หมอหลวงเจียงหยุดชะงัก หวงฝู่อวี้ก็ตกใจเป็นอย่างมาก อยากจะพุ่งตัวเข้าไปเอาเศษกระเบื้องที่อยู่ในมือของนางออก “เยียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอะไร” คาดไม่ถึง เมื่อก้าวเพียงแค่ก้าวเดียว มือของหลินหันเยียนที่กำลังกำเศษกระเบื้องอยู่ก็ออกแรงกดลงไปที่คอ มีเลือดสีแดงสดไหลออกมา “อย่าเข้ามา ถ้าหากว่าเข้ามาแม้ก้าวเดียว ข้าจะตายให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้”

 

 

หวงฝู่อวี้ที่ก้าวเท้าออกไปแล้วก็เก็บเท้ากลับมา “ได้ๆ ข้าไม่ขยับ พวกเราคุยกันดีๆ เจ้าวางเศษกระเบื้องนั้นลงก่อนเถิด”

 

 

หลินหันเยียนไม่ได้ขยับ ชี้ไปที่หมอหลวงเจียง แล้วขู่หวงฝู่อวี้ว่า “เจ้าจะต้องให้เขารับปาก ห้ามเอาเรื่องที่ข้ามีลูกไม่ได้ไปพูดเด็ดขาด มิเช่นนั้น ข้าจะตายให้ดูเดี๋ยวนี้”

 

 

“ได้ๆ ข้ารับปาก ข้าจะให้หมอหลวงเจียงพูด เจ้าใจเย็นๆ ก่อน เอาเศษกระเบื้องนั้นวางลงก่อน”

 

 

หลินหันเยียนก็ยังคงท่าทางเดิมไม่เปลี่ยนแปลง “เจ้าพูดสิ ข้าฟังอยู่”

 

 

หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันพูด หมอหลวงเจียงก็เอ่ยปาก “คุณหนูหลิน ในฐานะหมอ จะต้องคิดแทนคนไข้อยู่แล้ว แล้วจะไม่มีการแพร่งพรายเรื่องของคนไข้เป็นอันขาด ต่อให้ท่านไม่พูด ข้าก็ไม่มีทางออกไปป่าวประกาศอยู่แล้ว”

 

 

หลินหันเยียนหัวเราะ หึหึ แล้วพูดว่า “ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น ข้าเชื่อ แต่เป็นเจ้า ต่อให้ตีข้าให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ เพราะว่าเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของนังเมิ่งเชี่ยนโยวมากเสียเหลือเกิน ถ้าหากว่านางถามเจ้า เจ้ารับประกันได้หรือไม่ว่าเจ้าจะไม่บอกนาง”

 

 

“คุณหนูหลิน ศาสตร์การแพทย์ของซื่อจื่อเฟยนั้นล้ำเลิศ ต่อให้ข้าไม่บอกนาง วันหลังนางก็ต้องรู้ แล้วอีกอย่าง นางเป็นถึงเจ้านายของจวนอ๋อง เรื่องบางเรื่องนั้นก็ควรให้นางรู้”

 

 

มือของหลินหันเยียนก็ใช้แรงกดลงไปที่คออีก เลือดสีแดงไหลลงมาตามลำคอของนางอย่างรวดเร็ว “ไหนเจ้าลองพูดอีกทีสิ เชื่อไหมว่าข้าจะตายให้เจ้าดูเดี๋ยวนี้”

 

 

“เจ้า…” หมอหลวงเจียงโกรธจนพูดไม่ออก

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจจนขวัญเสีย พูดเสียงสั่นเครือ “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าวู่วาม เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถิด รับรองว่าไม่ว่าใครก็ตามจะไม่รู้เรื่องนี้”

 

 

หลินหันเยียนก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ “ได้ ว่ามาสิ”

 

 

หวงฝู่อวี้เอือมระอา หันหลังไปบอกว่า “หมอหลวงเจียง อย่างไรเสียข้าก็เคยช่วยเหลือหลานสาวของท่าน พวกเราถือว่าแลกกัน นับแต่นี้ต่อไป ข้ากับเยียนเอ๋อร์จะไม่พูดถึงเรื่องที่เคยช่วยเหลือหลานสาวของท่านอีก ส่วนท่านก็จะบอกเรื่องที่เยียนเอ๋อร์ไม่สามารถมีลูกได้กับผู้ใด รวมถึงเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของข้า พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย”

