สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินเห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก ก็เดินไปเอาจดหมายมาดูอย่างละเอียด ก็ตกใจเช่นเดียวกัน น้องสาวต้องการปลุกกำหนัดนี่มัน นี่มันเกินไปแล้ว นางไปเอาเรื่องเลวทรามพวกนี้มาจากที่ใดกัน บอกว่าเป็นการกระชับสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา
เห็นหลินจ้งสีหน้าท่าทางทำอะไรไม่ถูก ฮูหยินก็ตะโกนเรียก “เซี่ยงกงเจ้าคะ”
หลินจ้งได้สติ สีหน้าแสดงอาการโกรธ ดึงจดหมายจากมือของฮูหยินมา ฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันโกรธเกรี้ยวอย่างมิอาจข่มไว้ได้ “ต่อให้นางต้องตายก็อย่ามาทำให้คนในจวนต้องเดือดร้อนไปด้วย”
หงเอ๋อร์ตกใจ ขาแข้งอ่อนแรง จนนั่งคุกเข่าลงไปกับพื้น
หลินจ้งถามด้วยเสียงดุดัน “นอกจากให้เจ้ามาส่งจดหมายแล้ว แล้วยังกำชับอะไรเจ้าอีก”
หงเอ๋อร์ผู้ไม่เคยเห็นหลินจ้งโกรธขนาดนี้มาก่อน ก็ตกใจจนร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แล้วตอบอย่างตะกุกตะกัก “คุณหนูบอกว่า ให้ข้าไปเยี่ยมฮูหยิน บอกกับฮูหยินว่า คุณหนูไม่ค่อยสบายนัก รอให้ผ่านไปอีกสักสองสามวันแล้วจะมาเยี่ยมนางเจ้าค่ะ”
“นอกจากนี้ ยังมีอีกหรือไม่” หลินจ้งไม่เพียงแต่ใช้น้ำเสียงดุดันเท่านั้น ความกดดันก็แผ่ออกมาด้วย จนหงเอ๋อร์หายใจไม่ทั่วท้อง
“ไม่มี ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูบอกมาเท่านี้เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ส่ายหน้า พูดอย่างรวดเร็ว บนร่างกายนางที่ยังมีแผลอยู่ โดนความกดดันที่นายน้อยส่งมากดจนทำให้เจ็บปวดเข้าไปอีก
หลินจ้งเก็บความกดดันที่ปล่อยออกมา หลับตาข่มความโกรธเก็บเข้าไปไว้ในใจ แล้วสั่งว่า “หลังจากที่เจอฮูหยินแล้ว รู้หรือไม่ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด”
“ข้ารู้ๆ เจ้าค่ะ บ่าวก็แค่เป็นตัวกลางสื่อสารจากคุณหนูเท่านั้น พูดจบ ก็จะกลับทันทีเจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ตอบรับ
หลินจ้งโบกมือ ขาที่กำลังสั่นของหงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา เดินออกไปอย่างโซเซ ในใจหวาดกลัวเป็นอย่างมาก คุณหนูเขียนอะไรลงไปในนั้นกันแน่ เหตุใดนายน้อยถึงโกรธถึงเพียงนี้
เนื้อหาในจดหมายทำให้หลินจ้งและฮูหยินโกรธเป็นอย่างมาก เลยไม่ได้สังเกตว่าท่าทางการเดินของหงเอ๋อร์เซไม่เป็นปกติ แต่ฮูหยินหลินที่สายตาเฉียบคมสังเกตเห็น หรี่ตาแล้ววางมาดความเป็นฮูหยินราชเลขาถามว่า “ขาของเจ้าเป็นอะไรงั้นรึ”
“ขอรายงานฮูหยิน บ่าวเดินไม่ระวังเลยหกล้มเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาอย่างสง่างาม ค่อยๆ ดื่ม แล้ววางลง “อ่อ งั้นหรือ”
หงเอ๋อร์ก้มหน้า ไม่กล้าที่จะมองตานาง แล้วตอบกลับไปเบาๆ ว่า “เจ้าค่ะ”
“หงเอ๋อร์ ข้าจำได้ว่าซุนเต๋อเป็นคนรักของเจ้าใช่หรือไม่”
หงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น มีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ แล้วร้องเรียกออกมาด้วยความร้อนรน “ฮูหยินเจ้าคะ”
