ภาคที่ 5 บทที่ 50 พันธมิตร (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 50 พันธมิตร (1)

เรื่องคืนรังให้เผ่าปักษานับว่ายุ่งยากพอสมควร

การทรยศของตระกูลหรงเป็นปัญหาใหญ่ ไม่มีใครคิดปิดบัง สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร ข่าวจึงอาจแพร่ออกไปทั่วเจ็ดอาณาจักรแล้วก็เป็นได้

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เผ่าปักษาจะไม่รู้เรื่อง

“ต้องหาทาง” ซูเฉินพึมพำ “ท่านว่าอย่างไร ?”

ว่าแล้วเขาก็เปลี่ยนร่างเป็นนกขมิ้นเปลวเพลิง

“คิดจะทำเหมือนกับตอนคนเถื่อนหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่ออึ้งไป

“ใช่ ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ ?” ซูเฉินถาม

“ซูเฉิน คิดให้ดีเถอะ เผ่าปักษาไม่ใช่คนเถื่อน หลอกไม่ง่ายแน่ วิชาแปลงกายคงไม่พอจะลวงได้” ผ้าเท่อลั่วเค่อวิเคราะห์ตามตรง

ซูเฉินตอบ “จริงที่ว่าคงหลอกไม่ง่าย แต่ข้าก็ไม่ใช่ข้าตอนอยู่แดนคนเถื่อนเช่นกัน”

แม้จะกลับจากแดนคนเถื่อนเพียงไม่กี่ปี แต่พลังจองซูเฉินก็เพิ่มขึ้นตลอด แกร่งกว่าตัวเขาเมื่อหลายปีก่อนนัก

“นั่นก็ไม่ไหว สิ่งสำคัญยามอาศัยอยู่ในต่างถิ่นไม่ใช่ความแกร่งเรื่องการสู้ แต่เป็นความสามารถในการลวงคน กระทั่งคนเถื่อนยังไม่ตกหลุมพรางจากการปลอมตัวของเจ้าหากเจ้าไม่ไปรับการเจิมน้ำมนต์มาจากอารามพลังต้นกำเนิด แล้วจะหลอกเผ่าปักษาที่มีปรมาจารย์อาร์คาน่าอยู่มากมายได้อย่างไร ? พวกเขามีหลายวิชามองผ่านกลลวงเชียวนะ”

“ข้าจึงต้องหาเวลาทำความเข้าใจเครื่องมือและวิธีที่เผ่าปักษามีอย่างไรเล่า อย่าห่วงเลยผ้าเท่อลั่วเค่อ ข้าไม่ได้บอกว่าจะแฝงตัวเข้าไปในเผ่าปักษา เรายังมีเวลาวางแผนให้ดีอีกมาก ก่อนหน้านั้นต้องเข้าใจเผ่าปักษาให้ดี สิ่งที่จะเปิดโปงข้าได้ไม่ใช่เพียงความสามารถในการพรางตัว ยังมีท่าทางและการพูดด้วย อย่างท่านว่า เผ่าปักษาไม่โง่ ชาวบ้านธรรมดาก็อาจมองออก”

ผ้าเท่อลั่วเค่อได้ยินความคิดซูเฉินก็ไร้คำเอ่ย

ความคิดของซูเฉินนั้นละเอียดและเป็นไปได้มากกว่าเขาเสียอีก

ผ่านไปชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “ดูท่าคงต้องไปซื้อตัวพวกอาชญากรกลุ่มใหญ่อีกแล้ว”

“ท่านพูดถูก” ซูเฉินเองก็ยิ้ม

หลังจากปล่อยนางพญาไว้แล้ว ซูเฉินก็ออกจากแดนประหลาดมา

ในตอนนั้น เซียนเหยาและคนอื่น ๆ มาถึงแล้ว เมื่อเห็นว่าซูเฉินสบายดี จูเซียนเหยาก็โล่งอก ละทิ้งศักดิ์ศรี รีบวิ่งไปหาซูเฉินแล้วประทับจุมพิตดูดดื่ม ทำเอาคนอื่น ๆ ได้แต่เบนสายตาหนี

ในเรื่องความกล้า จูเซียนเหยาอาจนับเป็นอันดับหนึ่ง

“เป็นไง ? เป็นอย่างไร ? เจออะไรบ้าง ?” จูเซียนเหยาถาม

จูเซียนเหยารู้นิสัยซูเฉินพอสมควร ว่าชายหนุ่มจะเป็นเช่นไรในทันทีที่เขาพบเรื่องน่าสนใจมา

