ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็สามารถคลี่คลายคดีได้แล้ว วายร้ายอย่างหันกุยหรือหันเหยียงเหนียง แม้ว่าพวกเขาจะใช้สมองทำทุกวิถีทางไม่ให้ถูกจับได้ก็ตามแต่ก็ไม่สามารถหนีจากสายตาของฮ่องเต้ที่สามารถมองทะลุผ่านเมฆหมอกได้ เขาถูกลากออกมาจากกลุ่มคนสามพันคน เตรียมที่จะตัดหัวก่อนพิธีบวงสรวงสวรรค์ ต้องโทษลอบทำร้ายราชวงศ์ ทั้งที่เขาเป็นถึงหัวหน้ากรมมหาดไทยของฝ่ายคัดกรองด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนอวิ๋นเยี่ยเคยดื่มเหล้ากับชายเฒ่าผู้นี้อยู่สองสามหน ได้ชายเฒ่าผู้นี้ช่วยหาน้องเขยให้ตัวเอง เป็นคนดี ดื่มเหล้าเก่ง ตรงไปตรงมา เข้ากับคนง่าย หน้าที่การงานดี ชื่อเสียงใสสะอาด นอกจากการชอบจับผิดสีของทองคำก็ไม่มีข้อเสียอย่างอื่นอีก ตระกูลอวิ๋นมักจะกังวลเพราะแยกแยะทองคำบริสุทธิ์ไม่ออก ได้ยินว่าผู้คัดกรองหันมีทักษะในการคัดแยกทองคำ จะไม่ขอให้ช่วยได้อย่างไร มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอกับปรมาจารย์จึงได้บุกไปขอให้เหล่าหันช่วยคัดกรองทองคำอย่างอุกอาจ
แต่ว่าเหล่าหันนั้นงานยุ่งเสียจนหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่มีเวลาว่าง ในที่สุดเมื่อตอนที่อวิ๋นเยี่ยเกือบจะหันหลังกลับไปเขาถึงได้ยอมช่วยตระกูลอวิ๋นคัดแยกทองคำสองร้อยชั่งอย่างไม่ค่อยเต็มใจ เพียงแต่ว่างานยุ่งเป็นอย่างมากไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะคัดแยกทองคำเสร็จ ขอให้ตระกูลอวิ๋นอดทนรอเสียหน่อย มีการออกใบเสร็จสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ หากไม่ออกใบเสร็จก็อาจจะเกิดการโกงขึ้นได้
ในเมื่อเขาตกลงจะช่วย หากไปเร่งรัดก็คงจะดูไม่ดี ดังนั้นเกือบจะหนึ่งปีแล้วที่คนตระกูลอวิ๋นไม่เคยถามถึงเรื่องนี้ จนกระทั่งน้องเขยได้รับตำแหน่ง คนตระกูลหันจึงได้ส่งพ่อบ้านให้เอาทองคำสองร้อยชั่งมาคืนให้ตระกูลอวิ๋น
ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์ สามารถคัดแยกทองได้แม่นยำ อวิ๋นเยี่ยพอใจเป็นอย่างมาก วั่งไฉชอบทองที่ตระกูลหันส่งมา ฉวยโอกาสตอนที่อวิ๋นเยี่ยกำลังออกใบเสร็จให้พ่อบ้าน มันก็คาบทองคำไปทีละหนึ่งแท่ง คาบไปจนหมดไม่เหลือให้อวิ๋นเยี่ยเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นก่อนที่พ่อบ้านตระกูลหันจะจากไป เขาจึงตั้งใจหยิบเหรียญทองแดงจำนวนมากออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วยัดลงไปในกระเป๋าเงินของวั่งไฉพร้อมชมว่ามันเป็นม้าที่ดี
ตำแหน่งขุนนางกรมมหาดไทยฝ่ายคัดกรองเป็นตำแหน่งไร้สาระ แต่ก็เป็นตำแหน่งที่มีอัตราการเสี่ยงชีวิตสูงด้วย การที่อยู่ในตำแหน่งนี้ในเวลาห้าปีได้อย่างปลอดภัยถือเป็นข้อยกเว้นที่หาได้ยากสำหรับเหล่าหัน ชื่อเสียงด้านความซื่อสัตย์ของเขาทำให้เขาได้รับผลประโยชน์