“รนอะไรเล่า ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าจะขายเขา” ฮูหยินหลินค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ ทีละคำๆ จนจบ ในประโยคพยายามเน้นคำว่า ‘ขาย’ คำนี้
หงเอ๋อร์เข่าอ่อน คุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนและหวาดกลัว “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านอยากรู้อะไร บ่าวจะบอกท่านทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ”
“ขาเจ้าไปโดนอะไรมา”
หงเอ๋อร์ไม่กล้าปิดบัง เลยตอบกลับไปตามตรง “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูตีเจ้าค่ะ”
“เพื่ออันใด”
“เพื่อ เอ่อ เพื่อ…” หงเอ๋อร์หลบสายตา พูดตะกุกตะกัก พูดไม่ออก
“พูด!” ฮูหยินหลินเสียงดังตะคอกออกมา
หงเอ๋อร์ตกใจจนแทบสติหลุด หลุดปากพูดออกมาว่า “คุณหนูอยากให้คุณชายรองรับบ่าว แต่บ่าวไม่ยอมเจ้าค่ะ”
เพล้ง! เสียงหล่นลงพื้นของถ้วยชาที่อยู่ในมือของฮูหยินหลินเมื่อครู่นี้ ตกลงแตกละเอียด แล้วเสียงด่าก็ตามมา “นังทาส กล้าพูดเหลวไหลได้อย่างไร อย่างเจ้าเป็นคนถือรองเท้าให้เยียนเอ๋อร์ยังไม่เหมาะเลย แล้วนางจะให้คุณชายรองรับเจ้าได้อย่างไรกัน เหลวไหลทั้งเพ ข้าว่าเจ้าอยากตายเสียมากกว่า”
หงเอ๋อร์ก้มกราบเสียงดัง ตึกตัก “ฮูหยินได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวเถิด สิ่งที่บ่าวพูดเป็นความจริงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินถอนหายใจ หึ ออกมา “หรือเป็นเพราะเจ้าอยากจะนอนกับคุณชายรองแต่ไม่สำเร็จ อีกทั้งข้าไม่ได้ออกจากจวน เลยไม่รู้ความจริง เจ้าจึงตั้งใจพูดเช่นนี้ล่ะสิ”
“ที่บ่าวพูดเป็นความจริงเจ้าค่ะ ไม่มีตรงไหนปิดบังฮูหยินเลยเจ้าค่ะ”
“งั้นเจ้าว่ามาสิ ทำไมเยียนเอ๋อร์ถึงต้องทำเช่นนี้”
“เพราะว่า…”
ฮูหยินหลินหรี่ตามองไปที่นางอีกครั้ง แล้วขู่ว่า “อย่างไรเสียข้าก็ยังเป็นฮูหยินของจวนแห่งนี้อยู่ การที่จะเอาคนใช้ออกสักคนสองคนนั้นก็ยังทำได้อยู่ เจ้าอยากลองหรือไม่”
ภาพที่ฮูหยินหลินจัดการกับคนใช้เมื่อก่อนก็ลอยมา หงเอ๋อร์ก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ เลยพูดออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “เพราะว่าคุณหนูไม่สามารถมีลูกได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ฮูหยินหลินตกใจจนลุกขึ้นยืน ตะคอกถาม
หงเอ๋อร์ก็ตกใจจนตัวสั่นไปหมด แล้วพูดตามจริง “เมื่อวานร่างกายของคุณหนูไม่ค่อยสบายนัก เลยเชิญหมอหลวงจากในวังมาตรวจเจ้าค่ะ หมอหลวงเจียงบอกมาตามนี้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง จนล้มนั่งลงไปที่เก้าอี้ตามเดิม แล้วพูดพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ๆ”
หงเอ๋อร์ก็ขยับตัวเล็กน้อย เพราะเมื่อครู่ที่ถ้วยน้ำชาตกลง มีบางส่วนที่อยู่ใต้หัวเข่าของนาง ทิ่มลงไปจนนางเจ็บปวด
“นอกจากเจ้า แล้วยังมีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่” ฮูหยินหลินหันมาตวาดถามนาง
“มีเพียงข้าและคุณหนู แล้วก็คุณชายรองรวมไปถึงหมอหลวงเจียงเจ้าค่ะ”