“พบจริง กลับไปข้าจะเล่าให้ฟัง” ซูเฉินกล่าว

แม้จะรู้ว่าสามารถไว้ใจอวิ๋นเป้า 12 ข้ารับใช้ดาบ และกังเหยียนได้ แต่นางพญาก็สำคัญมากจนยิ่งมีคนรู้น้อยก็ยิ่งดี

เมื่อกลับถึงตระกูลจู ซูเฉินจึงเล่าเรื่องให้นางฟังทั้งหมด

เมื่อรู้ถึงแผนของเผ่าปักษา จูเซียนเหยาตกใจมาก และเมื่อได้ยินว่าซูเฉินใช้วิชาสลักจิตกับนางพญา นางก็ตื่นเต้นเสียตัวแทบลอย

วังลอยฟ้า !

วังลอยฟ้าของแท้เลย !

ที่สำคัญคือซูเฉินไม่บอกแม้กระทั่งกังเหยียนหรืออวิ๋นเป้า แต่กลับบอกนาง หมายความว่าฐานะนางในสายตาซูเฉินมีความสำคัญขึ้นแล้ว

รู้เช่นนี้ จูเซียนเหยาจึงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

ซูเฉินเห็นน้ำตาแล้วก็ตกใจ เขาเพียงแค่เล่าแผนให้นางฟัง แต่นางกลับร้องไห้เสียอย่างนั้น ? เกิดอะไรขึ้นกัน ?

ขนาดคนฉลาดยังไม่อาจเข้าใจสตรีอย่างถ่องแท้ พอจูเซียนเหยาอธิบายสาเหตุให้ฟังเขาก็พูดไม่ออก

หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว นางจึงแหงนหน้าขึ้นจากอ้อมกอดซูเฉิน “บอกท่านแม่กับบรรพชนข้าดีหรือไม่ ?”

ซูเฉินคิดครู่หนึ่ง “ข้าอยากรู้ความเห็นเจ้า”

เขาไม่เห็นด้วยหรือปฏิเสธ แต่อยากรู้ความเห็นของจูเซียนเหยาจากใจจริง

จูเซียนเหยาชอบคำตอบนี้มาก นางขยี้ตากล่าว “ซูเฉิน ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับและรักข้าด้วยใจจริงแล้ว ข้ามีความสุขนัก เรื่องเช่นนี้มีความหมายมากกว่าคำสัญญายิ่งใหญ่ใดเสียอีก เช่นนั้นข้าก็จะตอบตามจริง อย่าหาว่าข้าลำเอียงเรื่องท่านแม่ แต่ข้าคิดว่าเจ้าต้องอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ท่านแม่บรรพชนจริง ๆ เพราะเรื่องนี้ใหญ่มากจนเจ้าอาจรับมือเองไม่ได้ ต้องหาคนช่วย ข้ารู้ว่านิกายไร้ขอบเขตมีคนมาก แต่ต้องยอมรับว่ารากฐานนั้นด้อยกว่าตระกูลจูมากเช่นกัน”

ซูเฉินพยักหน้า

ปัญหาใหญ่ที่นิกายไร้ขอบเขตมีตอนนี้คือรากฐานไม่มั่นคงและไม่ร่ำรวยพอ ตอนนี้มันเหมือนต้นอ่อนที่มีความเป็นไปได้ไร้ขอบเขต อาจกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ก็ได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็อ่อนแอกว่าตระกูลจักรพรรดิอสูร

ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินแค่คนเดียวก็นับเป็นปัญหาใหญ่แล้ว

“ข้าเข้าใจ ว่าต่อเถอะ” ซูเฉินส่งเสริม

จูเซียนเหยาเอ่ยต่อ “จะทำตามแผนต้องเตรียมของพอสมควร เช่น การรักษาความปลอดภัยเหมืองทองดาราและเชลยเผ่าปักษาย่อมต้องได้ความร่วมมือจากตระกูลจู หากไม่อธิบายให้หมดก็คงได้รับแรงสนับสนุนยาก และยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ นั่นคือวิชาแปลงกายของเจ้าหลอกปรมาจารย์อาร์คาน่าของเผ่าปักษาไม่ได้ หากไปคนเดียวก็ตาย แต่หากมีบรรพชนสนับสนุนก็อาจคิดหาทางได้”

ซูเฉินอึ้งไป “บรรพชนมีความสามารถเช่นนั้นหรือ ?”

