ตอนที่ 377 จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกงั้นรึ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่อวี้เม้มปาก ไม่พูดอะไร

 

 

หลังจากที่หวงฝู่ซวิ่นพูดจบ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองทายถูก อ้าปากกำลังจะโวยวายขึ้นมา ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้อยู่ในจวนอ๋อง ถ้าหากว่าองครักษ์เงาได้ยินเข้า แล้วเอาไปรายงานเสด็จอาล่ะก็ ตนจะต้องโดนเล่นงานอย่างแน่นอน

 

 

เขาค่อยๆ หันตัว ค่อยๆ เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ในใจรู้สึกไม่พอใจแทบจะทะลุออกมาด้านนอก ตนเองเป็นถึงไท่จื่อของแผ่นดิน แต่เทียบกับเด็กน้อยที่ยังพูดไม่ได้ในใจของเสด็จอาไม่ได้เลยสักนิด

 

 

หวงฝู่อวี้เดินตามเงียบๆ อยู่ด้านหลัง มองดูไท่จื่อที่นิ่งเงียบ แต่เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเขาน่าสงสารกว่าตัวเองนัก

 

 

ทั้งสองคนก็เดินมาอย่างเงียบๆ จนถึงเรือนของหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

“สมควร!” หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดอออกมาหลังจากที่ได้ยินหวงฝู่ซวิ่นแอบบ่นอย่างกับผู้หญิง

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนทำตาเขม็ง แล้วพูดระบายออกมาด้วยความคับแค้นใจ “เป็นเพราะเจ้า จะคลอดออกมาทำไมตั้งสองคน นี่ยังดี ที่ข้ายังไม่ได้ตายคาเตียงกับไท่จื่อเฟยหลังจากที่โดนขังอยู่ข้างในนั้นตั้งสองเดือน”

 

 

พูดจบ ก็มีลมพัดผ่านมาทางด้านหน้า เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีเก้าอี้เตะออกมาจากทางด้านหลัง แล้วมีคนเดินตามมา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นตกใจสติแทบหลุด แล้วรีบไปดึงตัวคนมา

 

 

หวงฝู่ซวิ่นตกใจจนหน้าซีดไปเสียหมด ถ้าหากเป็นแต่ก่อน หวงฝู่อี้เซวียนไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแอ ขนาดแรงที่จะต่อสู้ยังไม่มี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรทั้งนั้น มองฉากที่น่าสนุกที่อยู่ตรงหน้า มองหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังระบายอารมณ์กับหวงฝู่ซวิ่นผู้โชคร้าย

 

 

“หวง ฝู่ อี้ เซวียน!” หวงฝู่ซวิ่นยืนขึ้น แล้วเรียกชื่อพร้อมนามสกุลออกมาอย่างชัดเจนด้วยความโกรธ “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ มายั่วโมโหข้า ข้าจะ… …”

 

 

“เจ้าจะทำอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนถามอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ

 

 

“ข้าจะสู้กับเจ้าให้ดุเดือดสมน้ำสมเนื้อเลยทีเดียว”

 

 

มองไปที่ตาของเขา แล้วก็หันไปทางอื่นอย่างไม่แยแส

 

 

หวงฝู่ซวิ่นที่ผู้สูงส่งก็รู้สึกว่าตนเองโดนดูถูกเป็นอย่างมาก เลยโกรธจนปัดมือของหวงฝู่อวี้ทิ้ง แล้วลุกขึ้นมาว่า “เจ้าอย่าได้ใจไปหน่อยเลย แต่ก่อนนี้ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้ เป็นเพราะข้าเห็นว่าเจ้ายศต่ำกว่าข้าเลยอ่อนข้อให้ต่างหากล่ะ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็เข้ามาเลย ออกไปกับข้า ดูสิว่าถ้าวันนี้ข้าไม่ตีเจ้าให้ตาย ข้าจะเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่เดียวกับเจ้าเลย[1]”

 

 

