[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 19 เกิดดับไปพร้อมกับประเทศ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ยืนอยู่กับผู้เฒ่าเหยียนทำให้รู้สึกสบายขึ้นเยอะ ถึงแม้ว่าเขาจะมีผมไม่มาก ยืนทำตาหรี่ฟังหลี่ซื่อหมินอ่านคำบรวงสรวงแล้วส่ายหัวไปมาอยู่เป็นพักๆ แต่ว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้กลับได้ยินเสียงกรนเบาๆ ของชายเฒ่า 

 

 

“ท่านปู่ของข้ากำลังฟังคำกล่าวของฝ่าบาท อย่ารบกวนเขา” เสี่ยวเหยียนที่มีหนวดเต็มใบหน้าพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างระมัดระวัง 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่มาหาที่พึ่งไม่ได้จะมารบกวนชายเฒ่าที่กำลังหลับใหล เมื่อยืนอยู่ข้างๆ ชายเฒ่าก็รู้สึกสบายขึ้นมาก พึ่งจะบิดขี้เกียจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางที่ยาวนานในช่วงบ่าย ชายเฒ่าก็ลืมตาขึ้นมาแล้วยื่นมือไปที่อวิ๋นเยี่ย 

 

 

“เอามานี่ หนุ่มสาวสมัยนี้ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโสเอาเสียเลย เจ้ามีขาไก่อยู่ในแขนเสื้อก็ไม่รู้จักแบ่งปันให้คนเฒ่าคนแก่ ข้ากินโจ๊กมาแล้วสองมื้อ แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง” 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเอาขาไก่ออกมาอย่างงงๆ ประคองสองมือยื่นให้ชายเฒ่าแล้วถามเบาๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสท่านได้กลิ่นด้วยหรือ” ความไวของอวัยวะต่างๆ จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้นไม่ใช่หรือ ทำไมเขาจึงได้จมูกไวเช่นนี้ 

 

 

ชายเฒ่าเอาน่องไก่มาไว้ใต้จมูกเพื่อดมกลิ่น ทำท่าเคี้ยวปากสองที พูดอย่างเสียดายว่า “ข้าแก่แล้ว ไม่ได้กลิ่นหรอก คิดถึงเมื่อก่อน ขาไก่เช่นนี้ข้าสามารถกินได้แปดขาในมื้อเดียว ตอนนี้เพียงแค่ได้ดมก็พอใจแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ” พูดจบก็เอาขาไก่ใส่เข้าไปในแขนเสื้อ ตบสองทีเพราะรู้สึกว่ามีอะไรตุงออกมา หลับตาลงอีกครั้งและชื่นชมไปกับคำกล่าวของฮ่องเต้ต่อ 

 

 

เทพสายลมแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ธงโบกพัดไปทั่วตามแรงลม เมฆดำแทบจะกดทับบนหัวของพวกเขาแล้ว ไม่มีใครหวั่นไหว แม้แต่เด็กๆ ก็ตั้งใจฟังพระประสงค์ของฮ่องเต้ 

 

 

แรงลมได้พัดพาเสียงของขุนนางกรมมหาดไทยไป แต่ไม่อาจพัดตัวอักษรที่เขียนบนกระดานไม้ใหญ่ไปได้ ประการแรกคือราชวงศ์ ต่อมาคือองค์ชายและขุนนาง เฉิงเหย่าจินเป็นผู้ปกครองเมืองหลู่กัว หนิวจิ้นตาปกครองเขต อวิ๋นเยี่ยเป็นท่านโหวตลอดกาลของเขตหลานเถียน ไม่รู้ว่าเหอเซ่าไปอาศัยบารมีใครแต่ก็ยังไม่ถูกปลดออกจากตำแหน่งขุนนาง ฉินฉยงก็ยังเป็นเจ้าเมืองอี้กั๋วเหมือนเดิม ตำแหน่งผู้ปกครองเมืองเอ้อกั๋วของอวี้ฉือกงยังเหมือนเดิมแต่ได้เพิ่มตำแหน่งแม่ทัพหลวง  

 

 

คนที่มีรายชื่อดังกล่าวต่างพากันยินดี เฉลิมฉลองให้กันและกัน เพราะว่านี่เป็นรางวัลในช่วงพิธีใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้ไปใครทำผิดแล้วใช่ว่าจะไม่โดนยึดตำแหน่ง นี่คือการปลอบใจขุนนางที่ถูกแต่งตั้งใหม่ของหลี่ซื่อหมิน 

