บทที่ 49 วิชาสลักจิต
เมื่อได้ซูเฉินอธิบายเรื่องวิชาสลักจิต ผ้าเท่อลั่วเค่อก็เข้าใจจุดประสงค์ของเผ่าปักษา เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นคิดใช้วิชาสลักจิตกับรังแมลงในระหว่างการเติบโตเพื่อทำให้กลายเป็นคลังอาวุธของเผ่าปักษา
“แล้วมันถูกวิชาสลักจิตไปหรือยัง ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถาม
“เป็นจุดที่เราโชคดี” ซูเฉินตอบ “วิชาสลักจิตจะใช้ง่าย ๆ ไม่ได้ กระทั่งนักร่ายมนตร์ยังต้องรอเวลาให้เป้าหมายโตระดับหนึ่งจึงใช้ได้ หากให้เดารังแมลงจะถูกวิชาไม่ได้จนกว่าจะโตในระดับหนึ่ง นกขมิ้นเปลวเพลิงช่วยตระกูลหรงด้วยการใช้วิชาสลักจิตกับทาสของจูเซียนหลิง ทำให้นางไม่สามารถใช้วิชาไปได้อีกระยะหนึ่ง ภายหลังนางก็ตกอยู่ในกำมือข้า ดังนั้นนางจึงไม่อาจใช้วิชากับแมลงได้อีก ตอนนี้รังแมลงโตถึงขั้นใช้วิชาได้แล้ว แต่มันจะไม่ฟังพวกเขา แต่ฟังข้าแทน”
“แต่เจ้าไม่ใช่นักร่ายมนตร์ ทั้งยังร่ายวิชาไม่ได้อีก” ผ้าเท่อลั่วเค่อถอนใจ
“ข้าร่ายวิชาไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าใช้ไม่ได้” ซูเฉิน ยิ้มอธิบาย “อักขระวิชาอาร์คาน่านี้มาจากนักร่ายมนตร์ มีความสามารถของนางทั้งหมด อีกทั้งพลังเช่นนี้ใช้หนเดียวก็พอ”
ว่าแล้วก็ยกอักขระวิชาอาร์คาน่าในมือขึ้นแล้วใส่พลังต้นกำเนิดเข้าไป
ลวดลายเปล่งแสงช้า ๆ ก่อนจะสลายไปเมื่อแสงจ้าถึงขีดสุด
ระหว่างสลายไปก็เกิดอุโมงค์จิตขึ้น
ครู่ต่อมา ซูเฉินก็สัมผัสได้ถึงจิตของรังแมลง
มันกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
ในเมื่อมันยังเล็กและโตไม่เต็มที่ ไม่สามารถสื่อสารผ่านคำพูดได้ จึงไม่รู้จักคำว่า ‘ช่วยด้วย’ ด้วยซ้ำ
แต่อย่างน้อยมันก็เข้าใจจุดมุ่งหมายของซูเฉินได้
จิตนี้เป็นจิตเดียวที่เข้าหามัน ดังนั้นจิตของรังแมลงจึงโน้มหามัน เรียกร้องหาความรักจากมัน
ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “ข้าเป็นบิดาเจ้า เป็นญาติสนิท จำสิ่งนี้ไว้ชั่วกาล”
รังแมลงไม่อาจเข้าใจคำซูเฉิน แต่จิตที่เชื่อมต่อกันทำให้มันเข้าใจความหมายได้
“ไม่ !”
