[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 20 งานเลี้ยงบนแม่น้ำชวีเจียง (หนึ่ง)

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เสร็จสิ้น ที่เหลือคือช่วงเวลาฉายเดี่ยวของหลี่ซื่อหมิน เมื่อบวงสรวงสวรรค์เสร็จแล้วก็ต้องบวงสรวงบรรพบุรุษ เมื่อบวงสรวงบรรพบุรุษเสร็จก็ต้องบวงสรวงวิญญาณเหล่าทหารกล้าที่ตายในสนามรบ 

 

บรรดาพระภิกษุได้สร้างวัดสวยงามที่ริมฝั่งแม่น้ำชวีเจียง พระมหาเถระจากทั่วทุกสารทิศมารวมกันที่นี่เพื่อสักการะวิญญาณของผู้ตายด้วยควันธูป 

 

บรรดาสตรีและนักปราชญ์แต่งกายสวยงามที่ในวันธรรมดามักจะเขียนกลอนเฉลิมฉลองที่ริมฝั่งแม่น้ำชวีเจียงกลับไม่พบเห็นแล้ว เหลือเพียงแค่มหาสมุทรสีแดง เสียงพระสวดดังกังวาน ข้าวห้าสีถูกเทลงในน้ำเหมือนของไม่มีคุณค่า ปลาคาร์ฟอวบอ้วนในแม่น้ำชวีเจียงได้กลายเป็นแขกมากินเมล็ดข้าว 

 

“เงินสิบล้านเหรียญได้ถูกส่งออกไปยังดินแดนอันไกลโพ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าวิญญาณของผู้ตายนั้นไปสู่สุคติหรือไม่” จั่งซุนเก็บพัดแล้วชี้ไปที่วัดต้าสืออัน ดื่มเหล้าในจอกจนหมดแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “หากวิญญาณเหล่าทหารที่อยู่ภายใต้คำสั่งของข้าได้รับการปลดปล่อย ข้าคุกเข่าสักสามวันสามคืนจะเป็นไรไป” 

 

ขาของหลี่ไท่มีปัญหาเล็กน้อยเพราะปู่ของเขาเป็นคนตีเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่น วันนี้ได้ยินมาว่าจั่งซุนชงกำลังจัดงานเลี้ยงที่แม่น้ำชวีเจียง ต่อให้เจ็บจนเดินไม่ได้ก็ต้องมา งานเลี้ยงนี้มีชื่อเรียกว่างานเลี้ยงวีรบุรุษวัยเยาว์ อย่างไรตัวเองก็ถือว่าเป็นวีรบุรุษหนุ่ม ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มา 

 

เจ้าภาพงานเลี้ยงคือหลี่เฉิงเฉียน ความจริงแล้วจั่งซุนชงเป็นเพียงแค่คนส่งบัตรเชิญ องค์รัชทายาทไม่สะดวกเชิญคนไปงานเลี้ยงได้อย่างโจ่งแจ้งจึงต้องยืมชื่อของจั่งซุนชงนั่นเอง 

 

องค์ชายและขุนนางต่างมาถึงกันแล้ว อวิ๋นเยี่ยได้ยินมาว่ามีเพลงร่ายรำที่สุดยอด งานเลี้ยงสุดหรู สาวงามที่ไม่ใส่เสื้อผ้ากำลังหยอกล้ออยู่กับเฉิงฉู่มั่วในขณะเดินขึ้นเรือ 

 

“สหายหวยเหริน สีหน้าดูเบิกบานเช่นนี้ หรือว่าเป็นพรที่ได้รับจากพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์” ในรายชื่อแก้แค้นของหลี่ไท่ไม่มีรายชื่อหลี่หวยเหรินอยู่ในนั้น แต่ว่าเกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อย มีต่อตัวหนึ่งไม่ได้ตามไล่ล่าหลี่หยวนชัง แต่มันกลับไปทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของเขา จนถึงวันนี้ใบหน้าของเขาข้างหนึ่งยังคงปูดบวม 

 