ยังไม่แพร่กระจายออกไป ฮูหยินหลินก็โล่งอก ในสมองได้แต่คิดเรื่องเยียนเอ๋อร์ไม่สามารถมีลูกได้ ก็แสดงว่าไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่านางจะอยู่ในจวนอ๋องได้ ถ้าหากหวงฝู่อวี้เบื่อขึ้นมาล่ะก็ แล้วไปขอหญิงผู้อื่น แล้วถ้ายังมีลูกด้วยแล้วล่ะก็ เผลอๆ ตำแหน่งเมียหลวงของเยียนเอ๋อร์ก็จะรักษาไว้ไม่ได้ ไม่ได้ล่ะ นางจะไม่ให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
คิดได้เช่นนี้ ก็มองไปที่หงเอ๋อร์
หงเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ตัวก็สั่นขึ้นมาอีกรอบ
ฮูหยินหลินก็ถามด้วยน้ำเสียงปกติ “แล้ววันนี้ที่เจ้ากลับมาทำอันใดงั้นรึ”
“คุณหนูให้บ่าวมาส่งจดหมายให้กับนายน้อยเจ้าค่ะ”
“แล้วจดหมายล่ะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ”
“ให้นายน้อยไปแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า หลังจากที่นายน้อยอ่านจบ สีหน้าก็ไม่สู้ดีนัก เลยฉีกจดหมายไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฉีกจดหมาย ฮูหยินหลินขมวดคิ้ว ได้แต่คิดว่าเยียนเอ๋อร์เขียนอะไรในจดหมายถึงได้ทำให้หลินจ้งโกรธได้ขนาดนี้
หงเอ๋อร์ก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฮู ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูยังรอบ่าวกลับไปรายงาน ถ้าหากว่าท่านไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยก็จะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินก็คิดอะไรออกขึ้นมา ทันใดนั้นก็เข้าใจทันทีว่าหลินหันเยียนเขียนอะไรให้หลินจ้ง แล้วมองไปที่หงเอ๋อร์อีกครั้ง พบว่านางก็ใบหน้าสะสวยอยู่เหมือนกัน กำลังคิดว่าจะบอกเยียนเอ๋อร์ตอนนี้เลยดีหรือไม่ ว่าพอถึงเวลานั้นก็ฆ่าแม่แล้วเหลือลูกเอาไว้ เพื่อจะได้ตัดไฟแต่ต้นลม
หงเอ๋อร์โดนนางมองจนทำตัวหดลง อดไม่ได้ที่จะบิดไปมา สายตาของฮูหยินนั้นร้ายกาจ เย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างกับมองคนตาย
“เอาล่ะ เรื่องวันนี้ข้าผิดเอง ที่โทษเจ้า” พูดจบ ก็ลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เปิด**บเครื่องประดับออก ค้นไปหามา ถึงหากำไรเงินอันหนึ่งเจอ ยื่นให้หงเอ๋อร์ “อันนี้ ถือเสียว่าเป็นเครื่องชดใช้จากข้าแล้วกัน”
หงเอ๋อร์ชะงักไป เงยหน้า มองไปที่ฮูหยินหลินผู้สูงส่ง ตกใจจนไม่กล้าตอบรับ “ฮู ฮูหยินเจ้าคะ”
“เอาไปเถอะ ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าเปล่าๆ วันหลังถ้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องหาวิธีมาบอกข้าให้เร็วที่สุด แล้วก็ อีกประเดี๋ยวช่วยนำคำพูดของข้าไปบอกเยียนเอ๋อร์ด้วย”
“ฮูหยินมีคำพูดอะไรบอกบ่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ บ่าวจะบอกกับคุณหนูทั้งหมด ส่วนกำไลชิ้นนี้บ่าวรับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ” หงเอ๋อร์ตกใจจนใจเต้นแรง ก้มหน้าลงพูดเสียงเบา
ฮูหยินหลินนั่งย่อลงมา จับมือของนาง แล้วใส่กำไลเงินให้นางด้วยตนเอง แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ “แม้ว่ามือของเจ้าจะสากไปหน่อย แต่ฝ่ามือก็ขาวสะอาด ทำให้กำไลเงินชิ้นนี้ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่”