หึ เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะออกมา แล้วเตือนด้วยเสียงเยาะเย้ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านกับอี้เซวียนแซ่เดียวกันอยู่แล้ว”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นชะงักไป ถึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ตนพูดจาโง่ๆ ออกไป จึงเคาะหัวตัวเอง แล้วเปลี่ยนเป็น “ถ้าหากว่าข้าไม่ชนะเจ้า เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับน้องสะใภ้ข้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็มอง แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสมเพช “ฝันไปเถอะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก็โกรธเป็นอย่างมาก ก็ยืดอกถามว่า “เจ้านี่มันอะไร มันยังไงกันแน่” โกรธจนพูดได้แค่สองประโยคนี้เท่านั้น ที่เหลือก็พูดไม่ออก

 

 

“ก่อนที่จะว่าข้า คิดให้ดีก่อนว่าเมื่อครู่นี้พูดว่าอะไร” หวงฝู่อี้เซวียนพูด

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกะพริบตาด้วยความงุนงงกับคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่ว่าเขาพูดว่าอีกนิดเดียวก็จะตายอยู่บนเตียงกับไท่จื่อเฟยมิใช่รึ ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ ช้าก่อน ไม่สิ เขาเป็นพี่ใหญ่ พูดแบบนี้ต่อหน้าน้องๆ นั้นไม่ค่อยเหมาะสม เลยเข้าใจว่าเหตุใดหวงฝู่อี้เซวียนถึงได้โกรธ อารมณ์พิโรธของเขาก็สลายหายไปโดยทันที แล้วพูดขอโทษต่อเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสะใภ้ พี่ใหญ่โกรธจนหน้ามืดตาบอด บางคำพูดก็พูดออกมาเพราะความโกรธ เจ้าก็คิดซะว่าเมื่อครู่นี้พี่ไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วพยักหน้า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไว้วันหลังข้าเจอพี่สะใภ้ไท่จื่อเฟย ไว้พูดให้นางฟัง คิดว่านางจะต้องจัดการแทนข้าอย่างแน่นอน”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นพูดด้วยร้ำเสียงเว้าวอนกับทั้งสองคน “พวกเจ้ามันคนใจดำ อยากจะบีบให้ข้าตายหรือยังไง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ส่ายหัวอย่างจริงจัง แล้วพูดด้วยความโกรธ “พี่ใหญ่ ท่านผิดแล้วล่ะ พวกข้าไม่ได้อยากบีบให้ท่านตาย แต่อยากบีบให้ท่านเป็นบ้า”

 

 

“เจ้า…” หวงฝู่ซวิ่นพูดไม่ออก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ยิ้ม ความหม่นหมองในใจสลายหายไป

 

 

มองไปที่เขาด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วก็เก็บสายตากลับมาในขณะที่เขานั้นไม่รู้สึกตัว

 

 

จะทำอย่างไรก็ไม่เหนือกว่าสักที หวงฝู่ซวิ่นก็ยอมรับว่าตนเองปอดแหก ถอนหายใจยอม แล้วนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก ฟังดูแล้วก็เหมือนจะปลอบใจ “เด็กทั้งสองคนนั้นเป็นเหมือนกับของเล่นของเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ อย่าว่าแต่เจ้าเลย ถึงเป็นข้าทำให้พวกเขาร้อง เสด็จพ่อก็พร้อมที่จะเอามีดปังตอมาไล่ฆ่าด้วยเช่นกัน”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด ก็เบะปาก “อย่าใช้คำพูดเช่นนี้มาปลอบใจข้าเลย เจ้าเป็นพ่อของลูก เสด็จอาจะทำเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร”

 

 

หวงฝู่อวี้ที่นิ่งเงียบมาตลอดก็หลุดหัวเราะออกมา ยกมือทั้งสองข้างขึ้น เสียงหัวเราะก็ดังออกมาไม่หยุด “ข้าเป็นพยานได้ พี่ใหญ่เคยโดยเสด็จพ่อไล่ในจวนด้วย แต่ว่าไม่ได้ถือมีดปังตอ แต่ถือท่อนไม้ต่างหาก” คิดถึงตอนนั้นที่ตนกลับมาเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกำลังหาที่หลบหัวซุกหัวซุน ก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจเข้าไปอีก

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่เคยโกหกตน หวงฝู่ซวิ่นเลยเชื่อในคำพูดของเขา เลยเกิดความคิด หันไปพูดกับเขาว่า “มาๆ น้องอวี้ เจ้าเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิว่าใครกันที่โดนไล่กวดจนวุ่นวายไปหมดทั้งจวน มองดูแล้วเพลินน่าดูเลยสิ”

