เมื่อหงเอ๋อร์ได้ฟังชัดเจน ก็ตกใจจนแทบสลบ แล้วร้องออกมาว่า “คุณหนู!”
เหตุใดคุณหนูจึงทำเช่นนี้ นางเคยรับปากกับตนเองไว้แล้วว่าให้รอนางกับคุณชายรองแต่งงานกันก่อน ก็จะยกนางให้กับซุนเต๋อ
หวงฝู่อวี้ก็เบิกตาโต มองหลินหันเยียนอย่างไม่เชื่อสายตา อีกทั้งยังสงสัยว่าตนได้ยินผิดไปหรือเปล่า จึงถามอีกรอบ “เยียนเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”
หลินหันเยียนก็รีบอธิบายให้หวงฝู่อวี้ฟังโดยที่ไม่ได้มองหงเอ๋อร์เลยสักนิด “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านฟังข้านะ ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านรับหงเอ๋อร์เข้ามาเป็นเมีย แต่ข้าเพียงแค่ต้องการให้ท่านรับนางเอาไว้ รอให้นางตั้งครรภ์ คลอดลูกออกมา เราก็เอาลูกนางมาเลี้ยง ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าข้าไม่สามารถมีลูกได้
“คุณหนู!” หงเอ๋อร์ร้องเรียกออกมาอีกครั้ง แล้วหันไปหานาง ก้มลงกราบนางหลายรอบ มีเสียง ตึกตัก ดังขึ้นจนหน้าผากแดงไปหมด อีกนิดเดียวก็มีเลือดซิบออกมาแล้ว “ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ บ่าวมีคนที่ชอบแล้ว ท่านเคยรับปากว่าจะให้พวกเราได้อยู่ด้วยกันนะเจ้าคะ”
“เจ้าหุบปากเสีย!” หลินหันเยียนหันไปตะวาดใส่นาง “เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ของตระกูลหลินเท่านั้น จะเป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอันใด ณ ที่แห่งนี้”
หงเอ๋อร์ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและความสิ้นหวัง
หวงฝู่อวี้ก็ชะงักไป ราวกับว่าไม่รู้จักหลินหันเยียนอย่างใดอย่างนั้น มองเหม่อไปที่นาง สงสัยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่เหตุใดถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นางที่ไร้เดียวสา น่ารัก ไม่มีพิษภัย เยียนเอ๋อร์คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลาเหตุใดถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้
หลินหันเยียนก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วดึงชายเสื้อของหวงฝู่อวี้ เงยหน้า ขอร้องเขาว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ขอท่านทำตามที่ข้าขอเถิดเจ้าค่ะ ข้า… …”
หวงฝู่อวี้สลัดมือนางออก แล้วถอยหลังไป สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้ เจ้าทำแบบนี้ เห็นข้าในสายตาหรือไม่”
หลินหันเยียนก็ขยับเข้าไปใกล้อีก อยากจะเข้าไปจับชุดของเขาแล้วพูดโน้มน้าวเข้าอีกรอบ “พี่อวี้เจ้าคะ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ขอแค่มีลูกของพวกเรา ฐานะของข้าในจวนอ๋องแห่งนี้ก็จะมั่นคง ท่านกับข้าถึงจะได้อยู่กันอย่างเป็นสุข ไม่มีใครมารังแกได้”
หวงฝู่อวี้ส่ายหน้าแล้วถอยหลังไปอีก “ไม่ เยียนเอ๋อร์ เจ้าคิดผิดแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะไม่มีความสุข ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น”
พูดจบ เห็นหลินหันเยียนขยับเข้าใกล้ ก็ถอยหนี