 

 

“คุณชายรอง นี่…” หมอหลวงเจียงมีความแคลงใจ เขาไม่ได้อยากเอาใจเมิ่งเชี่ยนโยวแต่อย่างใด แต่ก็ต้องบอกเรื่องที่หลินหันเยียนมีลูกไม่ได้ให้นางรู้ แต่กลับบอกไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณชายรองและคุณหนูหลินแต่งงานกันแล้ว คนในจวนเพิ่งจะมารู้เรื่องนี้ ซื่อจื่อเฟยไม่เท่าไร ท่านอ๋องฉีต่างหากไม่แน่อาจจะไปทำลายตระกูลของเขาได้เลยก็ได้

 

 

เมื่อเห็นเขาหวั่นใจ หวงฝู่อวี้ก็เข้าใจถึงความลำบากใจของเขา เลยบอกว่า “หมอหลวงเจียงโปรดวางใจเถิด ถ้าหากว่าวันหนึ่งเรื่องนี้ถูกเปิดเผยแล้วล่ะก็ เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้า และพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่รู้แล้วล่ะก็ พวกเรารับรอง ว่าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนอย่างแน่นอน”

 

 

พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่ตอบรับ ตนก็จะต้องถูกสงสัยว่าเอาใจคนในจวนนี้อยู่อย่างแน่นอน หมอหลวงเจียงถอนหายใจเฮือกยาว แล้วบอกว่า “เอาล่ะ คุณชายรอง ข้ารับปาก ต่อให้ภายภาคหน้าท่านอ๋องรู้แล้ว ข้าก็จะช่วยท่านรับรองว่าท่านเคยช่วยชีวิตหลานสาวของข้า ข้าก็จะใช้ชีวิตนี้ของข้าทดแทน นับแต่นี้ต่อไปพวกเราไร้ซึ่งความติดค้างต่อกัน”

 

 

“หมอหลวงเจียง ข้า… …” หวงฝู่อวี้ก็รู้ว่าการที่ทวงบุญคุณเช่นนี้ เป็นการทำเกินกว่าเหตุ แต่ในเมื่อสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าเขาไม่ทำเช่นนี้ ถ้าหากว่าเยียนเอ๋อร์บุ่มบ่ามปาดคอตัวเองขึ้นมา เขาอยากเสียใจไปก็ไม่ทันเสียแล้ว ดังนั้น ทำได้เพียงทำเช่นนี้กับหมอหลวงเจียงแล้วล่ะ

 

 

หมอหลวงเจียงโบกมือ ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ “คุณชายรอง ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก นับแต่นี้ต่อไป พวกเราไม่ติดค้างกันแล้ว ข้าก็สบายใจ”

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ยิ่งละอายใจเข้าไปอีก มองหมอหลวงเจียงสะพายกระเป๋ายาของเขา เดินออกไปอย่างช้าๆ

 

 

หลินหันเยียนไม่ได้ห้าม แล้วนั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง มือก็ปล่อยกระเบื้องลงตกลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง กระเบื้องตกแตกมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อวี้เดินเข้าไปหานางอย่างรวดเร็ว ใช้เท้าเตะเศษกระเบื้องเหล่านั้นออกไปไกลๆ โค้งตัวลงไปอุ้มนางไปไว้ที่เตียง แล้วตะโกนออกไปด้านนอก “หงเอ๋อร์ รีบจัดการเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย”

 

 

หงเอ๋อร์ได้ยินเสียงเรียก ก็วิ่งเข้ามา เห็นสีหน้าของหลินหันเยียนที่ซีดเซียว ไร้ชีวิตชีวานอนอยู่บนเตียง ก็ตกใจพูดออกมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

 

 

หลินหันเยียนก็กลับไปมองเหม่อเพดานอีกครั้ง คำพูดที่พูดกับนางต่างก็ไร้ซึ่งคำตอบ

 

 

หงเอ๋อร์ยังอยากจะเข้าไปใกล้อีก แต่โดนหวงฝู่อวี้ห้ามเอาไว้ “รีบเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาดูคุณหนูของเจ้า”

 

 

เท้าของหงเอ๋อร์ก็หยุด ตอบรับ ก้มหน้าเดินออกไปเก็บกวาดห้อง นางตั้งโต๊ะขึ้นก่อน จัดเรียงให้ดี แล้วค่อยเอาของที่อยู่ที่พื้นมาจัดเรียงกลับที่เดิมตามที่ตนจำได้ สุดท้ายไปเอาที่ไม้กวาด มากวาดเศษกระเบื้อง หลังจากที่กวาดเรียบร้อยก็รีบกลับเข้าไปในห้องทันที

