เมื่อเห็นที่คอของนางเริ่มมีเลือดไหลออกมาอีก หวงฝู่อวี้ก็โยนเสื้อที่เปื้อนลงบนพื้นอย่างเร็ว แล้วพูดว่า “ได้ๆ ข้าจะไม่ไปที่ใดทั้งนั้น จะอยู่กับเจ้าในเรือนแห่งนี้”
พูดจบ ก็กลับไปนั่งที่เตียงดังเดิม
หลินหันเยียนก็นอนลงไปอีกครั้ง หันหลังให้กับหวงฝู่อวี้ ยื่นมือออกมากอดตัวเองแล้วหดตัว ราวกับตนเองเป็นสัตว์น้อยตัวเล็กที่ได้รับบาดเจ็บไร้ที่พึ่งพาอย่างใดอย่างนั้น
หวงฝู่อวี้เห็นแล้วปวดใจเป็นที่สุด เลยถอดรองเท้า แล้วนอนลงไปกอดนางจากทางด้านหลัง แล้วใช้ร่างกายที่อบอุ่นกอดไปที่ตัวของนางที่เย็นยะเยือก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ พักสายตาเถอะนะคนดี ตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป”
หลินหันเยียนก็หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ขนตาสั่นเครือ
หวงฝู่อวี้ก็กอดนางแน่น ไม่พูดอะไรอีก ในห้องเงียบสงัด
หงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านนอก หัวใจเต้นตุบๆ คุณหนูได้รับบาดเจ็บ มันเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้คุณหนูถึงทำแบบนี้
ความเคลื่อนไหวทางนี้ แน่นอนจะต้องไปถึงหูของท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีแล้ว
แต่ท่านอ๋องฉีกลับทำเป็นเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยังคงเล่นอยู่กับเด็กๆ ไม่เปลี่ยน เด็กน้อยอายุได้ห้าเดือนแล้ว เริ่มรู้เรื่องแล้ว แก้วตาดำดวงโตมองไปที่ท่านอ๋องฉี แล้วยังดิ้นใช้เท้าถีบแขนของตนอยู่ตลอด อีกทั้งยังมีเสียงร้องหวานๆ ออกมาด้วย
พระชายาฉีก็ถอนหายใจออกมา โบกมือให้กับคนที่มารายงานให้ออกไป แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้งพูดว่า “ท่านอ๋องเจ้าคะ ท่านว่า… …”
“มองแล้วขัดลูกหูลูกตา ก็ไล่มันออกไปเสีย ทำไมยังจะต้องมากลุ้มใจกับพวกเด็กไม่รู้จักโตพวกนี้ด้วย” สายตาของท่านอ๋องฉีก็ยังคงอยู่กับเด็กๆ
ตั้งแต่มีเด็กสองคนนี้ การจัดการเรื่องของท่านอ๋องฉีก็เรียบง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ พระชายาฉีมองเขาที่มีหลานเป็นแก้วตาดวงใจจนไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้ว ก็ถอนหายใจออกมา
อ๋องฉีก็ไม่พอใจ “อย่ามาถอนหายใจต่อหน้าเด็ก มันจะกระทบต่ออารมณ์ของเด็กได้”
พระชายาฉีก็หัวเราะออกมา “พวกเขาเพิ่งจะกี่เดือนเอง ไม่รู้เรื่องหรอกเจ้าค่ะ แล้วจะได้รับผลกระทบได้อย่างไร”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก หลานสาวของข้าฉลาดจะตาย” พูดจบ ก็ถามเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกว่า “ใช่หรือไม่ เย่ว์เอ๋อร์”
เด็กน้อยก็หัวเราะออกมา จนท่านอ๋องฉีก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจไปด้วย
สิ่งที่พระชายาฉีกังวลก็แล้วกันไป ช่างเถอะ ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันให้พอ พอทะเลาะกันเสร็จ ก็จะเลิกทะเลาะกันไปเอง ท่านอ๋องพูดถูก เขาสองคนตอนนี้เป็นห่วงแค่เด็กน้อยก็พอ