 

 

เมื่อขุนนางกรมมหาดไทยเขียนคำสุดท้ายเสร็จสิ้น ขณะกำลังจะเดินหันหลังออกไปก็มีเสียงร้องอยู่ใต้กระดานไม้… 

 

 

“ฝ่าบาท เป็นเช่นนี้ได้เช่นไร กระหม่อมรับใช้ต้าถังมาหลายปี ท่านทำกับกระหม่อมเช่นนี้ได้เช่นไร” 

 

 

“ไท่ซั่งหวง ท่านพูดอะไรสักอย่างสิ ท่านเป็นคนบอกว่าจะมอบตำแหน่งขุนนางให้กระหม่อม ตอนนี้กลับไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว กระหม่อมไม่ได้ทำอะไรผิด กระหม่อมไม่ผิด ไท่ซังหวงท่านพูดอะไรสักอย่างสิ ตอนนั้นที่ท่านยกทัพ ตระกูลกระหม่อมก็ประหยัดเงินเพื่อเพิ่มทรัพยากรทางทหาร ตอนนี้แม้แต่ตำแหน่งขุนนางท่านก็ให้กระหม่อมไม่ได้หรือ” 

 

 

“ฝ่าบาท หลิวเหวินจิ้งเป็นผู้กระทำความผิดเหตุใดจึงได้รับการแต่งตั้ง ตระกูลของกระหม่อมต้องโทษอันใดจึงต้องโดนคนที่กำลังจะตายกดขี่ข่มเหง…” 

 

 

พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาเจ็ดปีในสมัยรัชศกเจินกวนเต็มไปด้วยเสียงไชโยและเสียงร้องไห้ ในที่สุดก็ได้เริ่มยุคใหม่ หลี่ซื่อหมิน ฮ่องเต้แห่งต้าถังได้ใช้อำนาจเพื่อขจัดความแย้งทั้งหมดของโลกใบนี้ ใช้ประโยชน์จากพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพื่อกำจัดการติดต่อจากอำนาจภายนอก กำหนดราชวงศ์ใหม่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว คนเก่าแก่ในสมัยของหลี่หยวน ขุนนางบางคนที่ต้องประนีประนอมชั่วคราวล้วนอยู่ในการกวาดล้างครั้งใหญ่นี้ ทั้งหมดถอนตัวจากเวทีแห่งประวัติศาสตร์โดยสิ้นเชิง เพราะว่ายังมีภรรยาและลูกที่ต้องดูแล บรรดาขุนนางในอดีตเหล่านั้นจึงต้องก้มหัวเพื่อกลืนผลไม้รสขมเช่นนี้ 

 

 

ตำแหน่งรัชทายาทของหลี่เฉิงเฉียนได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางสายลมพัดกระหน่ำ คำประกาศเจตจำนงของโลกได้ถูกลมพัดพาไปเป็นเวลาเก้าวัน เขาได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้ใส่ชุดคลุมห้ามังกร 

 

 

ตำแหน่งเว่ยอ๋องของหลี่ไท่ไม่ได้อ่อนแอลงแต่กลับแข็งแกร่งขึ้น ซ้ำยังได้ประจำที่ตำหนักอู่เต๋อในฐานะองค์ชาย ฮ่องเต้ได้อนุญาตให้สละตำแหน่งทางการด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังเพิ่มเจ้าหน้าที่ผู้ว่าการเมืองฟูโจว อีกทั้งผู้ว่าการของเมืองทั้งห้าอย่างเมืองเซี่ย เมืองเซิ่ง เมืองเป๋ยฝู่ เมืองเป่ยหนิง และเมืองเป่ยไค เจ้าหน้าที่ที่เหลือยังคงเหมือนเดิม 

 

 

หลังจากที่หลี่ไท่และหลี่เฉิงเฉียนกอดกันเพื่อแสดงความยินดีซึ่งกันและกันแล้ว พวกเขาได้เรียกร้องให้ไท่ซั่งหวงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองหลวง และประกาศว่าฮ่องเต้ควรรับช่วงต่อทุกเรื่องในศักดินา 

 

 