 

 

“ดูคุณหนูของเจ้าให้ดีๆ ข้าจะออกไปเสียหน่อย ประเดี๋ยวเดียวก็กลับ” เมื่อหวงฝู่อวี้พูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก

 

 

หลินหันเยียนที่ไม่รู้ตัวก็ลุกขึ้นทันที แล้วถามเสียงดังว่า “ท่านจะไปไหน”

 

 

“เมื่อครู่หมอหลวงเจียงไปอย่างรีบร้อน ไม่ได้ทิ้งยาห้ามเลือดเอาไว้ให้ ข้าจะไปเอาที่ห้องยา ไม่นานก็กลับ” หวงฝู่อวี้หันกลับไปอธิบาย

 

 

มองที่เขาทีหนึ่ง หลินหันเยียนก็ไม่ได้ว่าอะไร นอนกลับลงด้วยท่าทางลักษณะเดิม

 

 

หวงฝู่อวี้เดินออกมาจากเรือน ไม่ได้ไปที่ห้องยาของในจวน แต่รีบไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่รอให้ชิงหลวนเข้าไปรายงาน ก็เดินเข้ามาที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว เปิดม่านประตูออกแล้วพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วพูดด้วยท่าทางร้อนรน “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าขอยาห้ามเลือดดีๆ หน่อยขอรับ เยียนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชี้ไปที่ขวดดินเผาที่วางอยู่บนโต๊ะ “เอาไปสิ”

 

 

“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่” หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หยิบขวดดินเผา แล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว

 

 

มองม่านประตูที่พริ้วไหว สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร เรือนของหวงฝู่อวี้ทะเลาะกันเรือนแตกขนาดนั้น แม้พวกนางจะไม่ส่งคนไปติดตามเป็นพิเศษ ก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้น ที่เมื่อครู่นางเอายาห้ามเลือดออกมาวางไว้ ก็เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องให้ต้องใช้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะต้องใช้จริงๆ

 

 

นวดไปที่หน้าผากที่ปวดร้าว ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนนั้นเป็นเฉกเช่นกิ่งทองใบหยก ทั้งสองคนรักใคร่ปรองดองกัน ดังนั้นจึงหาทำทุกวิถีทางให้พวกเขาได้แต่งงานกัน ต่อให้สุดท้ายแล้วหลินหันเยียนจะเข้าจวนอ๋องมาด้วยวิธีพรรค์นั้นก็ตาม ก็ไม่มีใครมองนางไม่ดีเลย ขอแค่นางและหวงฝู่อวี้พอใจก็พอ แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางจะเป็นดั่งมอดที่กัดกินให้คนในจวนเริ่มเบื่อนาง แต่ก็ช่างเถอะ แต่วันนี้มันอะไรกัน เหตุใดถึงขั้นเลือดตกยางออกกันเลยทีเดียว

 

 

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงโกรธเกรี้ยวและดุดันของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “ไปเอาตัวหมอหลวงเจียงมาเดี๋ยวนี้”

 

 

นานๆ ทีจะได้อยู่จวนกับเมิ่งเชี่ยนโยวสองต่อสอง แต่ก็ต้องมาเจอเรื่องหนักใจเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนถึงขั้นคิดอยากจะไล่หวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนออกไปจากจวนเลยทีเดียว แล้วก็ทั้งสองคนนั้นกำลังรอให้หมอหลวงเจียงมารายงานด้วย ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่ออกมาจากจวนของหวงฝู่อวี้ ตาแก่นั่นก็ออกไปเลย ไม่เห็นเขาที่เป็นซื่อจื่ออยู่ในสายตาเลยสักนิด หวงฝู่อี้เซวียนก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ สั่งด้วยน้ำเสียงดุดันกว่าเดิม

 

 

โจวอันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีแทนหมอหลวงเจียงไปเรียบร้อย แล้วรีบออกตามไปโดยทันที

 

 