หลินหันเยียนจับเขาไม่ได้ ในใจกระวนกระวาย ก็ขยับเข้าไปอีก อยากที่จะจับชุดของเขาให้ได้ “พี่อวี้เจ้าคะ”
เหมือนหวงฝู่อวี้กำลังหลบเชื้อโรคอย่างใดอย่างนั้น หลบหลีกไม่ให้นางจับได้ “เยียนเอ๋อร์ วันนี้เจ้าได้รับเรื่องหนักหนาสาหัสเกินไปแล้ว เจ้าเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าพูดอะไรออกมา ให้หงเอ๋อร์ดูแลเจ้าไปก่อน ข้า…จะออกไปเดินข้างนอก ไปตั้งสติเสียหน่อย”
พูดจบ ก็หันหลัง เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี้เจ้าคะ ท่านกลับมาก่อน!” หลินหันเยียนร้องเสียงหลง
แต่หวงฝู่อวี้กลับวิ่งเร็วขึ้นอีก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไป
หลินหันเยียนนั่งอยู่ที่พื้นอย่างสิ้นหวัง
หงเอ๋อร์ก็ร้องไห้อยู่ข้างๆ
หลินหันเยียนได้สติ ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปที่หงเอ๋อร์ แล้วถีบเอาถีบเอา “นังขี้ข้า ได้นอนกับคุณชายรองนั้นเป็นบุญกี่ชาติของเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังกล้าที่จะไม่ยินยอม วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
หงเอ๋อร์โดนถีบจนนอนกองกับพื้น เจ็บจนขดตัวขึ้น แต่ก็ได้แต่กัดฟันไม่ร้องขอชีวิตเลย
หลินหันเยียนก็โกรธมากขึ้น หลังจากที่ถีบเสร็จ ก็หยุดพักหายใจแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้ เรื่องนี้เป็นไปตามนี้ เจ้ายอมก็คือยอม ถึงเจ้าไม่ยอมก็ต้องยอม ถ้าหากว่าเจ้ายังกล้าที่จะทำอะไรล่ะก็ ข้าจะขายเจ้าไปให้กับหอนางโลมชั้นต่ำซะ”
พูดจบ ก็หันหลัง แล้วกลับไปนั่งที่เตียงด้วยความโกรธ มองจ้องไปที่หงเอ๋อร์ด้วยความดุดัน หายใจเข้าออกอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดออกมาด้วยความรำคาญว่า “ไสหัวออกไป อย่ามานอนแกล้งตายอยู่ที่พื้น”
หงเอ๋อร์ลุกขึ้นมาช้าๆ ค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วเดินโซเซออกไป
หลินหันเยียนถอนหายใจ แล้วนอนลงไปที่เตียง ห่มผ้า หลับตา ในหัวคิดแต่เรื่องที่ตนคิดเอาไว้ ยิ่งคิดก็ว่าแผนการนี้ใช้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกพอใจ
หวงฝู่อวี้หนีออกมาจากจวน มาที่สวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองฟ้าแล้วตะโกนออกไป จนนกในสวนดอกไม้ต่างก็ตกใจกระพือปีกบินว่อน บ่าวที่กำลังทำความสะอาดสวนอยู่ก็ตกใจจนขาอ่อนแรง หวงฝู่ซวิ่นที่หนีจากตงกงมาที่จวนอ๋องก็ตกใจจนขาอ่อนแรงด้วยเช่นกัน อีกนิดเดียวก็จะล้มเขม่นลงไปกองที่พื้นอยู่แล้ว
ใช้แรงเป็นอย่างมากกว่าตัวเขาจะยืนตรงได้ หวงฝู่ซวิ่นสั่งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงว่า “เจ้าไปดูสิ ว่ามันผู้ใดบังอาจมาเสียงดังในจวนอ๋องแห่งนี้”
องครักษ์เงารับคำสั่ง แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านได้รับรายงาน เลยรีบออกมาต้อนรับ ทำความเคารพ “ไท่จื่อ ท่านมาแล้ว”
พยักหน้านิ่งๆ แล้วถามว่า “พ่อบ้าน เสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้อยู่หรือไม่”
“อยู่ขอรับ ข้าน้อยจะพาท่านไปเอง”