“โชคร้ายเสียจริง ข้าต้องมาโดนลูกหลงไปด้วย เมื่อวานข้าไปที่บ้านหันกุยกะจะทุบทำลายข้าวของเพื่อระบายความโกรธ เมื่อไปถึงจึงได้พบว่าสาวใช้ของเขาหนีไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่แม่ที่แก่เฒ่า เมียและลูกเล็ก ข้าจึงทำลายข้าวของไม่ลง จึงใช้ค้อนทุบรูปปั้นสิงโตที่เฝ้าอยู่หน้าบ้านเขาแล้วก็กลับไป ตอนนี้ข้าขอเปลี่ยนใจได้หรือไม่” 

 

อวิ๋นเยี่ยยกนิ้วโป้งเป็นการชื่นชม ผู้หญิงตระกูลหันเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ช่วงนี้ก็อยู่แต่ในบ้านเพื่อรอให้ศัตรูในอดีตมาแก้แค้นจึงตั้งใจเนรเทศคนรับใช้ออกไปทั้งหมด เมื่อศัตรูมาถึงก็พาทั้งครอบครัวออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม ยอมให้ตีให้ด่าโดยไม่ตอบโต้ ต่อให้ทุบแผ่นป้ายของบรรพบุรุษก็ไม่ชักสีหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ตราบใดที่ไม่มีความเกลียดชังจนถึงขั้นฆ่าพ่อฆ่าแม่ เขาก็จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ปล่อยความขัดแย้งในอดีตผ่านไป เพื่อให้ลูกหลานของตัวเองออกจากวนเวียนนี้ 

 

อย่างเช่นคนที่ติดกับอย่างหลี่หวยเหริน หากพูดไปตามเหตุที่เกิดขึ้นแล้วเขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หากต่อสองตัวไล่ต่อยเขาก็ถึงขั้นเอาชีวิตเขาไปได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเมื่อผู้หญิงคนนั้นแสดงความน่าสงสารเขาก็ทุบเพียงแค่สิงโตหินแล้วก็กลับ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก นับจากนี้ตระกูลหันคงยังมีความหวังอยู่บ้าง 

 

“ชิงเชวี่ย ทำไมเส้นทางเดินของเจ้าจึงได้ลำบากเช่นนี้ หรือว่าเจ้ามีบางอย่างที่ไม่อาจพูดได้” อวิ๋นเยี่ยตีไปที่ก้นหลี่ไท่เพื่อปัดดอกหญ้าที่ติดก้นของเขาออกให้ด้วยความหวังดี เมื่อได้ยินเสียงเขาร้องเพราะความเจ็บปวด ในใจก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก 

 

“เจ้าช่วยใจกว้างสักหน่อยไม่ได้หรือไง เสียเปรียบแค่เล็กน้อยก็ยังจะเอาความ” หลี่เฉิงเฉียนเข้าไปพยุงน้องชายของเขาพาไปนั่งที่เบาะรองนั่งแล้วหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ย 

 

หลี่เค่อที่กำลังดื่มชาได้พูดกับหลี่เฉิงเฉียนว่า “พี่ใหญ่ มันมีเหตุผลอยู่ในนั้น ที่ก้นเป็นแผลก็เพราะเขาหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นเคราะห์กรรมในวันนี้เราสองคนต้องโดนเสด็จพ่อสั่งสอนทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย คุกเข่าที่ตำหนักฉางชุนมาสองชั่วโมง เจ้าไม่เจ็บเข่าหรือ ทำไมข้ายังรู้สึกปวดร้าวอยู่เลย ก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น โชคร้ายก็โชคร้ายไปไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว แต่ปัญหาก็คือคนที่ได้รับโทษมากที่สุดเกร็งว่าจะเป็นตัวอวิ๋นเยี่ยเอง หากไม่ใช่เพราะคืนนั้นเขากำลังเดิมพันอยู่กับไท่ซั่งหวง ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ล้างให้บริสุทธิ์ไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็ไม่แปลกถ้าเขาจะระบายความโกรธ เจ้าดูสิ ข้าไม่เห็นจะแปลกใจเลยสักนิด” 