เมื่อคืนก็นอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้ยังมาเจอเรื่องมากระทบทั้งกายทั้งจิตใจอีก พอหลินหันเยียนหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อบหลับไป แต่ก็หลับได้ไม่สนิทนัก ในขณะที่ฝันเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความฝัน รวมไปถึงเสียงของหมอหลวงเจียงที่ยืนยันก็ยังดังก้องอยู่ในหัวของนาง เกรงว่าต่อไปนี้คุณหนูหลินจะไม่สามารถมีลูกได้ จึงกรีดร้องออกมา แล้วลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ไปไหน รู้สึกได้ว่านางหลับได้ไม่ค่อยสนิทนัก ก็ได้แต่โทษตัวเองและตำหนิตัวเองว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาคนเดียว ถ้าหากว่าเขาไม่คิดวิธีเลวๆ เช่นนั้นออกมา เยียนเอ๋อร์ก็ไม่ต้องมารับผลกระทบเช่นนี้
หลินหันเยียนตกใจตื่นขึ้น หวงฝู่อวี้ก็ตกใจลุกขึ้นเช่นกัน แล้วถามว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร ฝันร้ายงั้นหรือ”
หลินหันเยียนหันมาด้วยความเหม่อลอย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
หวงฝู่อวี้ก็ยกแขนเสื้อของตนขึ้นมาเช็ดหน้าให้นาง
“พี่อวี้เจ้าคะ” หลินหันเยียนพูดเสียงเบา
“ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่มาตลอด” หวงฝู้อวี้ตอบกลับ
“ข้ามีลูกไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้ตอบอะไร
ดวงตาของหลินหันเยียนก็มีน้ำตา “ท่านบอกข้าที ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง”
“เยียนเอ๋อร์” น้ำเสียงของหวงฝู่อวี้เต็มไปด้วยความสงสารอย่างประมาณมิได้ “ข้าสัญญา ไม่ว่าเจ้าจะมีลูกได้หรือไม่ได้ ชีวิตนี้ข้ามีเจ้าเป็นเมียแค่เพียงผู้เดียว จะไม่แต่งงานกับใครอีก แล้วจะไม่มีวันทิ้งเจ้าด้วย”
“เจ้าค่ะ” หน้าของหลินหันเยียนที่กำลังร้องไห้ก็มร้อยยิ้มผลิออกมา เปรียบเสมือนดอกสาลี่ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน พยักหน้าแล้วบอกว่า “ข้าเชื่อท่านเจ้าค่ะพี่อวี้”
เห็นท่าทางพยายามฝืนความเจ็บปวดของนาง ท่าทางที่กำลังฝืนยิ้มของนาง หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “ข้าไม่ร้อง ขอแค่ท่านรับปากข้ามาก่อนเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามาเลย!”
หลินหันเยียนขยับตัวลงจากเตียง ตอนที่เท้าแตะถึงพื้นนั้น ก็มีความรู้สึกเจ็บขึ้นมา ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องการอะไร บอกข้าสิ ข้าช่วยเอาให้” หวงฝู่อวี้พูดออกมาด้วยความปวดใจเป็นที่สุด
น้ำตาของหลินหันเยียนก็ยังคงคาอยู่บนใบหน้า แต่ก็ยังยิ้มออกมาได้ ใส่รองเท้า แล้วเดินไปที่โต๊ะ กางกระดาษออกในขณะที่หวงฝู่อวี้อมงด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ฝนหมึก แล้วเดินกลับมาที่เตียง แล้วลากหวงฝู่อวี้ลุกขึ้น จูงมือเขามาที่โต๊ะ แล้วเงยหน้ามองตาของหวงฝู่อวี้ แล้วขอร้องออดอ้อนว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านเอาที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้เขียนออกมาได้หรือไม่”
“ได้!” หวงฝู่อวี้ทำอย่างไม่ลังเล “ขอแค่เจ้าดีใจ ข้าจะเขียนให้เดี๋ยวนี้”
หลินหันเยียนก็ยิ้มมากกว่าเดิม