หวงฝู่ซวิ่นโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่เป็นไร ข้าไปเองได้” วันนี้เขามาเพื่อขอโทษ ถ้าหากว่าให้พ่อบ้านเห็น เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
พ่อบ้านตอบรับ แล้วหลบทางให้หวงฝู่ซวิ่นเข้าไป
เห็นเขาเดินโซเซไม่ตรงทาง ในใจก็คิด ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน เหตุใดไท่จื่อถึงมีสภาพเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นโรคอะไรล่ะ แต่ว่า เขาควรจะไปหาซื่อจื่อเฟยสิ เหตุใดถึงไปที่เรือนของพระชายาเสียล่ะ
เดินตามทางที่ทอดยาวมา ในที่สุดก็มาถึงที่จวนของพระชายาฉีได้ ถ้าเป็นแต่ก่อนหวงฝู่ซวิ่นเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง แต่ตอนนี้ต้องใช้พละกำลังเป็นอย่างมาก กว่าจะเดินมาถึงได้
ขาที่สั่น กำลังลากร่างกายที่อ่อนแรงเข้าไปที่ด้านใน หลิงหลงเห็นเขา จึงรีบออกมาทำความเคารพ “ไท่จื่อเพคะ”
“เสด็จอากับเสด็จอาสะใภ้อยู่หรือไม่” หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้มีมาดหรือความสูงส่งอันใดเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ได้แต่ถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ทูลซื่อจื่อ ท่านอ๋องและพระชายาอยู่ด้านในเพคะ บ่าวจะเข้าไปรายงานเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง” หวงฝู่ซวิ่นห้ามนาง “ข้าเข้าไปเองได้”
หลิงหลงก็ถอยหลบไปอีกทาง
สาวใช้ที่ดูแลอยู่หน้าประตูก็เปิดม่านประตูออก หวงฝู่ซวิ่นเดินเข้ามา เห็นท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ต่างก็กำลังอุ้มเล่นกับเด็กน้อยอยู่ จึงดึงสติของตนเองกลับมา แล้วอ้อนวอนว่า “เสด็จอา ข้าผิดไปแล้ว ท่านปล่อยข้าไปเถิด”
มือของท่านอ๋องฉีที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่ก็หยุดลงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็กลับมาหยอกล้อเด็กน้อยเหมือนเดิม ราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด
พระชายาฉีเงยหน้ามองไปที่เขา เห็นใบหน้าที่อวบอ้วนของหวงฝู่ซวิ่น ขาแข้งอ่อนแรง ท่าทางที่ดูเหมือนกับจะล้มลงไปตลอดเวลา ก็ตกใจอย่างมาก แล้วถามว่า “ซวิ่นเอ๋อร์ เจ้าไปทำอะไรมาน่ะ มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”
“ข้า… ข้า…” หวงฝู่ซวิ่นหลบสายตา ตอบคำถามนั้นไม่ได้
จะตอบว่าตนมีความต้องการในเรื่องนั้นมากเกินก็ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยินยอมก็ตามเถอะ
พระชายาฉีเป็นคนที่มองคนออก เมื่อเห็นเขาไม่พูด ก็รู้ทันทีว่าไม่สะดวกที่จะตอบ เลยรีบสั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ในเรือน “รีบไปยกเก้าอี้มาให้ไท่จื่อเดี๋ยวนี้”
เก้าอี้ถูกยกมา หวงฝู่อวี้ก็รีบนั่งลง เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตรงหน้าผาก แล้วพูดกับอ๋องฉีที่ไม่สนใจตนเลยสักนิดอีกครั้งว่า “เสด็จอา ข้าผิดไปแล้ว ปล่อยข้าไปเถิด”
ท่านอ๋องฉีถึงได้มองไปที่เขาเล็กน้อย แล้วถามว่า “ผิดที่ใด”
หวงฝู่ซวิ่นก็ดีใจ แล้วพูดตอบกลับไปอย่างเอาใจว่า “เสด็จอาว่าข้าผิดที่ใด ข้าก็ผิดเช่นนั้น”
ท่านอ๋องฉีก็ถอนหายใจ หันกลับมา แล้วพูดพึมพำว่า “ดูแล้ว ข้าจะต้องพาเด็กๆ เข้าวังอีกรอบเสียแล้วสิ”