 

สองสหายคุยกันเสียงเบา ไม่ได้ไปรบกวนพวกเหล่าขุนนางที่กำลังถือจอกเหล้าหรือจอกชาอยู่ บนฝั่งมีชายหัวล้านมากมาย แค่มองเห็นก็รู้สึกตลก ใครจะไปสนใจฟังเสียงกระซิบของคนอื่นกัน 

 

“พระภิกษุผู้นั้นดูแปลกเสียจริง มีรอยยุบอยู่ด้านบนหน้าผาก หรือว่าเขาจะโดนค้อนขนาดใหญ่ทุบแต่กลับยังไม่ตาย พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ นับถือ นับถือ” 

 

“เจ้าเห็นผู้ชายพายเรือบนฝั่งผู้นั้นหรือไม่ พระเจ้า นั่นมันเรือเหล็ก พายเรือบนบกไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาใช้สองเท้าเดินไม่ได้หรืออย่างไร ทำไมต้องพายเรือบนบก” 

 

“อย่าพูดอะไรงี่เง่า นั่นคือนักพรต ว่ากันว่าการทรมานร่างกายจะทำให้ตรัสรู้ได้ ธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปคือ หากหน้าผากบุบลงไปเรียกได้ว่าเป็นพระภิกษุผู้สำเร็จแล้ว จะลบหลู่ไม่ได้” 

 

เหล่าลูกเศรษฐีไม่ปล่อยไปแม้กระทั่งเรือเล็กๆ ที่แล่นผ่านเรือของพวกเขา พากันโยนเม็ดผลไม้ พุทรา ผลไม้แห้ง ผลไม้แช่บ๊วยลงไปไม่หยุด พระภิกษุเหล่านั้นสมกับเป็นพระภิกษุชั้นสูง พวกเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ทำตัวเหมือนทนรับกรรม แต่ความเศร้าบนใบหน้าเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ 

 

ฐานะของพุทธศาสนาไม่ดีเท่าไหร่ เมื่ออยู่ในหลี่ถังพวกเขาต้องพบเจอกับการถูกปราบปรามอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน กว่าจะรอให้มีแสงแห่งความหวังอันริบหรี่ขึ้นมานั้นไม่ง่ายเลย แต่กลับถูกชื่อเสียงของซุนซือเหมี่ยวผู้เป็นที่รักของราษฎรทำลายจนหมดสิ้น ไต้ซือเสวียนจั้งก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ การทำพิธีบูชาครั้งนี้ถือเป็นการแสดงความสามารถของพวกเขา พระภิกษุผู้มีชื่อเสียงทั้งหมดในต้าถังได้พากันหลั่งไหลเข้าสู่เมืองฉางอันเพื่อทำหน้าที่บูชาพระสูตร 

 

การมีพระภิกษุเฒ่าเยอะแยะมากมายย่อมเป็นทุกข์ของพุทธศาสนา เพราะแสดงให้เห็นว่าไม่มีผู้สืบทอดต่อไป ต้าถังเข้มงวดเป็นอย่างมากในการออกใบรับรองให้แก่พระภิกษุ การโกนหัวเป็นการส่วนตัวถือเป็นโทษร้ายแรง ทางราชการอยากได้ทรัพย์สมบัติของวัดมาเป็นของตัวเองมานานแล้ว ขอเพียงแค่ฝ่าฝืนคำสั่งก็จะรีบบุกรุกอย่างรุนแรง บางทีก็จ้างคนให้แกล้งเป็นคนตกทุกข์ได้ยากมาขอบวชอยู่ที่วัด เจ้าอาวาสอดเห็นใจไม่ได้จึงได้โกนหัวให้จากนั้นค่อยไปขอใบรับรอง แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อทางการมา คนที่ขอให้โกนหัวก็รีบร้องขอความช่วยเหลือทันทีบอกว่าทางวัดบังคับให้บวช จุดจบไม่ต้องบอกก็รู้ พระภิกษุเหล่านั้นได้รับมอบหมายให้ทำงานอย่างหนักในเหมืองแร่ ข้างในนั้นไม่ขาดแคลนพระเกจิ หากเริ่มทำการขัดขืนก็จะไม่มีทางรอดอีกต่อไป 