ได้ยินเหล่าหันร้องตะโกนขอความชอบธรรม “ใจข้าหมายปราบโจร แต่เกินต้านลิขิตสวรรค์” จากนั้นก็ถูกเพชฌฆาตตัดหัวทันที ความโศกเศร้าบางๆ ได้เกิดขึ้นในใจของอวิ๋นเยี่ย ตัวเองยังมีน้องสาวอีกเจ็ดคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน ซึ่งหมายความว่ายังมีน้องเขยอีกเจ็ดคนที่มีแนวโน้มว่าจะให้เหล่าหันหาให้ ตอนนี้เขาช่างกล้าหาญและใจกว้างมาก ครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
หัวหน้าขุนนางฝ่ายคัดกรองคนต่อไปจะต้องเป็นคนใสสะอาดและซื่อสัตย์เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะเปิดเผยงานอดิเรกที่ไม่ชอบธรรมเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง แต่ว่าเดือนหน้ารุ่นเหนียงก็จะแต่งงานแล้ว นางบอกพี่อวิ๋นไว้นานแล้วว่าถ้าลูกคนที่สองของตระกูลฉินไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีตัวเองก็จะไปฟ้องร้องกับท่านย่า แล้วยังบอกอีกว่าชายรองตระกูลฉินเป็นลูกชายที่เกิดจากนางสนม ตระกูลฉินไม่ค่อยสนใจเขาเสียเท่าไหร่ หากไม่มีอนาคตที่ดีตัวเองจะต้องขาดใจตายแน่ๆ
ขณะที่กลุ้มใจอยู่ ยืนลูบคางอยู่ข้างๆ หลี่ไท่ไปพลางๆ เขามองดูภรรยาผู้พลีชีพเย็บศีรษะสามีอย่างสงบด้วยเข็มและด้าย จากนั้นก็เอาเสื่อม้วนแล้วมัดเชือกเตรียมจะลากกลับบ้านพร้อมกับลูกชายที่อายุไม่ถึงสิบสามปี…
“อวิ๋นเยี่ย เจ้าว่าข้าควรจะออกรับหรือไม่” หลี่ไท่หันไปถามอวิ๋นเยี่ย
“ภายใต้พิธีที่ยิ่งใหญ่นี้เจ้าและข้าก็เป็นเพียงแค่คนที่ไร้อำนาจ จะออกรับไปเพื่ออะไร การตายเช่นนี้สำหรับครอบครัวของหันกุยแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา ไม่ได้ยินที่เขาพึ่งจะตะโกนหรือว่า ‘ใจข้าหมายปราบโจร แต่เกินต้านลิขิตสวรรค์’ หมากที่เสด็จพ่อของเจ้าเอาไว้ใช้ผดุงอำนาจได้ขาดไปแล้วอีกหนึ่งตัว เจ้ากะจะทำให้หมากของเสด็จพ่อของเจ้าน้อยลงไปอีกหรือ”
“ชายชาติทหารไม่เคยบดบังชื่อเสียงของตัวเอง แค่นี้ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ หากข้าฆ่าคนนอกรีตผู้นั้น เสด็จพ่อจะทำอะไรข้าได้ ยึดตำแหน่งหรือ ขนาดโดนกักบริเวณข้ายังไม่สนใจ นับประสาอะไรกับตำแหน่ง”
หลี่ไท่ได้ใจเป็นอย่างมาก จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าตราบใดที่ตัวเองไม่สนใจเรื่องตำแหน่งหรือโดนกักบริเวณ เขาก็สามารถเบ่งในต้าถังได้ ตอนนี้ทำได้ ในอนาคตก็จะยิ่งเป็นไปมากกว่านี้เมื่อพี่ชายของเขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้