แต่หงเอ๋อร์กลับรู้สึกว่ากำไลที่ใส่อยู่ที่ข้อมือนั้นร้อนแรงยิ่งกว่าอะไร ร้อนจนหนังของตนเจ็บปวดไปหมด แต่ก็ไม่กล้าถอดออกมา แล้วพูดขอบคุณเสียงสั่นว่า “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินลุกขึ้น กลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม “ลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
หงเอ๋อร์ลุกขึ้น ก็รู้สึกว่าขานั้นเมื่อยเป็นอย่างมาก แทบจะยืนไม่ไหว
ฮูหยินหลินดูถูกอยู่ในใจ แกมันก็แค่ตัวสำรอง แต่ใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา แต่กลับยังยิ้มให้ “เจ้ากลับไปบอกเยียนเอ๋อร์ บอกให้นางคิดหาวิธีให้คุณชายรองช่วยเหลือ คิดหาวิธีขอเข้าพบกูกูผู้ดูแลข้างกายไทเฮาให้ได้ แล้วบอกเรื่องในจวนของข้าตามความจริง ให้นางคิดหาวิธีช่วยเหลือ ส่วนเรื่องอื่น ไม่ต้องพูดแล้ว”
หงเอ๋อร์ตอบรับ
ฮูหยินหลินโค้งตัวลงไป แล้วหยิบ**บหนึ่งขึ้นมาจากใต้โต๊ะ เปิดออก หยิบกระเป๋าออกมา แล้วกวักมือเรียกหงเอ๋อร์เข้ามา
หงเอ๋อร์เดินเข้าไป ฮูหยินหลินเอากระเป๋าวางไว้ในมือของนาง แล้วตีเบาๆ พูดว่า “เจ้ากลับไปบอกเยียนเอ๋อร์ สิ่งที่นางต้องการอยู่ข้างในนี้”
หงเอ๋อร์ถือกระเป๋านั้นเอาไว้อย่างแน่น พูดว่า “ฮูหยินโปรดวางใจเจ้าค่ะ หลังจากที่บ่าวกลับไปแล้ว จะรีบมอบให้กับคุณหนูทันทีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินส่ายหน้า บอกให้หงเอ๋อร์แบมือออก แล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมา ในขณะที่นางกำลังประหลาดใจอยู่นั้น ฮูหยินหลินก็เอากระเป๋ายัดลงไปที่หน้าอกของนาง แล้วจัดรูปให้เรียบร้อย เมื่อรู้สึกว่าจะไม่มีใครมองออกแล้ว ถึงพยักหน้าอย่างพอใจว่า “ในนี้เป็นของล้ำค่า เจ้าจะต้องเก็บมันไว้ให้ดี อย่าให้ใครก็ตามเจอมัน รวมไปถึงนายน้อยและภรรยาของเขาก็ให้เห็นไม่ได้” พูดจบ แล้วตบเบาๆ ที่บ่าของหงเอ๋อร์ “ขอแค่เจ้าทำเรื่องนี้ให้ดี ข้าไม่เพียงแต่จะให้เจ้าได้แต่งงานกับหวางเต๋อของเจ้า แต่รวมไปถึงสัญญาการซื้อตัวของพวกเจ้าข้าก็จะคืนให้”
เมื่อได้ยินชัดเจนแล้ว หงเอ๋อร์ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดว่าเหตุใดฮูหยินหลินถึงทำเช่นนี้ ทำแต่เพียงโค้งคำนับ “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะๆ”
ฮูหยินหลินโบกมือ “เอาล่ะ กลับไปเถอะ เยียนเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
หงเอ๋อร์เดินออกไปอย่างหน้าชื่นตาบาน
ฮูหยินหลินมองไปที่นาง ก็หัวเราะออกมา รอให้เยียนเอ๋อร์ฆ่าแม่เพื่อเอาลูกเสร็จแล้ว นางก็ใจดีจะส่งซุนเต๋อไปอยู่เป็นเพื่อนนางด้วย ถึงตอนนั้นสัญญาการซื้อตัวก็จะเผาส่งให้ด้วยเช่นกัน
คนที่ได้รับคำสั่งจากหลินจ้งให้มาคอยติดตามนาง เมื่อเห็นนางเดินออกมา ก็ยังคงเดินโซเซไม่ปกติ นอกจากอารมณ์ดีแล้ว ก็ไม่มีอะไรติดตัวออกมา เลยรีบกลับไปรายงานให้หลินจ้ง