หวงฝู่ซวิ่นก็ตกใจจนแทบทรุด อีกนิดเดียวก็จะลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว ร้องอ้อนวอนอย่างไม่อาย “เสด็จอาขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำผิดไปแล้วทุกอย่าง ขอให้ผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลยขอรับ ปล่อยข้าไปเถิด” พูดเป็นเล่นไป เสด็จอาเพิ่งจะเข้าวังไปแค่ครั้งเดียว ส่วนตนก็สองเดือนแล้วที่ไม่ได้ออกมาจากตงกง วันๆ ก็โดนบังคับให้นอนอยู่กับชายาและสนมในห้องตลอด อีกนิดเดียวก็จะตายอยู่แล้ว ถ้าหากว่าให้เขาเข้าวังไปอีกครั้งล่ะก็ เกรงว่าตนยังไม่ทันขึ้นครองราชย์ก็น่าจะได้ตายเสียก่อน
ท่านอ๋องฉียกมุมปากขึ้น เหมือนกับกำลังยิ้มอยู่
พระชายาฉีมองทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวงฝู่ซวิ่นถึงได้กลัวอ๋องฉีเข้าวังขนาดนี้
“ถ้าหากครั้งหน้ายังกล้าทำผิดอีกล่ะก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เช่นนี้แน่” ท่านอ๋องฉีอุ้มเด็กน้อยในอ้อมอกไปมา เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อยแล้วถึงเอ่ยปากพูด
หวงฝู่ซวิ่นตาค้างไปเลย สีหน้าท่าทางคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก นี่น่ะหรือเสด็จอาที่เขาเคยรู้จัก นี่เป็นเพียงแค่คนแก่คนหนึ่งที่คลั่งหลานตัวเองเท่านั้น ดังนั้น จึงลืมตอบรับไปเลย
“ทำไม ไม่ยอมงั้นรึ” เมื่อไม่ได้ยินคำตอบ ท่านอ๋องฉีที่กำลังอุ้มเด็กอยู่ก็หันไปมองเขา แล้วถามด้วยเสียงแข็ง
หวงฝู่ซวิ่นได้สติ ได้ยินชัดเจนแล้วว่าท่านอ๋องฉีบอกว่าอะไร ก็ดีใจลุกขึ้นยืนโดยทันควัน ถ้าหากว่าไม่มีตำแหน่งมากีดกันล่ะก็ ก็แทบจะคุกเข่าก้มกราบเลยทีเดียว “ขอบพระคุณเสด็จอาขอรับ”
“อืม” ท่านอ๋องฉีตอบรับเบาๆ แล้วไม่สนใจเขาอีก
หวงฝู่ซวิ่นก็ไม่กล้าอยู่ต่อ ตอนนี้เขากำลังงุนงงสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตนทำผิดอะไร ถึงได้ไปยั่วโมโหเข้ากับท่านอ๋องฉี เลยโดนเขาเล่นงาน ถ้าขืนอยู่ต่อล่ะก็ ไปทำให้เขาโกรธอีก เช่นนั้นแล้วผลก็จะ… …
ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วรีบบอกว่า “เสด็จอา เสด็จอาสะใภ้ขอรับ หลานขอตัวลาก่อนนะขอรับ” ตกใจจนคำว่า ข้า ยังไม่กล้าใช้เลย
“วันนี้โยวเอ๋อร์กับเซวียนเอ๋อร์อยู่ที่จวนทั้งคู่ เจ้าเข้าไปสิ” ไม่รู้จะบอกกับเขาอย่างไรดีว่าให้ไปดูอาการ พระชายาฉีก็ได้แอบกำชับเขาเช่นนี้
หวงฝู่ซวิ่นยิ้มตอบรับ
ท่านอ๋องฉีไม่ได้พูดอะไรอีก
หวงฝู่ซวิ่นออกจากเรือนมาด้วยความรวดเร็ว แล้วถอนหายใจเฮือกยาว วันนี้เขาจะได้พักผ่อนจริงๆ เสียที
องครักษ์เงาก็กลับมารายงาน “ไท่จื่อ เสียงเมื่อสักครู่นี้เป็นเสียงของคุณชายรองพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เขากำลังเป็นบ้าเตะตนไม้อยู่ที่สวนดอกไม้พ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่ซวิ่นก็สนใจ ลืมไปเลยว่าตอนนี้ตนไม่มีแรงที่จะทำอะไรทั้งนั้น บอกว่า “ไป ไปดูอะไรน่าสนุกกัน ดูสิว่าคุณชายรองแห่งจวนอ๋องจะเตะต้นไม้ยังไงให้ล้ม” แล้วก็คิดในใจเพิ่มเข้าไป แล้วดูสิว่าจะโดนเสด็จอาลงโทษอย่างไร