 

จั่งซุนชงรู้สึกเศร้าอยู่พักหนึ่งก่อนจะถูกดึงดูดจากกลุ่มผู้หญิงที่เหอเซ่าพามา โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนที่มีดาบยาวและแต่งกายดูแข็งแรงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ท่านน้ากงซุนเข้าวังแล้วคงไม่ได้เห็นนางอีกแล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เอานางไปซ่อนไว้ส่วนไหนของวัง 

 

เหอเซ่าพึ่งจะพูดไปได้สองประโยคก็เห็นชายหนุ่มที่สวมมงกุฎสีม่วงทองชี้ไปที่ประตูด้วยความโกรธเคืองเป็นการไล่เขาออกไป เขาคือไฉหลิ่งอู่ ลูกชายคนโตขององค์หญิงผิงหยาง ไฉหลิ่งอู่มักจะยึดถือในยศถาบรรดาศักดิ์เป็นอย่างมาก เหอเซ่าเดินตามเส้นทางของตระกูล เขาจึงได้รักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ ดังนั้นการที่ได้เห็นเหอเซ่าในงานเลี้ยงกลุ่มวีรบุรุษก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ 

 

เหอเซ่าที่ผ่านโลกมามากไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย ก้มหัวแล้วพูดว่า “ท่านชาย ข้าเพียงแค่มาส่งนางรำให้แก่เหล่าขุนนางทั้งหลาย ไม่ได้จะอยู่นาน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย” 

 

พูดจบก็หันหลังแล้วเดินออกจากประตูไป พึ่งจะก้าวออกมาจากประตูก็เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนกลั้นหัวเราะมองเขาอยู่ ใบหน้าแดงก่ำ คว้าแขนอวิ๋นเยี่ยเดินออกไปด้วยกันแล้วพูดว่า “ท่านพี่อวิ๋นอย่าหัวเราะข้า ครั้งนี้ข้ารับความเมตตาอันยิ่งใหญ่จากเฉียวกง การยอมให้ลูกชายคนโตของเขาเป็นเรื่องที่ควรทำ เจ้าอย่าเพิ่มปัญหาให้ข้า เจ้าเด็กโง่ผู้นั้นไม่มีค่าพอให้เจ้าเอาเรื่อง ตอนที่เราสองคนอยู่ที่ฉ่าวหยวน เฉียวกงก็ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ควรไว้หน้าเขาสักหน่อย ทำเป็นมองไม่เห็นเสียก็สิ้นเรื่อง” 

 

การที่เหอเซ่าสามารถอยู่ในเมืองฉางอันที่ปั่นป่วนแห่งนี้ได้ก็เหมือนปลาที่กลมกลืนไปกับน้ำ ย่อมมีทางรอดของเขาอยู่แล้ว คราวนี้มีขุนนางหลายรายที่ตกกระป๋อง เป็นเรื่องยากที่พ่อค้าอย่างตระกูลเหอจะรอดจากพายุฝนครั้งนี้ไปได้ 

 

“ในเมื่อเจ้าไม่ให้ข้ายุ่งแล้วข้าจะยุ่งไปทำไม ข้าได้ยินมาว่าเจ้าพึ่งได้ซื้อที่ดินในฉางอันมาเป็นจำนวนมาก เจ้าต้องการจะทำอะไร กะจะสร้างตรอกซิ่งฮว่าฟางแห่งที่สองหรือ อย่าเลี้ยงหมูให้มันอ้วนมากเกินไป เจ้าดูฮันฮันที่บ้านข้าสิ ตอนนี้ขนาดเดินยังลำบาก คงอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของเสี่ยวยา ข้าจับมันข้ากินไปนานแล้ว เจ้าเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ข้าจะบอกอะไรให้ กิจการของเจ้าครั้งนี้ตระกูลอวิ๋นจะไม่ยุ่ง ข้าต้องการหลบทางเดินของเจ้า” 