หวงฝู่อวี้ก้มหัว หยิบพู่กันมา แล้วเขียนคำพูดที่ตนพูดเมื่อครู่นี้ลงไปโดยไม่ตกหล่นแม้ตักอักษรเดียว เขียนเสร็จ ก็เอาให้หลินหันเยียน “เยียนเอ๋อร์ เจ้าดูสิ”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านเขียนผิดแล้ว”
หวงฝู่อวี้ชะงักไป แล้วมองไปที่ตัวหนังสือที่ตนเขียนอย่างละเอียด ไม่ผิด เป็นคำพูดเมื่อครูนี้จริงๆ ไม่ตกหล่นแม้ตัวอักษรเดียว
หลินหันเยียนก็ชี้ไปที่กระดาษ “พี่อวี้ควรเขียนคำว่าสัญญาไว้ที่ด้านบนด้วยเจ้าค่ะ แล้วก็ ลงนามที่ด้านล่าง แบบนี้ข้าถึงจะสบายใจ”
“ได้”
หวงฝู่อวี้ตอบรับอย่างไม่ลังเลอีกครั้ง “ขอแค่เยียนเอ๋อร์พอใจ ข้าจะเขียนใหม่ให้เดี๋ยวนี้”
“ข้ากางกระดาษให้ ฝนหมึกให้พี่อวี้เองเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนยิ้มเพราะว่าไม่เห็นท่าทีลังเลของหวงฝู่อวี้เลยสักนิด จึงกางกระดาษให้ใหม่ แล้วฝนหมึกอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้ก้มหน้า แล้วเขียนใหม่ตามที่นางบอกอีกครั้ง ลงนาม แล้วเอาตราประทับประจำตัวออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปที่ตรงหน้านาง “เยียนเอ๋อร์ เจ้าดูนี่ เช่นนี้แล้วเจ้าพอใจหรือยัง”
หลินหันเยียนก็รับมา แล้วตรวจดูอย่างละเอียด แล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น “พี่อวี้เจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะขอท่านอีกหนึ่งเรื่อง”
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าจะทำอันใดอีก มีเรื่องขอร้องอะไรเจ้าพูดมาเถิด ไม่ว่าอะไรพี่ก็จะทำให้เจ้าทุกอย่าง” หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็ว อยากที่จะพยุงนางขึ้นมา
“พวกเราย้ายออกจากจวนกันเถอะเจ้าค่ะ!” หลินหันเยียนพูดแล้วมองไปที่เขาโดยไม่ขยับเลยสักนิด
หวงฝู่อวี้ชะงักไป มือที่ยื่นออกมาก็แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แล้วถามว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าว่าอย่างไรนะ”
หลินหันเยียนก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง ไม่ตกหล่นเลยแม้คำเดียว “พวกเราย้ายออกจากจวนกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้!” หวงฝู่อวี้ปฏิเสธทันควัน “ข้ารับปากเจ้าได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้ที่ไม่ได้ พี่ใหญ่เคยบอกเอาไว้ พวกเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน จะต้องประคับประคองจวนอ๋องแห่งนี้ไปด้วยกัน ข้าไม่มีวันย้ายออกจากจวนอ๋องเด็ดขาด”
หลินหันเยียนก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง “แต่ว่า ถ้าหากว่าท่านอ๋องและพระชายารู้ว่าข้าไม่สามารถมีลูกได้ล่ะก็ จะต้องขับไล่ข้าออกจากจวนแน่ๆ ถึงตอนนั้นจะทำเช่นไรล่ะเจ้าคะ”
“ไม่มีทาง” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “จวนอ๋องไม่จำเป็นต้องสืบสกุล ถ้าหากพวกเราไม่มีลูก เสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็ไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่”
เห็นเขาไม่ยอมท่าเดียว หลินหันเยียนก็น้ำตาไหลนอง “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านบอกว่าท่านจะทำเพื่อข้าทุกอย่างมิใช่หรือ แล้วใยเรื่องนี้จึงรับปากข้าไม่ได้”