หลินจ้งฟังจบ ก็โบกมือให้เขาออกไป “ในเมื่อไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไม่ต้องไปสนใจนางแล้ว แต่ว่าท่านแม่ทางนั้น พวกเจ้าต้องคอยสังเกตตลอดเวลา”
ทหารตอบรับ แล้วออกไป
สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินกลับรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็พูดออกมาไม่ได้
ไม่มีใครมาห้าม หงเอ๋อร์ก็ออกจากจวนหลินได้อย่างราบรื่น ขึ้นรถม้ากลับจวน แล้วเอากระเป๋าที่ฮูหยินหลินฝากมา ให้กับหลินหันเยียนก่อน “คุณหนูเจ้าคะ หลังจากที่นายน้อยอ่านจดหมายของท่านจบ ก็โกรธจนฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ อันนี้ฮูหยินหลินให้ท่านมา บอกว่าในนี้เป็นสิ่งที่คุณหนูต้องการเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนรับมา คลำๆ ดู รู้สึกว่าข้างในจะเป็นผงยา เลยโล่งอก แล้วถามต่อว่า “ท่านแม่ยังบอกว่าอะไรอีกหรือไม่”
หงเอ๋อร์ก็เอาคำพูดที่ฮูหยินหลินพูดบอกให้กับนางอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
หลินหันเยียนฟังจบก็ขมวดคิ้ว ท่านแม่กับพระชายาฉีอีกทั้งกูกูผู้ดูแลไทเฮาทั้งสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันนั้นนางรู้ แต่จะว่าไป กูกูเป็นแค่สาวรับใช้แก่ในวังคนหนึ่ง จะช่วยอะไรได้ แล้วก็โบกมือ “รู้แล้วล่ะ เจ้าก็เหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้ไม่ต้องมาดูแลข้าแล้ว”
หงเอ๋อร์ก็กลับไปพักผ่อนอย่างน่าชื่นตาบาน
หลินหันเยียนเปิดกระเป๋าออก สอดมือเข้าไป หยิบห่อกระดาษออกมา กางออกมาที่มือ แล้วยิ้มมุมปากออกมาด้วยความดีใจ
หลายวันต่อมา หวงฝู่อวี้ไม่ได้กลับมาที่เรือนของตนเลย กลางวันก็ยุ่งอยู่กับกิจการการค้าของจวน ส่วนกลางคืนก็กลับไปนอนที่ห้องรับแขกตามเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ถามอะไร
หลินหันเยียนก็ไม่ได้ส่งคนไปสืบเสาะ นางไม่ออกไปไหน ไม่ส่งเสียงโวยวาย กลับมาเป็นคุณหนูที่สดใสตามเดิม
คนที่ดูแลอยู่ในเรือนต่างก็โล่งอก แต่หวงฝู่อวี้กลับรู้สึกแปลกๆ ยิ่งไม่อยากกลับเรือนของตนเองเข้าไปใหญ่ ในทุกวันจะกลับก็ต่อเมื่อปิดประตูจวนแล้วเท่านั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไปหาพระชายาฉี ปรึกษาเรื่องวันแต่งงานของทั้งสองคน “หลังจากนี้หนึ่งเดือน ฤดูใบไม้ผลิ อากาศแจ่มใส เป็นวันมงคลเหมาะแก่การแต่งงาน”
หลังจากที่หวงฝู่อวี้รู้ ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แล้วส่งคนไปบอกหลินหันเยียน
หลินหันเยียนดีใจเป็นอย่างมาก น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มไหลริน แล้วสั่งหงเอ๋อร์ว่า “เร็วเข้า รีบไปเชิญคุณชายรองกลับมาเร็วเข้า ให้คนครัวจัดสำรับเพิ่ม คืนนี้พวกเราจะมาฉลองกัน”
หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้ววิ่งไปที่หาหวงฝู่อวี้ที่ห้องรับแขก รายงานคำพูดที่หลินหันเยียนบอกกับเขา
วันแต่งงานได้ถูกกำหนดแล้ว ต่อจากนี้พวกเขาก็จะกลายเป็นสามีภรรยาจริงๆ แล้ว หวงฝู่อวี้ก็ดีใจ ลืมสิ้นความโศกเศร้าเมื่อหลายวันที่ผ่านมา บอกว่า “เจ้ากลับไปบอกคุณหนูของเจ้า อีกประเดี๋ยวข้าจะกลับไป”