 

เหอเซ่าเกิดรีบร้อนขึ้นมา รีบถามเหตุผลว่าเพราะอะไร เงินทองยิ่งเยอะยิ่งดีไม่ใช่หรือ จะมีปัญหาได้อย่างไร 

 

“เจ้าเองก็เป็นคนฉลาดที่หาได้ยาก คงรู้ว่าตอนนี้ราชสำนักคิดอย่างไรกับพ่อค้า เมื่อกิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ภาษีการค้าคิดเป็นสามในสิบส่วนของรายได้รวมทั้งหมดในคลังหลวง ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ในฉางอันเมื่อก่อน อย่างมากก็จะคิดเป็นสัดส่วนสามในสิบส่วน ข้าได้ยินมาว่าเว่ยอ๋อง อวี๋ซื่อหนาน หลิวเจิ้งฮุ่ย สามคนนี้กำลังไตร่ตรองว่าจะควบคุมภาษีด้านการค้าอย่างไร เจ้าระวังจะถูกเด็กๆ เหล่านั้นถอนหงอกเอา” 

 

ใบหน้าอ้วนของเหอเซ่าซีดไปในทันที กิจการของเขานั้นใหญ่เกินไปแล้ว ไม่สามารถยุติลงได้ภายในเวลาอันสั้น ถึงอยากจะตัดหางทิ้งแต่ก็เจ็บเกินไป ได้แต่ถอนหายใจรอให้อวิ๋นเยี่ยช่วยเขาออกความคิดเห็น 

 

“ตอนนี้เฉียวกงเป็นตัวเลือกที่ดี เขาไม่มีตำแหน่งทางทหารแล้วจึงอยู่บ้านไม่ออกไปไหน เจ้าและลูกน้องเก่าของเขาสนิทกันมาก เจ้าควรไปหาเขาให้ช่วยออกความคิดเห็นให้เจ้า ดูท่าทางของลูกชายเขาที่มีต่อเจ้าสิ ครอบครัวเขาก็ไม่อยากจะพัวพันกับเจ้ามากนัก ต้องปีนขึ้นเสาทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือตาย ยังหาเงินได้ไม่พออีกหรืออย่างไร” 

 

พูดกับเขาไปตรงๆ อย่างไรเมื่อก่อนก็ถือว่าเป็นสหายกัน หลายปีมานี้ได้ถูกเงินทองบังตา มองสถานการณ์ไม่ออก เพียงแค่บ้านของเขาคนเดียวก็หรูหรากว่าตำหนักองค์ชายแล้ว ได้ยินมาว่ายังมีแผนที่จะขยายออกไปอีก 

 

ตบไหล่เหอเซ่าสองทีแล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกเพื่อบอกว่าการเต้นรำในห้องได้เริ่มขึ้นแล้ว 

 

คำพูดในบัตรเชิญของจั่งซุนชงไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่นิดเดียว นางรำที่อยู่ด้านในนุ่งน้อยห่มน้อย เปลือยหน้าท้องและแผ่นหลัง ใส่ชุดบางๆ เต้นอยู่ด้านในบิดไปบิดมา มองไม่เห็นขาแต่รูปร่างของสะโพกที่เหมือนน้ำเต้าใต้ผ้าบางๆทำให้คนเดือดพล่าน 

 

อย่าดูถูกว่าไฉหลิ่งอู่อายุน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีประสบการณ์ ตราบใดที่นางรำที่ริมเหล้าหกใส่เขาหน้าตางดงามก็รู้ได้เลยว่ามือของผู้ชายคนนี้ที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นไม่ซื่อสัตย์ 

 

มือที่ไปจับปลาเค็มมายังไม่ล้างให้สะอาดก็เอามือไปหยิบขาไก่ เจ้านี่ซกมกจริงๆ อวิ๋นเยี่ยลากโต๊ะของตัวเองไปไว้ที่ริมหน้าต่าง เพื่อจะได้ไม่มีใครมาแตะต้องอาหารบนโต๊ะของตัวเองได้