“เรื่องใดก็ได้ ยกเว้นเรื่องนี้! เยียนเอ๋อร์ ข้าจะบอกให้เจ้าเข้าใจ ชีวิตนี้ ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ข้าจะไม่ทอดทิ้งจวนอ๋องเด็ดขาด จะไม่มีวันทรยศต่อพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ และจะไม่มีวันทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ต้องเสียใจเด็ดขาด” หวงฝู่อวี้มองจ้องไปที่ตาของหลินหันเยียน เป็นครั้งแรกที่ใช้น้ำเสียงดุดันเช่นนี้พูดความในใจกับนาง
น้ำตาของหลินหันเยียนก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย น้ำเสียงก็เริ่มดังขึ้น “แล้วข้าล่ะ ท่านคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ ให้ข้าอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี้ด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าถ้าหากพวกเขารู้เรื่องนี้เข้าในสักวัน แล้วไล่ข้าออกไป ข้าไม่มีที่ไหนให้ไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่มีวัน ข้ารับรอง ถ้าหากว่าพวกเขารู้เรื่องที่เจ้าไม่สามารถมีลูกได้แล้วขับไล่เจ้าออกจากจวน ข้าจะไม่ลังเลที่จะเดินไปกับเจ้า” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และไม่ลังเลใดๆ
แต่หลินหันเยียนกลับไม่เชื่อ แล้วเริ่มฟูมฟายออกมา “พี่อวี้ ท่านหลอกข้า ข้ารู้ ว่าท่านไม่ทำแบบนั้นแน่”
“เยียนเอ๋อร์ ข้าจะต้องทำอย่างไรให้เจ้าเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด”
“พวกเราต้องแต่งงานกัน วันพรุ่งนี้เลย งานเลี้ยงก็เชิญแขกเหรื่อชั้นสูงในเมืองหลวงมาให้หมด เชิญขุนนางราชสำนักมาเป็นสักขีพยาน ข้าต้องการให้ท่านสัญญากับข้าต่อหน้าทุกคน ว่าชีวิตนี้จะมีข้าเป็นเมียแต่เพียงผู้เดียว จะไม่นอกใจ จะไม่ทอดทิ้งข้า”
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “เยียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าไร้เหตุผลไปหน่อยเลย พวกเรายังไม่ได้เตรียมอะไรเลย จะแต่งกันพรุ่งนี้ได้อย่างไร”
หลินหันเยียนก็ลุกขึ้นด้วยความโกรธ แล้วตวาดกล่าวโทษเขา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านเสแสร้ง พวกท่านคนเยอะขนาดนี้ มีอะไรจะทำไม่ได้ ท่านไม่อยากแต่งงานกับข้าต่างหาก ถึงได้ยืดงานแต่งงานออกไปเรื่อยๆ เช่นนี้ แล้วก็ เมื่อคืนวานที่ท่านไม่กลับมาเลยทั้งคืน นั่นเป็นเพราะเบื่อข้าแล้ว อยากให้ข้าทนไม่ไหวแล้วถอยออกไปเอง ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง”
หลินหันเยียนกำลังจะเริ่มก่อเรื่องอีกครั้ง หวงฝู่อวี้ก็เริ่มโมโหด้วยเช่นกัน เลยพูดออกมาว่า “ข้ายอมรับ ว่าเมื่อวานข้าตั้งใจไม่กลับห้อง แต่ว่าข้าไม่ได้เบื่อเจ้าหรือจะทิ้งเจ้า แต่ว่าข้าต้องการคิด ว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้เจ้าหายแคลงใจข้า ทำให้เจ้าเป็นเหมือนกับเมื่อก่อน ที่สดใสร่าเริงใช้ชีวิตไปกับข้า ไม่ใช่มานั่งร้องไห้ฟูมฟาย น่าบึ้งตึงทั้งวี่วัน”
“ท่านหลอกข้า ท่านเบื่อข้าและจะทิ้งข้าต่างหาก ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง” หลินหันเยียนตะโกนออกมาด้วยความขาดสติ