หมอหลวงเจียงรีบออกมาจากจวน เห็นว่าไม่มีคนห้าม เลยโล่งอก นั่งรถม้าออกมาก็พอสมควร เลยสั่งให้คนรถกลับไปที่โรงหมอหลวง ออกไปไม่ทันไร ก็เห็นเงาดำๆ ของคนหนึ่ง ตนเองก็สะดุ้งทันที แล้วถอนหายใจออกมา สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้น หลับตา แล้วให้โจวอันนำตัวเขาไปแต่โดยดี หิ้วตัวเขามาจนถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วถึงจะปล่อยตัว

 

 

หมอหลวงเจียงที่คุ้นชินกับการกระทำแบบนี้ไปเสียแล้ว ร่างกายที่ถึงพื้นก็ไม่มีการเสียหลักแต่อย่างใด สะพายกระเป๋ายาอย่างดี จัดท่าทีของตนให้จงได้ แล้วเดินเข้าไปในจวน ทำการคำนับทั้งสองคนเป็นอย่างแรก “ขอคารวะซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่รอช้า ถามตรงๆ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”

 

 

หมอหลวงเจียงได้คิดคำตอบเอาไว้แล้ว พูดว่า “ซื่อจื่อโปรดอภัย ที่ข้าไม่สามารถพูดได้ เพราะว่าคุณชายรองมีบุญคุณต่อหลานสาวของข้าเป็นการแลกเปลี่ยน บอกให้ข้าห้ามพูดออกไปเด็ดขาด ข้าก็รับปากแล้ว หลังจากนี้ข้ากับคุณชายรองไม่ติดค้างต่อกันอีก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร ใช้สายตาที่แหลมคมมองจ้องไปที่เขา รอบกายเปล่งออกมาด้วยรังสีอำมหิต

 

 

หมอหลวงเจียงโดนรังสีนี้บีบเค้นจนเหงื่อไหล แต่ก็นั่งอยู่กับที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ไม่เลยแม้แต่คำเดียว

 

 

“เกี่ยวกับร่างกายของคุณหนูหลินใช่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะถาม

 

 

“ตอบซื่อจื่อเฟย ข้าไม่สามารถบอกได้” หมอหลวงเจียงก็ยังยืนยันคำเดิม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วส่ายหน้า แล้วบอกให้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ต้องเปล่งรังสีอำมหิตนั่นแล้ว ในขณะที่หมอหลวงเจียงยื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ก็ถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เรื่องที่คุณหนูหลินไม่สามารถมีลูกได้งั้นรึ”

 

 

“หืม?” หมอหลวงเจียงตาโต เงยหน้าขึ้น ท่าทางตกใจอย่างมาก แล้วถึงจะก้มหน้าลง พูดตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยไม่สามารถพูดอะไรได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตามอง ในใจได้แต่บ่นว่าตาเฒ่าเอ๋ย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วบอกว่า “ในเมื่อหมอหลวงเจียงไม่รู้อะไรทั้งนั้น ก็เชิญกลับไปเถิด แต่ว่าระหว่างสำนักหมอหลวงกับจวนอ๋องนั้นช่างห่างไกลกันยิ่งนัก อย่างไรเสียก็ให้โจวอันไปส่งท่านดีกว่า”

 

 

ครั้งนี้หมอหลวงเจียงตกใจจริงๆ แล้วล่ะ ได้แต่ร้องโอดโอยในใจ เขาก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ก็ไม่ได้ผลอะไรหรอก แต่ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะใช้วิธีนี้ในการลงโทษเขาต่างหาก ให้โจวอันจับเขาแล้วเดิน ทำอย่างกับเขาเป็นคนนอก แต่ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองขาแข้งแรงน้อย ถ้าหากว่าจะต้องทำแบบนี้อีกหลายๆ รอบ เกรงว่าจะต้องตัดทิ้งเสีย

 

 

เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดรวดร้าวของเขาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้แต่แอบยิ้มในใจ แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนคำ เพราะคำว่า “หืม?” ของหมอหลวงเจียงเมื่อครู่นั้น แสดงว่าตนเองนั้นทายถูกต้องแล้ว ถ้าหากว่าส่งเขากลับไปดีๆ หลินหันเยียนรู้เข้า ก็จะต้องสงสัยเป็นแน่ ไม่แน่อาจจะอาละวาดขึ้นมาอีกก็เป็นได้ แต่ถ้าหากให้โจวอันไปส่ง นั่นก็สามารถชี้ได้ว่าเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับตนจริงๆ

 

 