ภายใต้ความดีใจทั้งหมด จั่งซุนเดินออกมาจากหลังม่านโดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องมารยาท กอดลูกชายของตัวเองทั้งสองคน เพียงชั่วครู่คำว่ามิตรภาพของพี่น้องก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว ดูเหมือนว่าคำสาปแช่งของหลี่หยวนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธในตอนนั้นจะถูกดับไปหมดสิ้นแล้ว “หากลูกชายของข้าฆ่ากันเอง ลูกชายของเจ้าก็จะเลือดไหลดั่งสายน้ำเช่นกัน” คำสาปแช่งที่ชั่วร้ายนี้กระจายไปตามลมและดินพร้อมกับเลือดที่หลี่หยวนพ่นออกมา จากนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรให้ได้ยินอีก 

 

 

หลี่เค่อและองค์ชายองค์อื่นๆ ต่างก็ได้รับรางวัลมากมายเช่นกัน หลี่เค่อได้รับคำสัญญาว่าไม่ต้องรับราชการ หลี่เค่อที่ไม่ได้สนใจรางวัลอื่นๆ แต่กลับรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมากที่ไม่ต้องรับราชการ ให้อวิ๋นเยี่ยหยิกเขาหลายๆ ครั้งเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดพลาด 

 

 

เรื่องการแต่งตั้งของพวกองค์ชายไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นเยี่ยเลย แต่ขุนนางกระทรวงมหาดไทยเอาแต่อ่านคำว่า ‘ท่านโหวแห่งเขตหลานเถียน’ อีกครั้ง หากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าคนรุ่นต่อไปของตระกูลอวิ๋นก็จะเหลือแค่ตำแหน่งนี้เท่านั้น ความหวังที่อยากจะเป็นท่านชายของอวิ๋นเยี่ยได้ดับสลายลง ถามหลี่เค่อด้วยความเซ็งว่า “ต่อให้ข้าอายุแปดสิบก็เป็นได้แค่ท่านโหวหรือ” 

 

 

หลี่เค่อพยักหน้าอย่างมีความสุขเพื่อแสดงความยินดีกับอวิ๋นเยี่ย บอกว่าตำแหน่งนี้ดีกว่าตำแหน่งองค์ชายธรรมดาเสียอีก ได้เกิดดับไปพร้อมประเทศเลยเชียวนะ 

 

 

“เด็กคนนี้ช่างไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย ยังไม่รีบเข้าไปขอบคุณความกรุณาของฝ่าบาทอีก” เฉิงเหย่าจินทำท่าทางดูมีเมตตา และหนิวจิ้นต๋าพากันบอกให้เขาเข้าไปขอบคุณฝ่าบาท 

 

 

“ข้าต้องเป็นท่านโหวไปตลอดชีวิต มีอะไรน่ายินดีด้วยหรือ” 

 

 

“ตำแหน่งท่านโหวอาจจะไม่มีอะไรน่ายินดี แต่การที่ได้เกิดดับไปพร้อมกับประเทศถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าลูกหลานของเจ้าจะไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่อนาคตก็จะมีตำแหน่งที่มั่นคงอย่างท่านโหวเขตหลานเถียน นับแต่นี้ต่อไปตำแหน่งนี้ก็เป็นของตระกูลเจ้าแล้ว พวกข้าได้เป็นดยุค ทุกรุ่นจะถูกลดระดับหนึ่งขั้น แต่ตำแหน่งของตระกูลเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ แค่ไม่ก่อกบฏก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ต่อให้ก่อกบฏก็ยังมีโอกาสในการขออภัยโทษ หากนี่ไม่ใช่รางวัลใหญ่จะเรียกว่าอะไรได้อีก เป็นตำแหน่งที่ยากจะได้รับ” 

 

 

เดินเข้าไปในห้องอย่างไม่เต็มใจ หลี่ซื่อหมินและจั่งซุนนั่งอยู่ด้านบนเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ปั้นด้วยดินเหนียวสององค์ที่กำลังรอรับการขอบคุณจากทุกคน ในขณะเดียวกันก็มีคำขอบคุณอย่างสุดซึ้งด้วยความจงรักภักดี อวิ๋นเยี่ยยืนหลบอยู่มุมห้องรอให้ผู้อื่นบูชาพระโพธิสัตว์จนเสร็จ ตัวเองเตรียมที่จะเดินก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับ จากนั้นก็ถอยออกมาหนีเข้าไปในฝูงชน 

 

 

“อวิ๋นเยี่ยอยู่ก่อน เรามีเรื่องจะพูดด้วย” เมื่อได้ยินคำนี้อวิ๋นเยี่ยจึงได้เพียงอยู่ต่อเพื่อรอฟังหลี่ซื่อหมินพูด 