พอมีใจคิดจะไปดูอะไรน่าสนใจ ก็กลายเป็นคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ขนาดเดินยังกลับมาสงาผ่าเผย ไม่โซเซ มุ่งหน้าไปที่สวนดอกไม้อย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ได้ยินเสียง ปุกปุกปุก หวงฝู่ซวิ่นก็ดีใจเมื่อได้ยินเสียงนี้ ก็รู้ว่าใช้แรงไม่น้อยเลยทีเดียว ดูท่าแล้วไม่นานก็จะโดนเสด็จอาลงโทษ
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว หวงฝู่อวี้ไม่สามารถระบายออกมาได้เลย จึงใช้แรงทั้งหมดที่มีลงไปที่ขา แล้วเตะไปที่ต้นไม่ที่น่าสงสาร
หวงฝู่ซวิ่นหัวเราะออกมา แล้วมองเขาด้วยท่าทางสะใจ “ข้าว่าน้องอวี้เนี่ย จะต้องไปเจอเรื่องใหญ่อะไรมาแน่เลย หาทางออกไม่ได้ เลยมาระบายกับต้นไม้นี้แทน”
เมื่อได้ยินเสียง หวงฝู่อวี้ก็หยุดการกระทำ แล้วหันมาเพ่งมอง เป็นหวงฝู่ซวิ่นนั่นเอง จึงโค้งคำนับ “คารวะไท่จื่อ”
หวงฝู่ซวิ่นก็เดินเข้าไป ตบไปที่บ่าของหวงฝู่อวี้ ทำท่าทางปลอบใจว่า “น้องอวี้ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ ข้าดูแล้ววันนี้เจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก บอกพี่มาสิ ใครทำให้เจ้าโกรธ ข้าจะไปจัดการมันแทนเจ้า”
หวงฝู่อวี้ก็ยังคงโค้งคำนับอยู่เช่นนั้น ดึงมุมปากขึ้นเพื่อฝืนยิ้มออกมา “ขอบพระทัยไท่จื่อที่ใส่ใจ จะมีใครมายั่วโมโหข้ากัน ข้าเพียงแต่ไม่ได้ฝึกซ้อมฝีมือมานานมากแล้ว วันนี้มีเวลาว่าง เลยมาที่สวนดอกไม้แห่งนี้เพื่อฝึกซ้อมเท่านั้น”
“งั้นรึ” หวงฝู่ซวิ่นมองไปที่ปากของเขาที่กำลังยิ้ม แล้วถามเขาด้วยความสงสัย
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “เป็นเรื่องจริงขอรับ ไม่กล้าปิดบังไท่จื่อแน่นอน”
หวงฝู่ซวิ่นปล่อยเขา แล้วบอกว่า “งั้นก็ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะช่วยเจ้าก็แล้วกัน ให้องครักษ์เงามาช่วยเจ้าฝึกซ้อมเป็นไง”
หวงฝู่อวี้โบกมือปฏิเสธ “ขอบพระทัยไท่จื่อ แต่ไม่เป็นไร ข้าซ้อมมาได้สักพักหนึ่งเริ่มเหนื่อยแล้ว ต้องกลับไปพักผ่อนแล้วขอรับ”
นานทีจะมีเรื่องน่าสนุก หวงฝู่ซวิ่นจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้อย่างไร “น้องอวี้ อย่าเพิ่งรีบกลับไปเลย ถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอมประลองกับองครักษ์เงาล่ะก็ ข้าเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าก็ได้” ตอนนี้ลืมสิ้นเลยว่าร่างกายของตนเป็นเช่นไร
หวงฝู่อวี้ไม่ได้พูดอะไร ก็มีองครักษ์เงาของท่านอ๋องฉีพุ่งเข้ามา มองหน้าทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ท่านอ๋องฉีบอกว่า ถ้าท่านทั้งสองคนยังกล้าส่งเสียงดังรบกวนเด็กน้อยทั้งสองคนพักผ่อนล่ะก็ เขาจะขอราชโองการจากฮ่องเต้ ให้ท่านทั้งสองคนไปจัดการภัยหนาวที่ต้าซีเป่ยขอรับ”
พูดจบ ไม่ทันได้มองสีหน้าของทั้งสองคนที่ซีดเซียวก็หายไปเสียแล้ว
หวงฝู่อวี้ไม่กล้าพูดอะไรอีก
แต่หวงฝู่ซวิ่นกลับครุ่นคิดในหัวสมองแล้วพูดออกมาว่า “ไม่ใช่ว่าครั้งที่แล้วข้าไปแตะโดนตัวของเด็กน้อยสองคนนั้น จนทำให้ข้าโดนเสด็จอาเล่นงานจนอนาถขนาดนี้หรอกนะ”