หมอหลวงเจียงก็โดนกุมตัวออกไปอีกครั้ง

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่น่าดูเข้าไปใหญ่ หันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาถามนางว่ารู้ได้อย่างไร

 

 

หลินหันเยียนไม่สามารถมีลูกได้ นี่ไม่ใช่เรื่องดี สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน บอกว่า “หมอหลวงเจียงเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง เขารู้ดีว่าหลังจากที่ตรวจโรคให้คุณหนูหลินเสร็จก็จะต้องมารายงานให้พวกเราฟัง แต่นี่ไม่ได้มา กลับออกไปจากจวนทันที แสดงว่าโรคของหลินหันเยียนนั้นต้องเป็นอะไรที่บอกกับผู้อื่นไม่ได้ แต่ว่า ข้าอยู่ในจวน อวี้เอ๋อร์ก็ไม่ได้ส่งคนมา ก็แสดงว่าโรคของคุณหนูหลินไม่ใช่โรคที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่เป็นโรคที่บอกผู้อื่นไม่ได้ ข้าคิดไปคิดมา ก็มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ทำให้พวกเขารวมหัวกันปิดบังพวกเรา”

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขึงขังยิ่งขึ้น หลับตาลง ครุ่นคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไรดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าใจในความคิดของเขาดี จึงแนะว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของอวี้เอ๋อร์ พวกเราไม่ควรก้าวก่าย พวกเราทำเป็นไม่รู้เถอะ ส่วนเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ก็ไม่ต้องไปบอกพวกท่านหรอก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ถามว่า “พวกเราปล่อยพวกเขาเกินไปหรือเปล่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังต้องปิดบังงั้นรึ”

 

 

“บอกแล้วจะเป็นเช่นไรล่ะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าไล่พวกเขาออกไปจากจวน หรือว่าบังคับให้อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องแต่งงานกับคุณหนูหลินล่ะ ไม่ว่าจะทำเช่นไร ก็โดนคนครหาอยู่ดี เจ้าควรข่มความโกรธของเจ้าเอาไว้ก่อน ดูสิว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกันต่อ แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”

 

 

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็ยอมพยักหน้า

 

 

หวงฝู่อวี้หยิบยามา แล้วรีบกลับไปที่จวนอย่างรวดเร็ว เปิดขวดยาออก แล้วเทลงไปที่แผลของหลินหันเยียน เลือดก็หยุดไหลทันที แต่สีหน้าของหลินหันเยียนก็ยังคงซีดเซียวอยู่

 

 

ยื่นขวดยาส่งไปให้กับหงเอ๋อร์ที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ หวงฝู่อวี้ลุกขึ้น เดินไปที่กะละมังน้ำ ชุบผ้าขนหนูให้เปียก แล้วนำไปเช็ดเลือดที่คอของหลินหันเยียนจนสะอาด แล้วโยนผ้าขนหนูลงพื้น พยุงนางขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วสั่งหงเอ๋อร์ “หาเสื้อให้เยียนเอ๋อร์หน่อย”

 

 

หงเอ๋อร์ตอบรับ เปิด**บเสื้อออก แล้วหยิบเสื้อตัวโปรดของหลินหันเยียนมาวางไว้ที่เตียง

 

 

“เจ้าออกไปก่อน” หวงฝู่อวี้สั่ง

 

 

หงเอ๋อร์ออกไป

 

 

ให้นางพิงไปที่ตัวของตน หวงฝู่อวี้ก็ค่อยๆ ถอดเสื้อที่เปื้อนเลือดของนางออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อที่หงเอ๋อร์หยิบให้ตัวนั้น

 

 

หลินหันเยียนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แววตาว่างเปล่ามองไปข้างหน้าที่จุดใดสักจุด ไม่ให้ความร่วมมือ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยหวงฝู่อวี้จะทำอะไรก็ทำ

 

 

กว่าจะเปลี่ยนเสื้อให้นางเสร็จเหงื่อก็แตกท่วมตัวไปหมด เขาค่อยๆ พยุงนางกลับไปนอนที่เดิม แล้วถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก หวงฝู่อวี้ก้มโค้งลงไปเก็บเสื้อเปื้อนเลือดที่โยนกองไว้ที่พื้น กำลังจะเรียกให้หงเอ๋อร์แอบเอาไปเผาทิ้งเสีย

 

 

หลินหันเยียนก็ลุกขึ้นมา แล้วพูดว่า “ท่านห้ามไปไหนทั้งนั้น”