อาจเพราะมาใช้วิชาสลักจิตตอนนี้คงจะช้าไปสีกหน่อย รังแมลงจึงพยายามต่อต้าน
“ข้าช่วยเจ้าดูแลแมลงพวกนั้นได้” ซูเฉินว่า
“ท่านพ่อ !” รังแมลงตอบกลับทันที
สิ่งมีชีวิตแบเบาะเช่นนี้ไร้ความหยิ่งผยอง เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้มันวางใจได้
“เช่นนั้น…… ก็ยอมรับเจตจำนงของข้าและผนึกของข้าเสีย เชื่อฟังข้า ยอมจำนนต่อข้า นี่คือคำสั่ง” ซูเฉินว่าต่อพลางใช้วิชาสลักจิตต่อไป สร้างตราประทับไว้ในรังแมลง
“ข้าเป็นลูกท่านพ่อ ย่อมต้องทำตามเจตจำนงของท่าน !” รังแมลงตอบ
ซูเฉินเห็นว่าใช้วิชาได้สำเร็จแล้ว
ใช่ มันง่ายมาก
หลังจากนั้นอักขระวิชาอาร์คาน่าก็หายไป แต่จิตยังเชื่อมต่อกันอยู่ ซูเฉินสัมผัสได้ว่าวิชาสลักจิตของเขายังสามารถทำให้แกร่งขึ้นอีกก้าวได้
ความคิดหนึ่งพลันวาบขึ้น เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “คำสั่งนี้จะอยู่ในส่วนลึกของจิตและหลบซ่อนมิดชิด ไม่เผยกายต่อใครที่หมายจะเปิดโปง ส่วนวิธีการเปิดนั้น……”
เสียงซูเฉินเบาลง
“คำสั่งลับจะเปิดเผยก็ต่อเมื่อข้าได้รับคำสั่งเท่านั้น !” รังแมลงตอบ
“เจ้าทำอะไรน่ะ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถามด้วยความประหลาดใจ
ซูเฉินส่งเสียงชู่แล้วสั่งการคำสั่งที่สาม
“จากนี้ต่อไป เจ้าเป็นจุดลอยที่ 6 ของเผ่าปักษา หากคำสั่ง ‘ตื่นขึ้น’ ยังไม่ถูกสั่งก็ต้องเชื่อฟังเผ่าปักษา”
“ข้าจะเชื่อฟังเผ่าปักษาหากไม่ได้รับคำสั่ง !” รังแมลงตอบ
“ดีมาก” ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ
งานเขาเสร็จสิ้นแล้ว
ผ้าเท่อลั่วเค่อจ้องสายตาฉงน “เจ้าคิด……”
“อย่างที่ท่านเดา ข้าจะคืนมันให้เผ่าปักษา”
คืนให้เผ่าปักษา !
คำของซูเฉินดังสะท้อนอยู่ในหูผ้าเท่อลั่วเค่อราวกับฟ้าสนั่น ทำเอาสับสนไปหมด
“น่ารังเกียจและไร้ยางอายนัก !” ผ้าเท่อลั่วเค่อร้องขึ้น แม้จะยิ่งรู้สึกตื่นเต้นก็ตาม “แต่ข้าก็ชอบแผนนี้นะ !”
รังแมลงจะทำหน้าที่เป็นตัวยกจุดลอยที่ 6 ย่อมต้องได้รับการดูแลพัฒนาอย่างดีในระหว่างนั้น ซึ่งการพัฒนานี้จะต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลที่คน ๆ เดียวไม่อาจหาได้ มีแต่คนทั้งเผ่าจึงจะสามารถหามาหล่อเลี้ยงมันได้
จึงไม่แปลกที่ซูเฉินจะยอมปล่อนมันไปในตอนนี้
เขาจึงคิดคืนมันให้เผ่าปักษา
นึกภาพออกได้เลยว่า หลังจากเผ่าปักษาเสียเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อหยาดน้ำตาในการสร้างเมืองลอยฟ้าขึ้นมา ซูเฉินก็จะฉกฉวยผลประโยชน์นั้นมาเสีย ซึ่งคงจะทำเอาเผ่าปักษาสูญเสียหนักหนา ไม่น้อยไปกว่าเผ่าคนเถื่อนที่เสียไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดและโทเทมแห่งพลังชีวิต หรือการต่อสู้ภายในที่น่าจะกินเวลานานกว่าร้อยปีเลย !