 

 

“อวิ๋นโหว เราขอให้ตระกูลอวิ๋นของเจ้ารุ่งเรืองไปทุกยุคสมัย ลูกหลานมีอนาคตที่ดี ตระกูลคงอยู่ตลอดไป” หลี่ซื่อหมินยังไม่ได้พูดอะไรจั่งซุนก็พูดขึ้นมาก่อน คำพูดของจั่งซุนทำเอาอวิ๋นเยี่ยตกใจ ประโยคนี้ฟังดูแปลกๆ เหมือนไม่ใช่คำยินดีปกติทั่วไป 

 

 

“ฮองเฮากล่าวเกินไปแล้ว ตระกูลอวิ๋นคงรับไว้ไม่ได้ขอรับ” 

 

 

“แน่นอนว่าหากเป็นเมื่อก่อนคงรับไว้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เจ้าคิดว่าการที่ให้เจ้าเกิดดับไปพร้อมกับประเทศฝ่าบาทรับสั่งผิดไปอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“เดิมทีข้ากะว่าเมื่อผ่านไปสักสองสามปีอายุมากขึ้นแล้วก็อยากจะเป็นทำผลงานเพื่อขึ้นเป็นท่านชาย” สำหรับจั่งซุนแล้วอวิ๋นเยี่ยมีอะไรก็มักจะพูดมาตรงๆ ในใจคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น จะได้เข้าใจได้ทั้งสองฝ่าย เพื่อไม่ให้เกินการเดาความผิด 

 

 

“เจ้าไม่รู้หรือว่าการเกิดดับไปพร้อมกับประเทศหมายความว่าอย่างไร” หลี่ซื่อหมินถามด้วยความประหลาดใจ 

 

 

“ก็เพราะว่ารู้จึงไม่อยากจะยินยอมเสียเท่าไหร่ ในภายหลังตระกูลอวิ๋นคงยากที่จะมีทายาทที่โดดเด่นสักหนึ่งหรือสองคน” เขารู้ได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ 

 

 

“เจ้าพูดประโยคนี้ได้จริงใจเป็นอย่างมาก ความกังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติสามารถทำให้ราษฎรและประเทศอยู่รอดได้ การเพลิดเพลินอยู่กับความสบายใจอาจทำให้ราษฎรและประเทศต้องพังพินาศ คิดไม่ถึงว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าจะปฏิบัติตามอย่างง่ายดาย แต่ว่าไอ้หนุ่ม เจ้าคิดว่าตระกูลอวิ๋นของเจ้าจะได้เปรียบคนทั้งโลกอย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นเพียงแค่คนเดียวที่ได้ครอบครองโชคห้าร้อยปีของตระกูลอวิ๋น ความศักดิ์สิทธิ์ของฟ้าดินนั้นจำกัด หากเจ้ามีมากหนึ่งส่วน ลูกหลานตระกูลอวิ๋นก็จะน้อยไปหนึ่งส่วน อย่าใช้โชคสามชั่วอายุคนหมดภายในรุ่นเดียว นี่คือค่าเฉลี่ยความโชคดีที่ลัทธิขงจื๊ออธิบายไว้ ไอ้หนุ่ม หากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองนับบุคคลที่มีความสามารถเหลือเชื่อในหนังสือประวัติศาสตร์แล้วดูลูกหลานของพวกเขา เจ้าก็จะเข้าใจเองว่าสิ่งที่เราพูดนั้นคือเรื่องจริง เราตั้งใจที่จะมอบความมั่งคั่งให้แก่ตระกูลอวิ๋นไปอีกชั่วอายุคนเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับสิ่งที่เจ้าได้ทำเพื่อราชวงศ์ เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ 

 

 

เราดูแล้วในตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นดยุคแล้ว หลิ่งหนาน เหอเป่ย ฉางอัน ทั้งหมดสามเมืองนี้เพียงพอที่จะทำให้เจ้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งกั๋วกง เช่นนั้นหลังจากนี้หากเจ้าทำผลงานสำเร็จแล้วจะให้ข้าให้รางวัลเจ้าอย่างไร แต่ตั้งเป็นองค์ชายหรือ เราไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะแต่งตั้งองค์ชายต่างแซ่ หากแต่งตั้งแล้วคนผู้นี้อย่างน้อยจะต้องมีอายุพอๆ กับเหยียนจือทุยจึงจะไม่มีปัญหาในอนาคต เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการเช่นนี้ 