จูเซียนเหยาตอบ “ตัวเขาอาจไม่มี แต่อาจมีสหายที่มี”

ทุกคนมีวงสังคมเป็นของตน

คนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินย่อมมีสหายเป็นคนด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอื่น ๆ

บรรพชนตระกูลจูเดินทางมามาก รู้จักคนมากมาย เป็นไปได้ว่าอาจรู้จักคนที่รับมือกับปัญหานี้ได้

และหากไม่อธิบายให้แจ่งแจ้งก็คงยากจะได้รับแรงสนับสนุนเต็มที่จากตระกูลจู

“ก็ได้ เช่นนั้นตามเจ้าว่า !” ซูเฉินตัดสินใจแน่วแน่

เมื่อซูเฉินเห็นด้วยแล้ว ทุกอย่างจึงเริ่มดำเนินการไปอย่างราบรื่น

เย็นวันนั้น ซูเฉินเข้าพบบรรพชนตระกูลจู จูเฉินฮ่วน

จูเฉินฮ่วนอายุได้ 400 ปีแล้ว แต่หน้าตายังดูเป็นคนหนุ่มหล่อเหลา เต็มไปด้วยพลังชีวิต หากออกไปเดินตามถนนคงต้องตาแม่นางทั้งหลายแน่

จูเฉินฮ่วนนั่งอยู่บนที่นั่งสูงที่สุด จูอวิ๋นเยี่ยนนั่งอยู่ด้านข้าง และจูเซียนเหยาคอยนวดอยู่ด้านหลังอย่างนอบน้อม หน้าตาไม่เหมือนท่านปู่กับหลานสาว แต่เหมือนพี่ชายกับน้องสาวมากกว่า

เมื่อเห็นซูเฉิน จูเฉินฮ่วนยิ้มและพูดอย่างสง่างามขึ้นว่า “นั่งก่อน ข้าควรไปหาเจ้าตั้งแต่จบศึกกับตระกูลหรงแล้ว แต่ในเมื่อหรงกูลั่วหนีไปได้จึงต้องจัดการเขาก่อน จะได้ไม่เป็นภัยต่อใคร ทำให้กว่าจะได้เจอหน้าก็ยืดยาวมาเช่นนี้”

จูเฉินฮ่วนไม่ไล่ตามหรงกูลั่วไปทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เมืองนภาลัยราบถูกทำลาย แต่เมื่อหรงกูลั่วอยู่นอกเขตเมืองนภาลัยราบ จูเฉินฮ่วนก็ไม่ยั้งมือ แจ้งบรรพชนตระกูลจักรพรรดิอสูรที่อยู่ใกล้เคียงมาไล่ล่าหรงกูลั่วในทันที

แต่หรงกูลั่วก็เก่งกาจ หนีฝ่าวงล้อมออกไปได้ ดูจะใช้วิชาต้องห้ามบางอย่าง ทำให้สูญเสียไปใหญ่หลวง สุดท้ายบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นคงสร้างเรื่องไปไม่ได้อีกนาน

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเวลามาพบหน้าซูเฉินแค่เพราะเรื่องนั้น นอกจากไล่ล่าหรงกูลั่วก็ยังต้องจัดการเรื่องทรัพย์สินตระกูลหรง และรอซูเฉินให้มาพบเขาอยู่ แต่ซูเฉินก็มัวแต่วุ่นอยู่กับการทดลองผู้อาวุโสทั้งหกของตระกูลหรงที่จะถูกส่งไปยังเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่คิดมาหาจูเฉินฮ่วนด้วยซ้ำ ทำให้ซูเฉินไม่เห็นบรรพชนอยู่ในสายตา จูเฉินฮ่วนจึงไม่ผิดที่รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็ยิ่งไม่ยอมเป็นฝ่ายไปหาซูเฉินเอง ทั้งสองจึงตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดจนถึงตอนนี้

โชคดีที่เรื่องนี้นับว่าเล็กเมื่อเทียบกับเรื่องนางพญา วางความข้องใจน้อย ๆ ลงก่อน พูดคุยกันเล็กน้อยก็คลายความโกรธได้แล้ว

ซูเฉินจึงเอ่ยกับจูเฉินฮ่วน “เป็นเพราะบรรพชนปกป้องข้าจากพายุฝน ข้าจึงได้โอกาสทำตัวดื้อดึงบ้างเล็กน้อย”