“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าจะต้องเข้าใจมันให้มากกว่านี้ก่อน”
ซูเฉินพูดจบก็ขยายรอยพลังสูญจนเขาสามารถก้าวผ่านไปได้
ครั้งนี้รังแมลงไม่โจมตีเขาแล้ว
หลังเข้าแดนประหลาดมาแล้ว ซูเฉินก็จัดการพวกแมลง ซัดการโจมตีใส่พวกมัน ก่อนเข้าไปสังเกตรังแมลงอย่างใกล้ชิด
รังแมลงสูง 10 จั้ง แม้จะเติบใหญ่มากแล้ว แต่ก็ยังเป็นรังแมลงที่เด็กนัก รังแมลงที่โตเต็มวัยแล้วอาจมีขนาดเท่าภูเขา เก็บสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันได้นับล้าน ทำให้รังแมลงเป็นเหมือนเมืองลอยฟ้ากลาย ๆ
ไม่แปลกที่เผ่าปักษาคิดจะใช้มันเป็นตัวยกเมือง
ศิลาจันทร์นับไม่ถ้วนกองอยู่ใต้รังแมลง เป็นพวกแมลงที่หามาเพื่อเป็นอาหารของรังแมลง ศิลาจันทร์หาไม่ง่าย ในทวีปจะหาที่บริสุทธิ์ได้ยากเป็นพิเศษ ศิลาจันทร์หนึ่งตันปกติจะกลั่นได้ศิลาจันทร์บริสุทธิ์เพียงครึ่งกิโลเท่านั้น
ศิลาจันทร์บริสุทธิ์กองพะเนินเป็นภูเขาใต้รังแมลงเป็นคำอธิบายได้อย่างดีว่าเหตุใดเหมืองศิลาจันทร์ถูกขุดจนหมดเหมือง
ซูเฉินวางมือลงบนรังแมลงยามยืนอยู่เบื้องหน้า ค่อย ๆ ตรวจดูภายในของมัน
หลังใช้วิชาสลักจิตแล้ว ซูเฉินกับรังแมลงก็มีสายใยเชื่อมต่อกันอย่างน่าประหลาด
เป็นผ่านการเชื่อมต่อนี้ที่ซูเฉินได้เข้าใจว่ารังแมลงเกิดขึ้นได้อย่างไร
จริง ๆ แล้วจะเรียกว่ารังแมลงก็คงไม่ถูก มันเป็นนางพญาที่พิเศษกว่าคนอื่น เพียงแต่มีหน้าตาเหมือนรังแมลงเท่านั้น ทั้งยังผลิตแมลงออกมาอยู่ตลอด แม้จะยังเด็กแต่ก็ให้กำเนิดแมลงได้เหมือนกัน ซึ่งก็คือพวกแมลงที่ซูเฉินสังหารหมู่ไปก่อนหน้า พวกมันไม่ใช่แมลงทหารดังนั้นจึงไม่ได้มีพลังโจมตีแกร่งกล้า แต่เป็นแมลงงานต่างหาก ที่ก่อนหน้ามีอันตรายเป็นเพราะพวกมันจำนวนมากรวมพลังกันโจมตีจิต หากอยู่ในพื้นที่เปิด ไร้ขอบเขตและไร้พื้นที่น่าสับสนแล้วก็มีวิธีกำจัดพวกมันมากมาย
นางพญาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมพิเศษ มีแมลงล้อมซ้ายขวา และนางพญาอยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร เป็นผู้ควบคุมแมลงนับหมื่น
ในโลกนี้นางพญานับว่าหาได้ยาก เพราะเพียงนางพญาตัวเดียวก็เป็นตัวแทนของทั้งเผ่าแมลงได้แล้ว
แม้นางพญาจะมีจิตแกร่ง แต่ก็ไม่แกร่งเท่าที่ซูเฉินคิดไว้
นางพญาไม่ได้ใช้พลังจิตได้แกร่งมาก ที่มันมีพลังจิตแกร่งก็เพราะซูเฉินฆ่าแมลงงานไปมาก เมื่อพวกแมลงงานตายไป พลังจิตก็จะไหลกลับไปสู่นางพญา และเพื่อความปลอดภัยนางพญาจึงปล่อยพลังจิตที่ไม่สามารถเก็บได้ออกมา เกิดเป็นลมพายุดังเมื่อก่อนหน้า ไม่ได้หมายจะฆ่าซูเฉินแต่อย่างไร
พลังจิตของนางพญายังคงลดลงอยู่เรื่อย ๆ
พลังจิตเป็นสิ่งที่นางพญาใช้คุมพวกแมลง และใช้สื่อสารกันได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลกันแค่ไหน นอกจากนั้นนางพญาก็ไม่อาจใช้วิชาจิตอะไรได้อีก
ที่จริงมันก็เป็นเพียงเพลงเท่านั้น ดังนั้นจึงพึ่งร่างกาย ไม่ใช่พึ่งพลังจิต
ในตอนนี้ นางพญายังซึมซับพลังต้นกำเนิดรอบกายเพื่อเติบโต ในขณะเดียวกันก็ใช้ทรัพยากรที่แมลงงานหามาเพื่อเสริมความแกร่งในร่างกายมากขึ้นไปด้วย