ขุนนางกรมพิธีกรรมกำลังตีฆ้องอยู่ที่นั่น จัดระเบียบขบวนเตรียมบวงสรวงสวรรค์ ใบหน้าหลี่หยวนชังปูดบวมจนดูไม่ได้แต่ก็ยังต้องมาเข้าร่วมพิธี เห็นใบหน้าที่น่ากลัวของเขา ท้ายทอยของอวิ๋นเยี่ยก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ไม่เคยคิดเลยว่าหัวคนจะบวมได้เท่านี้ เจ็ดแปดตุ่มบวมเป็นตุ่มใหญ่จนมันเงา น้ำเหลืองไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจากจุดดำที่อยู่ตรงกลางตุ่ม คาดว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลี่หยวนชังคงจะถูกทำลายไปหมดแล้ว ต่อมีพิษในเทือกเขาฉินหลิงเป็นสิ่งที่แม้แต่เสือก็ยังไม่กล้าไปยั่วโมโห เมื่อต่อรวมตัวกันแม้แต่หมีก็ยังถูกต่อยจนตาย ต่อพวกนี้ไม่ได้ผลิตน้ำผึ้งด้วยตัวเอง พวกมันเชี่ยวชาญในการขโมยน้ำผึ้งจากฝูงผึ้ง แม้แต่ผึ้งก็ยังเป็นอาหารของพวกมัน ดุร้ายไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ มันเป็นราชาที่ยิ่งใหญ่ในเทือกเขาฉินหลิง แต่แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหวงเชวี่ยมันก็กลายเป็นแมลงธรรมดาเท่านั้นเอง
ทุกคนพากันอยู่ห่างจากหลี่หยวนชังโดยไม่ได้ตั้งใจ อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นแม้กระทั่งปฎิกิริยาตอบสนองของร่างกายหลี่หยวนชัง เจ้านี่คงกำลังตกอยู่ในอาการมึนงงอย่างแน่นอน
เมฆก้อนเล็กๆ ลอยมาแต่ไกล บดบังดวงอาทิตย์ไปชั่วครู่ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พระเจ้าทำเรื่องดีๆ ในสองวันนี้ เมื่อมีก้อนเมฆ ลมก็เริ่มพัดบนภูเขา ชายที่แต่งตัวเป็นเทพสายลมโบกธงในมืออย่างมีความสุข ขุนนางกรมพิธีกรรมแต่งกายด้วยชุดบวงสรวงสวรรค์ ส่งเสียงท่องบทสวดแปลกๆ ที่อยู่ในมือควบคู่ไปกับการร่ายรำของนักบวชของสำนักเต๋า
ทูตจากต่างแดนใส่ชุดสีสันสดใสโห่ร้องและเริ่มการแสดงอยู่ด้านล่างเวที เห็นได้ชัดว่าได้มีการฝึกฝนจากกรมพิธีกรรมมาก่อนแล้ว ท่าทางพร้อมเพรียงกันเป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีคนงี่เง่าสองคนที่กระโดดผิดไปบ้าง อย่างเช่นเจี๋ยลี่ที่จะหันมามองหน้าหลี่ซื่อหมินทุกครั้งที่ตัวเองรำผิด อวิ๋นเยี่ยและหลี่ไท่ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังของหลี่ซื่อหมินจึงมองเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน
“อวิ๋นเยี่ย นี่คือฮ่องเต้ผู้ปราดเปรื่องที่ครอบครองฉ่าวหยวนมาแล้วยี่สิบปีใช่หรือไม่” หลี่ไท่ถามอวิ๋นเยี่ยอย่างดูถูก
“เดิมทีเขาเป็นคนที่มีความสามารถ ข้าเคยได้ยินตำนานมากมายเกี่ยวกับชายผู้นี้ในฉ่าวหยวน บอกว่าเขาสามารถยิงนกอินทรีแปดตัวได้ด้วยธนูดอกเดียว สามารถล้มวัวที่แข็งแกร่งที่สุดได้ด้วยมือเดียว กินวัวหนึ่งตัวได้ภายในมื้อเดียว หลังจากกินข้าวเสร็จก็ยังต้องมีลูกแพะสามตัวมาเป็นของหวาน แล้วยังสามารถหาดอกไม้ที่สวยงามที่สุดในฉ่าวหยวนมามอบให้แก่ผู้หญิงที่สวยที่สุดในเผ่า สามารถร้องเพลงได้ไพเราะกว่านกขมิ้น คนคนเดียวสามารถเลี้ยงวัวได้หนึ่งหมื่นตัว เมื่อยามว่างไม่มีอะไรทำก็จะไปต่อสู้กับปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในฉ่าวหยวน ปีศาจตัวหนึ่งถูกเขาโยนลงทะเลเหนือ จึงซ่อนตัวอยู่ไม่กล้ากลับออกมา ปีศาจอีกตัวหนึ่งถูกเขามัดไว้บนภูเขาสูง เมื่อคิดถึงปีศาจตัวนี้เขาก็จะไปที่ภูเขาแห่งนั้นเพื่ออัดมัน (อ้างอิงจากประวัติขององค์กษัตริย์เกซาร์)”