 

 

ไอ้หนุ่ม ได้เป็นท่านโหวก็ดีมากแล้ว ตอนนี้ทำผลงานไว้มากๆ ก็ไม่มีปัญหาในอนาคต ทั้งหมดก็เพื่อเป็นการสะสมโชคให้ลูกหลาน ถึงแม้ว่าในอนาคตลูกหลานรุ่นต่อไปของเจ้าจะเป็นคนโง่เขลา แต่ก็จะร่ำรวยไปทั้งชาติ มีความสุขอยู่ภายใต้ร่มเงาของเจ้า หากฟังเข้าใจแล้วก็รีบไสหัวออกไป ในเมื่อวันนี้เราพูดเช่นนี้ออกไป ไอ้หนุ่ม เจ้าจำไว้ คำพูดเช่นนี้นอกจากฮองเฮาแล้วข้าก็ไม่เคยพูดกับใคร เจ้าเข้าใจหรือไม่” 

 

 

บนหัวเต็มไปด้วยดาววิ่งวนไปมา อวิ๋นเยี่ยกำลังจะเดินออกไป จั่งซุนก็ได้พูดขึ้นมาว่า “อวิ๋นเยี่ย พิษในตัวของหลี่หยวนชังได้กำเริบขึ้น ตาทั้งสองข้างมืดบอด หมอบอกว่าต่อให้รักษาหายก็จะกลายเป็นสัตว์ประหลาด ใบหน้าจะเสียโฉมตลอดไป ทำได้เพียงแค่หายใจเท่านั้น ฝ่าบาทปลดเขาออกจากตำแหน่งฮั่นอ๋อง อนุญาตให้เขารักษาตัวในเมืองหลวง ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาใครเป็นคนทำ” 

 

 

“ฝ่าบาทจัดการได้ดีมาก คนทำก็คือหันกุย หันเหยียนเหนียน นอกจากเขาก็เป็นใครไปไม่ได้แล้ว” หลี่ไท่เองยังไม่ได้พูดออกมา ให้ตายอย่างไรอวิ๋นเยี่ยก็จะไม่บอกบอกฮองเฮาในตอนนี้ 

 

 

หลี่ซื่อหมินยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าเราไม่ได้จัดการผิดพลาด เจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน” 

 

 

“กระหม่อมรู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ฝ่าบาทจัดการนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีวิธีไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว สมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก” อวิ๋นเยี่ยก้มหัวลงเอาเท้าบดขยี้ หากหลี่ซื่อหมินจัดการลูกตัวเองนี่สิจึงจะแปลก ดังนั้นจึงตอบกลับไปอย่างหนักแน่น 

 

 

จั่งซุนทำสายตาเอือมระอา เหมือนว่าจู่ๆ ก็นึกอะไรออกบางอย่างจึงพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “หม่อมฉันคิดว่าการจัดการของท่านไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม การทำเช่นนี้นั้นดีที่สุดแล้ว” 

 

 

หลี่ซื่อหมินและฮองเฮามองตาแล้วพยักหน้าพร้อมกัน ไม่มีอะไรจะถามอวิ๋นเยี่ยอีกจึงให้ขุนนางกรมพิธีกรรมส่งอวิ๋นเยี่ยออกไป 

 

 

พึ่งจะออกมาจากห้องของหลี่ซื่อหมิน อวิ๋นเยี่ยก็เห็นวั่งไฉกำลังวิ่งวนไปมารอบตัวซินเย่ว พ่อบ้านเฉียนพาคนใช้กลุ่มใหญ่จูงรถม้ามารออยู่ที่นอกกระโจม ไม่ได้ระบุว่าชนชั้นล่างไม่ได้ถูกอนุญาตให้มาในระหว่างพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ ทำไมคนรับใช้ของแต่ละตระกูลจึงได้จูงรถม้ามาถึงที่นี่ได้ 

 

 

มองดูไม้กระดานที่ขยับไปมาท่ามกลางสายลมสักพักหนึ่ง อวิ๋นเยี่ยจึงได้เข้าใจทุกอย่าง หลี่ซื่อหมินไม่ได้กำลังระลึกถึงท่าป๋าหง แล้วก็ไม่ได้กำลังระลึกถึงฮ่องเต้หวงตี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือผลประโยชน์ที่แท้จริง