 

 

หวงฝู่อวี้กำลังจะเอ่ยปากบอกเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็กระแอมเบาๆ

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ส่ายหน้าโดยทันที “เอ่อ เรื่องน่าอับอายไม่ควรเล่าสู่คนนอกฟัง เรื่องนี้ข้าบอกท่านไม่ได้หรอก”

 

 

คำพูดเดียวก็ผิดใจได้สองคน

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก็พูดด้วยความไม่ยินดีนัก “น้องอวี้ คำพูดนี้ของเจ้าดูขัดหูจัง ใครเป็นคนนอก ข้าเป็นคนนอกงั้นรึ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ตะคอกใส่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไสหัวมานี่!”

 

 

หวงฝู่อวี้ลูบจมูกของตนเอง แล้วออกห่างจากหวงฝู่ซวิ่น ไม่พูดอะไรอีก

 

 

ไม่ได้ยินเรื่องน่าอายของหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่ซวิ่นก็ผิดหวังเล็กน้อย วางแผนไว้วันหลังถ้าตนมีเวลาว่างก็จะมาเดินเล่นที่นี่บ่อยๆ ไม่แน่อาจจะได้เห็นหวงฝู่อี้เซวียนโดนไล่ตีจนหนีหัวซุกหัวซุนก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งได้ใจ ตอนนี้ก็ลืมเรื่องที่ตนโดนเล่นงานก่อนหน้านี้ไปเสียหมด

 

 

ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาไม่ได้นอนดีๆ เลยสักคืน หวงฝู่ซวิ่นก็รู้สึกล้าและง่วงขึ้นมา ก็ปิดปากหาวออกมา ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าเหนื่อยมากแล้ว กลับตงกงก่อนล่ะ หลายวันนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ น้องเซวียนก็พักผ่อนเสียล่ะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น ทั้งสามคนโค้งคำนับส่งหวงฝู่ซวิ่นออกจากจวน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับไปที่เรือนของตนตามเดิม หวงฝู่อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตามกลับมาด้วย

 

 

เพิ่งนั่งลงที่เก้าอี้ไม่ทันไร หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดถามด้วยน้ำเสียงปกติ “จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกงั้นรึ”

 

 

หวงฝู่อวี้มองเขาด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่มองท่าทางไม่ร้อนไม่หนาวของเขาใจก็เต้นตุบๆ ขยับปาก แล้วถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “พี่ใหญ่รู้แล้วหรือขอรับ”

 

 

“รู้อะไร” สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็ล้ำลึกขึ้น มองจ้องไปที่เขา ถามเขาอย่างช้าๆ

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ปากสั่น แต่ก็ก้มหน้าก้มตาไม่ได้พูดอะไร

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้บีบเค้น เก็บสายตากลับมา “ไว้เจ้าตัดสินใจให้ดีเสียก่อน ค่อยมาบอกข้า เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ทางนั้นไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงกัดฟันแล้วเงยหน้า “พี่ใหญ่ขอรับ ข้าขออะไรท่านอย่างหนึ่ง”

 

 

“ว่ามาสิ”

 

 

“ข้าอยากจะแต่งงานกับเยียนเอ๋อร์ให้เร็วที่สุด” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ไม่มีลังเล

 

 

“ได้” หวงฝู่อี้เซวียนก็ตอบรับแต่โดยดี “อีกประเดี๋ยวข้าจะไปรายงานให้เสด็จแม่ทราบ เลือกวันมงคลที่ใกล้ที่สุดแล้วจัดเตรียมให้เจ้า แต่ว่าจะไม่เร็วมากนัก งานแต่งงานของคุณชายรองแห่งจวนอ๋องทั้งที จะต้องไม่ดูไส้แห้งเกินไป จะทำให้คนอื่นเอาไปนินทาได้”

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้า “ข้ารู้แล้วขอรับ ขอบพระคุณพี่ใหญ่”

 

 