อวิ๋นเยี่ยกำลังคุยโม้บรรยายความยิ่งใหญ่ของหลี่ซื่อหมิน หลี่ไท่ที่กำลังฟังอยู่สูดลมหายใจอันเยือกเย็นพยายามที่จะหันหน้าหนี แต่ข้างๆ กลับมีหลี่หยวนชังที่หัวโตเท่าหัวหมูยืนอยู่จึงต้องหันหน้ากลับมา กัดฟันฝืนกลั้นไม่ให้ตัวเองอาเจียนออกมา
คนมีเหตุผลก็คือคนมีเหตุผล หลี่เต้าจงชอบหัวข้อสนทนานี้เป็นอย่างมาก พูดกับคนในราชวงศ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “สิ่งที่อวิ๋นโหวพูดอาจจะฟังดูแปลกๆ ไปบ้าง แต่นี่คือวิธีที่พวกเขาบรรยายถึงวีรบุรุษแห่งฉ่าวหยวน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มักจะถูกปรุงแต่งให้ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่รู้จบ ยิ่งข้าได้ยินก็ยิ่งรู้สึกขยะแขยง”
ราชวงศ์หนุ่มกล่าวต่อว่า “ท่านลุงที่เก้า ไม่ว่าเจี่ยลี่จะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ถูกพวกทหารจับได้ที่รังมาร์มอตไม่ใช่หรือ ไม่ถือว่าเป็นวีรบุรุษเสียเท่าไหร่ ดูท่าทางน่าสะอิดสะเอียนของเขาสิ หลังจากที่ข้ากลับจากเมืองหลวงข้าจะไปเล่นงานเขาเสียหน่อย ขนาดร่ายรำยังทำได้ไม่ดี อัปมงคลเสียจริง”
ในขณะที่ทุกคนกำลังเย้ยหยันพวกคนต่างชนเผ่าเหล่านั้นอยู่ ฉับพลันราชวงศ์หนุ่มสายตาเฉียบแหลมชี้ไปที่กลุ่มชนต่างเผ่าที่ยืนอยู่ข้างป่าแล้วถามหลี่เต้าจงว่า “ท่านลุงที่เก้า เหตุใดชนต่างเผ่าเหล่านั้นถึงไม่ลงไปร่ายรำ”
หลี่เต้าจงเหลือบมองแล้วพูดว่า “จะรีบไปไหน เดี๋ยวก็ได้ร่ายรำเป็นกลุ่มต่อไป หากไม่ร่ายรำตอนนี้ ในอนาคตพวกเขาก็จะต้องร่ายรำพร้อมกับใส่โซ่ตรวนไปด้วยอยู่ดี พวกเจ้าทั้งหลายจงตั้งใจฝึกซ้อม พวกเขาจะมาร้องเพลงและเต้นรำที่ต้าถังเร็วๆ นี้ ได้ยินมาว่ารำกลองของชาวเกาลี่นั้นเยี่ยมยอดมาก”
เวลาว่างมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดิมทีบนท้องฟ้ามีเมฆก้อนเล็กๆ เพียงก้อนเดียว แต่ได้กลายเป็นเมฆก้อนใหญ่ภายในเวลาไม่นานแล้วยังมีแนวโน้มจะมืดครึ้ม ขุนนางกรมพิธีกรรมรีบหยุดการร้องเพลงเต้นรำ เชิญให้ฮ่องเต้บวงสรวงสวรรค์ มิเช่นนั้นหากฝนตกลงมาก็จะบวงสรวงไม่ได้แล้ว
ในขณะที่หลี่ซื่อหมินกำลังคุยกับพระเจ้า อวิ๋นเยี่ยเอานิ้วแตะน้ำลายเพื่อตรวจสอบทิศทางลม หลี่เซี่ยวกงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ทำสิ่งเดียวกันกับเขา จากนั้นจึงพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไอ้หนุ่มฝนจะตกแล้ว พวกเราไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หญิงชราและเด็กอ่อนไม่อาจทนฝนได้ เจ้าพอจะมีวิธีที่ดีหรือไม่”
