
“ความเชื่อเวรอะไรนั่นข้าไม่สนหรอก !” ซูเฉินโพล่งขึ้นมา “นางจะบ้าหรือไม่ข้าก็ไม่สน ที่สนคือจะควบคุมได้หรือไม่ต่างหาก !”
ผ้าเท่อลั่วเค่อได้ยินแล้วก็พูดไม่ออก
คิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยคำ “อย่างไรตอนนี้ก็เสียโอกาสรู้ความลับเรื่องรังแมลงไปแล้ว”
นกขมิ้นเปลวเพลิงตายกะทันหันมาก ยังมีอีกหลายคำถามที่เขายังไม่ได้คำตอบ เช่น ทำไมหรงกูลั่วทรยศเผ่ามนุษย์ ? จะคุมรังแมลงตรงหน้าได้อย่างไร ?
แต่ซูเฉินก็ไม่คิดมาก “ก็อาจไม่ถูก เรื่องบางอย่างคิดสักหน่อยก็รู้ได้ เช่นเรื่องเหตุผลที่หรงกูลั่วทรยศเผ่ามนุษย์ทำไมนั่นไม่สำคัญ ก็คงเพราะได้ผลประโยชน์มากอย่างไรเล่า ! เผ่าปักษาดูจะยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อทำให้แผนจุดลอยที่ 6 เป็นจริงได้ ดังนั้นก็คงมอบสิ่งที่หรงกูลั่วต้องการ เพราะไม่ว่าจะโลภขนาดไหน แต่ก็คงไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าจุดลอยที่ 6 หรอก !”
เผ่าปักษามีเมืองลอยฟ้าทั้งหมด 5 แห่ง ซึ่งเป็นแหล่งพลังอำนาจในการโจมตีเผ่าอื่น จะบอกว่าแต่ละเมืองสำคัญเทียบเท่าอาณาจักรก็ไม่มากไป การสร้างมันขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ดูจากความสำคัญของแต่ละเมืองแล้วจึงรู้ได้ว่าเผ่าปักษาจะยอมจ่ายเพียงไหน
ที่เขาไม่อาจคิดหาเหตุลที่หรงกูลั่วทรยศเผ่ามนุษย์ออก ก็เพราะตระกูลหลงเป็นตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูร ซูเฉินไม่เชื่อว่าเผ่าปักษาคงไม่คิดยอมจ่ายหนักเพื่อโน้มน้าวอีกฝ่ายหรอก
แต่หากคิดถึงเรื่องจุดลอยแล้วก็จะกลับกันทันที
เผ่าปักษาคงยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อตระกูลทั้งตระกูลเพื่อให้ได้จุดลอยที่ 6 มาอย่างไม่ต้องสงสัย
มูลค่าเท่าไหร่นั้นไม่สำคัญ เพราะมันเป็นเพียงตัวเลข ดังนั้นซูเฉินจึงไม่คิดอยากรู้เท่าไหร่
“เช่นนั้นรังแมลง……” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยต่อ
รังแมลงยังต้านการโจมตีของซูเฉินและกรีดร้องเสียงเจ็บปวดไม่หยุด
ยังคงสภาพน่าสงสารเอาไว้
“ง่าย ๆ” ซูเฉินวาดมือ ลวดลายอักขระปรากฏ “ท่านคิดว่าข้าจะเอาอักขระวิชาอาร์คาน่านางมาทำไมกัน ? เพื่อวิชาธรรมดาหรือ ? ไม่เลย นกขมิ้นเปลวเพลิงไม่ได้มีวิชาพิเศษที่คุมรังแมลงได้ แต่นางมีวิชาพิเศษที่จะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดของเราได้ ข้ามั่นใจว่าข้ารู้จักวิชาประเภทนี้ดี…… หากถอดวิชาออกจากอักขระนี้ได้ละก็นะ”
ว่าแล้วก็ใช้เนตรมองโลกจุลภาควิเคราะห์ลวดลายดู
ไม่นานก็เผยรอยยิ้ม “เป็นไปตามคาด”
เมื่อไล้นิ้วไปตามลวดลายอย่างรอบคอบแล้ว อักขระวิชาอาร์คาน่าบางส่วนจึงเริ่มเปลี่ยนรูปและส่องสว่าง ทำให้เขารู้ว่ามันเรียงตัวกันอย่างไร ครู่ต่อมาเขาจึงดูดซับลวดลายเรืองแสงที่เลือกมา