บทสนทนาจบลง กำหนดงานแต่งงานได้แล้ว แต่ใบหน้าของทั้งสามคนกลับไม่มีแม้รอยยิ้มเลยสักนิด คิดถึงสภาพตอนที่เยียนเอ๋อร์ยัดเยียดหงเอ๋อร์ให้กับตน ความทุกทรมานในใจของหวงฝู่อวี้ก็ไม่มีทางที่จะข่มเอาไว้ได้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคิดถึงตอนนั้นที่เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สามารถตั้งครรภ์ได้แล้วออกไปเดินข้างนอก ตอนนั้นตนเองก็ไร้ซึ่งชีวิตชีวาเหมือนศพเดินได้ เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เขาไม่อยากให้หวงฝู่อวี้ต้องมาเผชิญกับมันอีก แต่ว่า ดูจากการกระทำของหลินหันเยียนแล้วนั้น เขาไม่รู้ว่าการตัดสินใจของเขาในวันนี้นั้นถูกต้องหรือไม่

 

 

ทั้งสามคนต่างมีเรื่องหนักใจ ต่างคนต่างไม่พูดอะไร

 

 

เงียบสงัดทั้งห้อง

 

 

พูดถึงหลินหันเยียน กำลังนอนอยู่บนเตียง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดของตนนั้นใช้ได้ การอุ้มบุญเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งในเมืองหลวงนี้ก็มีแค่ไม่กี่ตระกูล คนอื่นทำได้ เหตุใดนางจะทำไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่หวงฝู่อวี้และหงเอ๋อร์ทั้งสองคนต่างไม่สมยอม นางควรทำเช่นไร ทำเช่นไรดี

 

 

ทันใดนั้น ก็เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ลุกข้นมานั่งโดยทันที แล้วออกคำสั่งเสียงดังว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าเข้ามานี่หน่อย”

 

 

หงเอ๋อร์เดินโซเซเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “คุณหนูเจ้าคะ”

 

 

มองเหยียดนาง แล้วเบะปากพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เอาล่ะๆ เจ้าไม่ยอมก็ไม่เป็นไร เมื่อครู่นี้ข้ากำลังโกรธ เลยลงมือหนักไปหน่อย ข้าจะชดใช้ให้ดีไหม”

 

 

หงเอ๋อร์เงยหน้าด้วยความดีใจ น้ำตาไหลนองหน้า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ”

 

 

“พูดจริงสิ ในจวนอ๋องแห่งนี้ เรามีกันแค่นี้ จะต้องช่วยเหลือกันถึงจะก้าวต่อไปได้ ถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอม ข้าก็ไม่ฝืนใจเจ้า แต่ว่า ข้าขอเตือนไว้ก่อน ในจวนแห่งนี้มีหญิงสาวมากมายอยากจะขึ้นมานอนบนเตียงนี้กับพี่อวี้ พอถึงตอนนั้นก็โดนแย่งสิ่งที่ควรจะเป็นของเจ้าไปจนหมดสิ้น เจ้าอย่ามาบ่นข้าก็แล้วกัน”

 

 

หงเอ๋อร์รีบโบกไม้โบกมือ “ไม่หรอกเจ้าค่ะ บ่าวกับหวางเต๋อรักใคร่ปรองดองกัน ขอเพียงแค่ท่านอนุญาตให้เราสองคนแต่งงานกัน บ่าวจะเป็นทาสรับใช้ให้คุณหนูเพื่อทดแทนบุญคุณไปตลอดชีวิตเลยเจ้าค่ะ”

 

 

“เอาล่ะ อย่ามาพูดจาทำอย่างกับข้าเป็นคนนอก ในเมื่อข้าตอบรับคำขอของเจ้าแล้ว จะต้องให้สิ่งที่ดีกับเจ้าอย่างแน่นอน เอาอย่างนี้ ข้าจะเขียนจดหมาย เจ้าเอาไปส่งให้กับพี่ใหญ่ของข้า ให้เขาหาของสิ่งหนึ่งมาให้กับข้า”

 

 

“เจ้าค่ะ คุณหนู” หงเอ๋อร์ตอบรับด้วยความดีใจ

 

 

“แล้วก็​ หลังจากที่เจ้ากลับไป ไปหาท่านแม่ของข้า บอกว่าตอนนี้ข้าไม่สะดวกจะกลับไปเยี่ยมเยียนนาง รอให้ผ่านไปก่อนหนึ่งเดือนสิบวัน ข้าจะไปเยี่ยมนางอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นข้าจะบอกกล่าวกับนางเอง”