“หากแม้แต่นักพรตก็ยังไม่มีแผนรับมือ หลานคิดว่าควรจะไล่พวกเขาทั้งหมดกลับบ้านไปได้แล้ว คนหาเช้ากินค่ำพวกนี้อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์”
ไม่รู้ว่าขุนนางกรมพิธีกรรมเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ในหนังสือพิธีกรรมมีรูปแบบจัดตั้งพิธีกรรมอยู่นับไม่ถ้วน แต่กลับเลือกวิธีที่ขาดคุณธรรมที่สุด ค้นหารายงานจากกองเอกสารเก่าแล้วระดมความคิดของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ได้วิธีอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้มา ตอนที่หวงตี้ขึ้นปกครอง พวกชาวบ้านมีเสื้อผ้าใส่กันหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ แต่ก็ต้องเคารพการปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีเช่นนี้น่ะหรือ
เมื่อในชนเผ่าไม่มีอะไรจะกินจึงต้องพาครอบครัวย้ายถิ่นฐานเพื่อหาของกิน จริงอยู่นั่นเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ก็ใช่ว่าจะเอามาใช้กับชาวต้าถังได้ พวกเขาล้วนมีร่างกายบอบบาง การเดินทางห้าสิบลี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการหนีเอาตัวรอด และที่สำคัญคือทั้งหมดคือขุนนางผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เหล่านี้ พวกเขาเคยแต่นั่งรถม้าไม่เคยเดินเท้าขึ้นภูเขาด้วยตัวเองเช่นนี้มาก่อน
อยู่ๆ ในใจก็มีแรงฮึดขึ้นมา เคยมีฮ่องเต้ปัญญาอ่อนที่เคยทำสิ่งนี้นั่นก็คือท่าป๋าหง ฮ่องเต้เซียวเหวินผู้เด่นดังแห่งราชวงศ์เป่ยเว่ย เพื่อที่จะแย่งชิงอารยธรรมชาวจีน เขาโกหกพวกขุนนางบอกว่าตัวเองต้องการเดินทางไปที่จงหยวน แล้วก็หอบเอาข้าวของทั้งหมดมายังจงหยวน หลังจากที่ทุกคนเดินทางมาอย่างยากลำบากเขาก็บอกว่าเขาเหนื่อยมากแล้ว พวกเราเดินทางกลับไปไม่ได้แล้ว สร้างเมืองของเราที่นี่จะดีกว่า ดังนั้นชนเผ่าเซียนเป่ยจึงรวมเข้ากับชนเผ่าฮั่นอย่างรวดเร็ว หรือว่าพิธีการครั้งนี้คือการที่พวกหลี่ซื่อหมินกำลังระลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเขา มิเช่นนั้นการที่ฮ่องเต้บวงสรวงสวรรค์จะพาไท่ซั่งหวงมาด้วยเพราะเหตุใด
คนก็มักจะคิดไปเรื่อยเปื่อย ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย มังกรมีปีก ราชครูเรียกฝน เทพสายลม เทพเกราะทอง คนเหล่านั้นมองอย่างไรก็เหมือนกับการสุ่มหาใครมาเพื่อสร้างภาพ หากฮ่องเต้หวงตี้พึ่งคนโง่เหล่านี้เพื่อรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งเดียวก็คงโดนชือโหยวจัดการไปนานแล้ว คงไม่สามารถกลายเป็นบรรพบุรุษของจีนได้
น่าสงสัยเสียจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นจั่งซุนอู๋จี้หันมายิ้มให้อวิ๋นเยี่ย ในใจเขาก็ยิ่งมีความสงสัยเพิ่มมากขึ้นไปอีก คนผู้นี้รูปลักษณ์ดูน่าสงสัย แม้แต่ชื่อของเขาเองก็ยังน่าสงสัย