นางพญาปกติแล้วก็กินโลหะไม่ได้ ดังนั้นแม้จะทรงพลัง แต่ร่างกายก็มีแต่ก้อนเนื้อ มักใช้เปลือกนอกแข็ง ๆ ปกป้องตนเองจากแมลงร้ายอื่น ๆ แต่เพราะมีเพียงร่างกายธรรมดาจึงไร้การบ่มเพาะพลัง ทั้งตัวมันและแมลงที่ผลิตออกมาจึงไม่อาจนับว่าเป็นพวกแข็งแกร่งได้
เป็นอีกเหตุผลที่เผ่าปักษาเชื่อว่าพวกเขาสามารถจัดการมันได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เก่งกล้าอะไร
แต่เมื่อตกอยู่ในกำมือเผ่าปักษาแล้ว พวกเขาย่อมหาวิธีเสริมพลังให้มันเพื่อที่จะได้กลายเป็นจุดลอยที่ 6 ของพวกเขา
และบังเอิญก็ได้พบกับซากวานรกินทองเข้า
วานรกินทองมีความสามารถเปลี่ยนโลหะที่กินไปเป็นเลือดเนื้อได้ จึงมีความแกร่งกล้าสามารถ ส่วนแหล่งพลังของมังกรสุริยะคือเวลา ดังนั้นกระดูกที่เหลืออยู่จึงมีพลังแห่งกาลเวลา กระดูกวานรกินทองก็ย่อมมีพลังบางส่วนอยู่เช่นกัน หากสามารถหากระดูกต้นกำเนิดและนำมาผสานเข้ากับนางพญาได้ นางพญาก็จะสามารถกินโลหะและเพิ่มความสามารถในการป้องกันขึ้นได้อย่างมากและยังส่งต่อความสมามารถให้แมลงที่มันผลิตออกมาได้ด้วย
ดังนั้นนกขมิ้นเปลวเพลิงจึงนำนางพญาเด็กมาไว้ที่นี่
นางพญาในตอนนี้ผสานเข้ากับกระดูกต้นกำเนิดของวานรกินทอง และรอให้พวกเด็ก ๆ ของมันเอาอาหารมาให้กินอยู่ แร่เหล่านี้คือร่างเก่าของวานรกินทอง กลายเป็นอาหารบ่มเพาะอย่างดีแก่นางพญา
ทั้งศิลาจันทร์และเถาทองดาราก็เป็นเช่นนี้ !
สงครามระหว่าง 3 ตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูรก็เกิดขึ้นเพราะแร่และทองพวกนี้
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังยังมีความลับใหญ่ซ่อนเอาไว้อยู่อีก
“ดูท่าคงต้องขอให้ตระกูลจูปล่อยมือจากเหมืองทองดาราเสียแล้ว” ซูเฉินถอนใจ
ในเมื่อตอนนี้นางพญาเป็นของเขาแล้ว เขาย่อมต้องดูแลมันให้ดีที่สุด ตอนนี้ ‘เจ้าตัวน้อย’ กำลังเติบโต ซูเฉินจะเมินเฉยคำขอมันได้หรือ ? ศิลาจันทร์ยังไม่ถูกกินจนหมด นางพญาจึงยังอารมณ์ดีอยู่ แต่อีกไม่นานก็คงหมดเกลี้ยง
แต่กลับกัน ซูเฉินก็ไม่ห่วงเรื่องวิธีจะทำให้ตระกูลจูยอมทำตามเท่าไหร่
นั่นเพราะเขามีของที่ตระกูลจูต้องตาอยู่มากมาย
“น่าเสียดายที่หาหุ่นเชิดหรือแหวนไร้แสงไม่พบ” ผ้าเท่อลั่วเค่อถอนหายใจเศร้า
เขาสัมผัสพลังจากแหวนไร้แสงได้ แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่
ซูเฉินตอบ “ก็อาจไม่ถูกทีเดียว อย่าลืมว่าเจ้าตัวเล็กนี่ผสานรวมกับกระดูกต้นกำเนิดวานรกินทองและกินโลหะแถบนี้ไปมากแล้ว มันคุ้นเคยกับสิ่งใต้พื้นดินแถบนี้มากกว่าใครอื่น”
ผ้าเท่อลั่วเค่อร้องเสียงตื่นเต้น “ดังนั้น……”
“ให้มันใช้แมลงหาดูรอบ ๆ ก็ได้ หากของยังอยู่ อย่างไรก็ต้องพบ ปัญหาคือต้องใช้เวลา…… ข้าสังหารแมลงงานมันไปมาก ตอนนี้มันกำลังโวยวายเลยเชียว มันคงต้องใช้แรงและเวลาหาสักหน่อย”
“เช่นนั้นข้ามีอีกหนึ่งคำถาม” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าว
“อะไร ?”
“แล้วจะคืนนางพญาให้เผ่าปักษาอย่างไร ?”