เมื่อเห็นว่าหลินหันเยียนเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ หงเอ๋อร์ร้อนรน เปิดม่านประตูแล้วเสียมารยาทเดินเข้ามา แล้วพูดโน้มน้าวว่า “คุณหนูเจ้าขา ท่านยังบาดเจ็บอยู่ อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ”
เพียะ! ฝ่ามือประทับลงบนหน้าของหงเอ๋อร์ แล้วหลินหันเยียนก็เริ่มด่า “อย่ามายุ่ง นังทาสเนรคุณ ถ้าหากว่าไม่ใช่แผนการของเจ้า ที่เอายาใส่ลงในสุราของข้าล่ะก็ ทำให้ข้าไม่สามารถควบคุมตัวเองแล้วทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้ ข้าก็ไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
หงเอ๋อร์โดนตบจนมึน ยื่นมือออกมาจับที่หน้าของตน แล้วตาโต ไม่อยากจะเชื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือหลินหันเยียน อยู่กับคุณหนูมาหลายสิบปี คุณหนูไม่เคยด่าทอตนแรงๆ เลยแม้สักนิดเดียว วันนี้ถึงขั้นตบตน
เห็นนางมองจ้องมาที่ตนเอง หลินหันเยียนก็โกรธมากยิ่งขึ้น ด่าต่อว่า “นังขี้ข้า ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก อยากจะทำร้ายข้าอีกรอบอย่างนั้นหรือ”
หงเอ๋อร์คุกเข่าลงกับพื้น อดไม่ได้ที่จะพูดอธิบาย “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวไม่เคยทำร้ายท่านเลย ครั้งนั้น เป็นท่านเองที่บอกให้ข้าทำ”
“หุบปาก เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” หลินหันเยียนตวาดใส่นาง แล้วยื่นเท้าไปถีบ “ออกไป เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ถ้ายังกล้าพูดอีก ข้าจะขายเจ้าทิ้งเสีย!”
ในขณะที่กำลังโกรธ แรงของหลินหันเยียนก็มากขึ้น หงเอ๋อร์โดนถีบจนกระเด็นไปด้านหลังเสียงดัง ตุบ หัวกระแทกกับพื้น จนงุนงงไปหมด
แต่หวงฝู่อวี้กลับได้ยินถึงบางสิ่งบางอย่างในคำพูดนั้น หรี่ตา แล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าพูดอีกรอบสิ”
น้ำเสียงอันดุดันของเขาทำให้หงเอ๋อร์กลัวจนตัวสั่น สติก็กลับคืนมา แล้วลุกขึ้นคุกเข่าโดยลืมความเจ็บปวดไปเสียหมดสิ้น “คุณชายยรองเจ้าคะ บ่าวพูดออกมาด้วยความโกรธ ท่านปล่อยข้าไปเถิด ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”
คำพูดของหงเอ๋อร์ ทำให้สมองของหลินหันเยียนได้สติกลับมา แล้วพูดผสมโรงอย่างใจเย็นว่า “ใช่แล้ว พี่วอี้เจ้าคะ นังนี่ปกติก็ชอบพูดจาเลอะเลือนอยู่แล้ว ท่านอย่าไปฟังนางเลยเจ้าค่ะ”
พูดจบ แล้วจ้องไปหงเอ๋อร์ ตวาดใส่ว่า “ยังไม่รีบออกไสหัวออกไปอีก”
หงเอ๋อร์ก็รีบลุกขึ้นแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
หลินหันเยียนมองจ้องไปที่นาง ในขณะที่กำลังจะก้าวพ้นประตู ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น แล้วบอกให้นางหยุด “ช้าก่อน!”
หงเอ๋อร์หยุด แล้วหันหลังกลับมา มองไปที่นางด้วยสายตากล้าๆ กลัวๆ พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “คุณ คุณหนูเจ้าคะ”
“เจ้ามานี่สิ!” หลินหันเยียนโบกมือให้กับนาง
หงเอ๋อร์ใจเต้นตุบๆ เดินมาที่ตรงหน้านาง
หลินหันเยียนจับมือนาง แล้วทั้งสองก็คุกเข่าต่อหน้าหวงฝู่อวี้ ขอร้องว่า “พี่อวี้เจ้าคะ คืนนี้ ท่านรับหงเอ๋อร์เป็นภรรยาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”