แต่แปลกนักที่เขาพบว่ามันไม่ยอมซึมเข้าร่าง ไม่ว่าจะดูดซับอย่างไรก็ตาม
“เกิดอะไรขึ้น ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อตกใจ
วันนี้เกิดเรื่องน่าตกใจขึ้นหลายอย่างเหลือเกิน
ซูเฉินไม่ตกใจเท่าไหร่ “เป็นวิชาอาร์คาน่าลี้ลับ อาจเป็นวิชาสลักจิต”
วิชาอาร์คาน่าลี้ลับเป็นวิชาอาร์คาน่าประเภทหนึ่งที่มีเพียงคนเฉพาะกลุ่มที่จะสามารถเรียนรู้และใช้งานได้
วิชาสลักจิตเป็นวิชาไม่ซับซ้อน มีเพียงนักร่ายมนตร์ที่ใช้ได้ เอกลักษณ์เฉพาะของรังเสียงละไม หรือก็คือกระทั่งนักร่ายมนตร์จากรังอื่นก็ยังไม่อาจใช้วิชานี้ได้
วิชาอาร์คาน่านี้มีความเป็นเอกลักษณ์อยู่ 2 ประการ หนึ่งคือเมื่อใช้วิชาสลักจิตกับเป้าหมายแล้ว เป้าหมายจะทำตามคำสั่งทุกอย่างของผู้ใช้ สองคือเป้าหมายกับผู้ใช้วิชาสามารถสื่อสารกันได้ผ่านจิต
วิชาสลักจิตคล้ายกับวิชา วิชาทาสตระกูลจู แต่วิชาทาสจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเป้าหมายมีพลังจิตอ่อนกว่าผู้ใช้เท่านั้น ดังนั้นหากเป็นเป้าหมายที่แกร่งกล้าจึงใช้ได้ยาก วิชาตระกูลจูแกร่งกว่าผีเสื้อลวงตระกูลจิน แต่ทั้งสองก็ยังคุมจิตคนที่มีพลังจิตกล้าแข็งกว่าได้ยาก อย่างมากการควบคุมของตระกูลจูก็มากกว่าตระกูลจิน แต่ก็ยังมีจำกัด
แต่วิชาสลักจิตไม่สนเรื่องความต่างพลังจิต สนเพียงว่าเป้าหมายจะต้านได้มากเท่าไหร่เท่านั้น
หรือก็คือหากเป้าหมายต่อต้านก็ทำได้ แต่หากไม่อยากก็จะถูกควบคุม
มุมหนึ่งก็ดูด้อยกว่าวิชาตระกูลจู
แต่ปัจจัยสำคัญของวิชาสลักจิตข้อหนึ่งคือ การเชื่อมต่อของมันมั่นคงมาก เมื่อเป้าหมายถูกวิชาสลักจิตแล้วจะไม่อาจมีวิชาใดสามารถลบล้างสลักออกได้
ผู้ใช้วิชาสลักจิตอาจไม่ได้แกร่งนัก แต่เมื่อถูกสลักไว้แล้วก็ทำลายไม่ได้อีก
สิ่งที่เกิดกับจูเซียนหลิงจะไม่มีทางเกิดกับเป้าหมายที่ถูกวิชาสลักจิตแน่นอน
อีกทั้งสาเหตุที่ทาสของจูเซียนหลิงหักหลังนางก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาสลักจิตเช่นกัน
จะได้ผลกับเป้าหมายที่ไร้การต้านทานเท่านั้น
ทาสคือเป้าหมายเช่นนั้น ในเมื่อขาดอิสระในตนไปแล้ว จะไปหาแรงใจจากไหนมาต้านทานได้ ?
ดังนั้นวิชาสลักจิตจึงเป็นเหมือนของแสลงต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่เชี่ยวชาญการควบคุมคนอื่น พวกเขาสามารถควบคุมคนอื่นได้ก็จริง แต่ก็ถูกวิชาสลักจิตดึงเอาคนไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน
ยังมีเหยื่ออีกหนึ่งอย่างที่วิชาสลักจิตจะได้ผลดีเป็นพิเศษ
เด็ก ๆ
เด็กอายุน้อยมักขาดพลังในการต้านทาน
ดังนั้นซูเฉินจึงคิดได้ทันทีว่านี่เป็นวิชาที่เผ่าปักษาใช้เพื่อควบคุมรังแมลง !