จูเฉินฮ่วนหัวเราะตอบ “ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเล็กน้อย แผนหยุดเผ่าปักษาไม่ให้สร้างเมืองลอยฟ้านั้นน่ายกย่องนัก ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นชายหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานและความสามารถ ไม่แปลกที่เป็นเจ้านิกายทั้งที่อายุยังน้อยเช่นนี้ แต่ซูเฉิน เหมืองศิลาจันทร์อย่างไรก็เป็นของตระกูลจู ในเมื่อเจ้าพบสมบัติในทรัพย์สินของตระกูลจู จะหยิบเอาไปเช่นนั้นก็คงไม่เหมาะกระมัง ?”

นี่เป็นส่วนที่เขาขอผลประโยชน์

อักขระวิชาอาร์คาน่าถูกใช้ไปแล้ว นางพญาก็ถูกวิชาสลักจิต ดังนั้นจะแย่งมาโดยบังคับก็ไม่ได้ แต่ก็ยังต้องมอบผลประโยชน์ตามเหมาะสมให้ ก่อนหน้านี้ นางพญาควรจะเป็นของตระกูลจู แต่พวกเขาก็ใช้มันเป็นเพียงเครื่องต่อรอง หากจำเป็นก็ยอมรวมวานรกินทองไว้ในการต่อรองและบอกว่าเป็นของพวกเขามาตั้งนมนานแล้วก็เป็นได้

ซูเฉินไม่แปลกใจ ในเมื่อตัดสินใจจะคุยกับตระกูลจูอย่างเปิดเผยแล้ว จึงไม่แปลกที่จะต้องยอมมอบผลประโยชน์บางส่วนให้

แต่จะแบ่งอย่างไรนั้นอีกเรื่อง ซึ่งต้องเจรจากันอีกที

ซูเฉินหัวเราะ “ท่านบรรพชน นั่นอาจไม่ถูกทีเดียว เหมืองศิลาจันทร์เป็นของตระกูลหรง ข้าเป็นคนพบการทรยศของพวกเขา ทั้งยังล้วงความลับมาจากเผ่าปักษาที่จับมา ซึ่งก็ฝีมือข้า ว่ากันตามตรง ข้าไม่ได้ชิงเอาของของตระกูลจูเลย… ท่านคงไม่บอกว่าคนที่เดินทางผ่านเมืองนภาลัยราบเป็นของตระกูลจูเช่นกันใช่หรือไม่ ?”

ซูเฉินย่อมไม่ยอมแพ้เรื่องการถือครองนางพญา ถึงจะเป็นบรรพชนตระกูลกู่ แต่ก็อย่าคิดชิงมันไปจากเขาเลย

“แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เหมืองศิลาจันทร์ก็ตกเป็นของตระกูลจูหลังตระกูลหรงล่มสลาย เหมืองของตระกูลหรงกลายเป็นไร้เจ้าของ จะพูดว่าเป็นของตระกูลจูก็ไม่มากเกินไป” จูอวิ๋นเยี่ยนพูดพลางหัวเราะ “แต่หากคุณชายซูยอมแต่งเข้าตระกูล เราก็จะคุยกันง่ายขึ้น เรายกเหมืองศิลาจันทร์เป็นของหมั้นให้ได้”

นางยังอยากให้เขาแต่งเข้าอยู่

ซูเฉินหัวเราะ “แค่เหมืองเปล่า ๆ คุ้มค่าที่จะเจรจาขนาดนี้เชียวหรือ ? ตระกูลจูประเมินค่าลูกสาวคนโตต่ำไปมากจริง ๆ ข้าคิดว่าให้เป็นเหมืองทองดารายังดีเสียกว่า”

จูอวิ๋นเยี่ยนยกมือป้องปากหัวเราะเยา “หิวกระหายไม่เบาเชียว”

ซูเฉินถอนใจ “ไม่ใช่ข้าที่หิวกระหาย เป็นนางพญาต่างหาก ทั้งตระกูลจูและนิกายไร้ขอบเขตจะเลี้ยงมันคงไม่ง่าย แต่หากทำแล้วเราก็จะมีปราการเป็นของตนเอง”

“พวกเรานี่…” จูเฉินฮ่วนเน้นคำ “เป็นเจ้า ? หรือข้า ?”

“เป็นนิกายไร้ขอบเขตและตระกูลจู” ซูเฉินตอบ