 

 

หงเอ๋อร์ตอบรับ

 

 

หลินหันเยียนยื่นมือออกมา หงเอ๋อร์เข้าไปพยุงนางเดินไปที่โต๊ะ หงเอ๋อร์กางกระดาษออกอย่างดี แล้วฝนน้ำหมึกให้ใหม่

 

 

หลินหันเยียนหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนจดหมายต่อหน้าหงเอ๋อร์ ยื่นให้นางแล้วบอกว่า “หลังจากกลับจวนแล้ว ถ้าหากว่าคนในจวนถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นอะไร ให้เจ้าบอกไปว่าเจ้าไม่ทันระวังหกล้มลงไป เลยทำให้ได้รับบาดเจ็บ ห้ามพูดนอกเหนือจากนี้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”

 

 

หงเอ๋อร์พยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู จะไม่พูดอะไรนอกเหนือจากนี้เลยเจ้าค่ะ”

 

 

แล้วหลินหันเยียนก็ยังพูดอีกว่า “ร่างกายของเจ้าไม่ค่อยดีนัก เดินกลับไปข้าก็เป็นห่วง เอาอย่างนี้ ข้าจะไปบอกพ่อบ้าน ให้เขาจัดรถม้าให้เจ้าสักคัน”

 

 

“ขอบพระคุณคุณหนูที่ใส่ใจเจ้าค่ะ” พูดขอบคุณด้วยความเต็มใจ ตอนนี้หงเอ๋อร์ลืมไปหมดสิ้นที่เมื่อครู่โดนตีแทบตาย

 

 

หลังจากที่หงเอ๋อร์ได้รถม้าไปที่จวนหลินแล้ว พ่อบ้านก็เอาเรื่องนี้ไปรายงานหวงฝู่อี้เซวียนโดยทันที

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ยังคงอยู่ที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อวี้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อยู่ดีๆ หลินหันเยียนก็ส่งหงเอ๋อร์กลับไปที่จวนหลิน ไม่รู้ว่ากำลังจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปาก “รู้แล้วล่ะ ออกไปได้แล้ว”

 

 

พ่อบ้านออกไป

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ลุกขึ้น “ข้าจะกลับไปดูหน่อย”

 

 

“เจ้ากลับไปตอนนี้ก็จะมีแต่ทำให้หลินหันเยียนสงสัยว่าพวกเราคอยสืบนางอยู่ มีแต่โทษไม่มีประโยชน์ อย่างไรเสียก็ทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากห้าม

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อวี้ละอายใจยิ่งนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ ขออภัยขอรับ ข้าทำเรื่องให้พวกท่านวุ่นวาย ถ้าอย่างนั้น…”

 

 

ถ้าอย่างนั้นอะไร เขาไม่ได้พูดออกมา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หลังจากแต่งงานกัน ก็ย้ายออกจากจวน ไปอยู่ที่จวนที่ซีเฉิงเสีย ประเดี๋ยวข้าจะออกคำสั่ง ให้คนรีบไปทำความสะอาดให้”

 

 

“ขอรับ” หวงฝู่อวี้ไม่ได้เอะใจ ดูจากนิสัยของหลินหันเยียนแล้ว จะไม่ก่อเรื่องอะไรอีกเป็นแน่ อยู่ห่างจากคนหมู่มาก ก็ยิ่งดี จะได้ไม่ทำให้ทุกคนพาลไม่สบายใจไปด้วย

 

 

หงเอ๋อร์กลับมาที่จวนหลิน เอาจดหมายในมือยื่นให้กับหลินจ้ง “นายน้อยเจ้าคะ คุณหนูส่งข้ากลับมาเพื่อส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับท่าน”

 

 

หลินจ้งรับมา เปิดออก หลังจากที่อ่านเนื้อหาจดหมายเสร็จ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

 

 

 

 

 

 

[1] เปลี่ยนเป็นแซ่เดียวกัน ในที่นี้หมายถึงการลดระดับตัวเอง เปรียบเปรยกับการที่ผู้หญิงเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับสามี