ตอนที่ 467 ทวนจงผิง โดย Ink Stone_Fantasy
พอเห็นว่าเยี่ยเทียนจะไปแล้ว จู้เหวยเฟิงก็รีบลุกขึ้นมา “เยี่ยเทียน รออีกสักเดี๋ยวค่อยไปเถอะ เดี๋ยวคุณเอาเลขบัญชีให้ผมนะ แล้วผมจะโอนให้คุณสิบล้าน”
“สิบล้าน?”
เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป เมื่อเห็นหูหงเต๋อที่อยู่ข้างๆ แล้วถึงจะนึกขึ้นมาได้ จึงส่ายหน้าแล้วตอบว่า “เงินนั่นมันของเหล่าหู ไม่ได้เกี่ยวกับผมหรอก แล้วเขาก็ยังไม่มีบัญชีธนาคาร พรุ่งนี้ผมจะพาเขาไปเปิดบัญชี แล้วค่อยเอาเลขบัญชีให้คุณก็แล้วกัน”
หูหงเต๋อก็เหมือนกับไอ้บอดเมิ่งที่ตายไป คือชอบเงินสดมากกว่า ในที่หลบภัยของเขาในส่วนลึกของภูเขาฉางไป๋ซานนั้น ก็ซุกซ่อนเงินสดและทองคำไว้จำนวนมากเช่นกัน สำหรับคนที่เคยผ่านความวุ่นวายจากสงครามมาอย่างพวกเขา สิ่งที่จะเชื่อถือได้มากที่สุดก็มีแต่เงินตราจำพวกทองคำนี่แหละ
“เรื่องนี้…” จู้เหวยเฟิงเพิ่งเคยเจอกับเยี่ยเทียนเป็นครั้งแรก จึงไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก เมื่อเยี่ยเทียนพูดมาแบบนี้ เขาก็ไม่สะดวกที่จะปฏิเสธอีก แต่จู้เหวยเฟิงก็ยังอยากจะสานสัมพันธ์กับเยี่ยเทียนต่อไปอีก ตอนนั้นจึงมองไปทางหูจวิน
หูจวินรู้ว่าจู้เหวยเฟิงคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม “เยี่ยเทียน เดี๋ยวยังมีนัดประลองตัดสินประเภทใช้อาวุธโบราณเหลืออยู่อีกนะ คุณจะไม่อยู่ดูหน่อยรึ?”
“นัดตัดสินประเภทใช้อาวุธโบราณ? เจ้าคนญี่ปุ่นที่ชื่อคาโต้ ทาคุมินั่นน่ะรึ? คนนี้มีที่มายังไงบ้างน่ะ?”
เมื่อได้ยินหูจวินพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็นึกถึงชื่อคนญี่ปุ่นที่เขาเห็นในเอกสารหน้าสุดท้ายคนนั้นขึ้นมาได้ ในใจจึงเกิดความสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เหวยเฟิง ให้นายเป็นคนแนะนำดีกว่านะ ฉันไม่ค่อยรู้จักเจ้าคนนี้เท่าไหร่” หูจวินส่ายหน้าแล้วมองไปทางจู้เหวยเฟิง เขาเป็นเพียงผู้ถือหุ้นในสนามมวยแห่งนี้เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้วย จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับนักมวยเหล่านี้
“รายละเอียดฉันก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน รู้แต่ว่าในไม่กี่ปีมานี้เขาโด่งดังขึ้นมาจากวงการมวยใต้ดินที่ญี่ปุ่น ฝีมือใช้ดาบเยี่ยมยอดมาก ตอนแรกเราก็ไม่ได้เชิญเขามา แต่มีสมาคมญี่ปุ่นที่รู้จักกันที่หนึ่งมาออกหน้าให้ อยากให้เขาลองมาแลกเปลี่ยนกับวงการมวยใต้ดินในประเทศจีนดูสักหน่อย ฉันเองก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ…”
จู้เหวยเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางแนะนำรายละเอียดเกี่ยวกับคาโต้ ทาคุมิให้ฟัง ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับองค์กรมวยใต้ดินนานาชาติ เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ในด้านข้อมูลเขาก็สู้ที่อื่นไม่ได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้จู้เหวยเฟิงรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขาก็ทำงานด้านนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว
“อย่างนั้นก็ได้ ดูรอบนี้ให้จบก่อนแล้วค่อยกลับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างไม่ยินดียินร้าย วันนี้ได้เห็นศิลปะการต่อสู้จากยุโรปไปแล้ว ถ้าจะรอดูวิชาเคนโด้ของญี่ปุ่นด้วยก็คงไม่เสียหายอะไร อาจจะได้ความรู้บางอย่างที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ก็เป็นได้ สาเหตุที่ประเทศจีนในอดีตเคยประสบความลำบากนั้นก็เป็นเพราะว่าปิดกั้นตัวเอง และนึกว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า ไม่ได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกเลย
ขณะนี้ระหว่างที่กำลังฟังพิธีกรใช้ฝีปากบรรยายอยู่นั้น เหล่าผู้ชมในสนามก็เริ่มสงบอารมณ์ลงไปแล้ว ถึงหูหงเต๋อจะไม่ได้สังหารอันเดรวิช แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าสยบอีกฝ่ายได้แล้ว ทำให้พวกที่นึกโมโหไปกับการแข่งขันนั้นพอจะสบายใจลงไปได้บ้างแล้ว
“การแข่งขันต่อไปนี้ จะเป็นนัดตัดสินประเภทอาวุธโบราณ สองฝ่ายที่จะมาร่วมศึกกันนี้ได้แก่ คาโต้ ทาคุมิจากญี่ปุ่น และฝูเจ๋อเหลียงจากซานซี!
“คาโต้ ทาคุมิเป็นราชาแห่งศึกอาวุธโบราณในองค์กรมวยใต้ดินที่ญี่ปุ่น จนถึงวันนี้ก็ยังมีสถิติที่ยังไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง เขามีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน ส่วนฝูเจ๋อเหลียงก็เป็นผู้สืบทอดทวนตระกูลเยวี่ย ทักษะการใช้ทวนของเขานั้นสูงส่งราวกับเทพมาจุติ
“ศึกตัดสินระหว่างพวกเขาทั้งสองนี้ จะต้องมีสีสันอย่างไม่ธรรมดาแน่นอน ต่อไปเราขอเรียนเชิญผู้สืบทอดทวนตระกูลเยวี่ย…ฝูเจ๋อเหลียง…”
เมื่อพิธีกรกล่าวบทนำลากเสียงยาวยืด แสงไฟทั้งสนามมวยก็ดับลงไปทันที ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ซึ่งมือขวาถือถุงผ้ายาวมาด้วยปรากฏกายขึ้นภายใต้แสงไฟ และเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆ
ชายผู้นี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร หน้าตาดูธรรมดาอย่างยิ่ง นุ่งชุดฝึกวิชายุทธสีขาวตลอดร่าง มีจังหวะก้าวเดินที่มั่นคงมาก เมื่อขึ้นไปถึงบนเวทีประลองแล้ว ก็เปิดถุงผ้าในมือออก แล้วหยิบด้ามทวนที่หลอมขึ้นจากเหล็กกล้าบริสุทธิ์ออกมาสามท่อน
“เช้ง…เคร้ง…เคร้ง!”
เสียงโลหะกระทบกันดังก้องขึ้นมาสามครั้ง ไม้พลองเหล็กกล้ายาวสองเมตรกว่าๆ ปรากฏขึ้นในมือของฝูเจ๋อเหลียงแล้ว เห็นเขาล้วงหยิบหัวทวนซึ่งเปล่งประกายเย็นวาบออกมาจากถุงผ้า แล้วประกอบลงไปบนปลายด้ามทวน
ขณะนี้ ทวนเหล็กซึ่งเปล่งประกายแววววาวของโลหะออกมาทั่วทั้งตัวทวนก็ปรากฏอยู่ในมือของฝูเจ๋อเหลียง มือขวาคีบปลายด้านหนึ่งของทวนเหล็กไว้ ฝูเจ๋อเหลียงออกแรงสะบัด แล้วทวนยาวนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวราวกับงูวิเศษ ตัวทวนที่สร้างขึ้นจากเหล็กบริสุทธิ์นั้นดูเหมือนจะกลายเป็นอ่อนยวบและยืดหยุ่นได้
“เยี่ยม!”
ด้านล่างเวทีมีใครตะโกนว่าเยี่ยมขึ้นมาก็ไม่ทราบ ทำให้ฝูงชนพากันปรบมือขึ้นมา ภาษิตว่า ยาวอีกหนึ่งนิ้วก็แกร่งขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน ทวนเล่มโตซึ่งยาวสองเมตรกว่านี้ เพียงถืออยู่ในมือก็เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
เยี่ยเทียนมองดูทวนยาวที่ยาวยิ่งกว่าส่วนสูงของฝูเจ๋อเหลียงเสียอีก แล้วหันหน้าไปถามหูหงเต๋อว่า “เหล่าหู ที่คนนี้ถืออยู่คือทวนจงผิงสินะ?”
เยี่ยเทียนมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธโบราณไม่มากนัก นอกจากใช้วิชาดาบเป็นอยู่ไม่กี่ท่าแล้ว อย่างอื่นก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่รู้อะไรเลย และที่สามารถดูออกว่าเป็นทวนจงผิงได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว
หูหงเต๋อพยักหน้าแล้วตอบว่า “ถูกต้อง ตัวทวนยาวประมาณสองเมตรหกเจ็ดสิบเซนติเมตร น่าจะเป็นทวนจงผิงนั่นละ แต่เจ้าคนนี้เอาเหล็กบริสุทธิ์มาทำเป็นด้ามทวน ถือว่าผิดจากวิชาทวน บิดเบือนหลักการ ฉันว่าเจ้าคนนี้มันคงไม่แน่เท่าไหร่หรอก!”
ตั้งแต่สมัยก่อนสถาปนาประเทศหูหงเต๋อก็อายุไม่น้อยแล้ว ช่วงหลังสถาปนาประเทศก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาลึกตั้งหลายปี จึงยังมีความคิดแบบคนสมัยก่อนอยู่ เมื่อเห็นชายผู้นี้นำทวนจงผิงซึ่งเป็นที่กล่าวขานว่า ‘ทวนจงผิง ราชาแห่งทวน เป็นทวนที่ป้องกันได้ยากที่สุด’ ไปดัดแปลงเสียจนกลายเป็นแบบนี้ ก็เลยรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา
มีคำกล่าวโบราณอยู่อย่างหนึ่งว่า พลองเรียนเป็นเดือน ดาบเรียนเป็นปี ทวนนั้นต้องเรียนตลอดชาติ จากคำกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ทวนนั้นเป็นอาวุธที่เรียนยากที่สุดในบรรดาสิบแปดศาสตราวุธ
และทวนก็ยังแบ่งย่อยอีกเป็นหลายชนิด ได้แก่ ทวนปู้เซี่ย ทวนดอก ทวนจงผิง ทวนใหญ่และทวนด้ามใหญ่ รวมไปถึงหอกยาว ซึ่งทวนแต่ละชนิดก็จะมีขนาดความยาวที่จำเพาะเจาะจง
ด้ามทวนที่ดีที่สุดนั้น ก็คือด้ามที่ทำจากไม้ไป๋ล่า มีความเหนียวทนทานดีอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะใช้ทิ่ม แทง ป้องปัดหรือพุ่งโจมตีก็มีประสิทธิภาพทั้งนั้น และวัสดุในการผลิตนี้ก็เป็นผลสรุปจากการทดลองของบรรพบุรุษมาเป็นร้อยเป็นพันปี
ดังนั้นเมื่อเห็นฝูเจ๋อเหลียงใช้เหล็กบริสุทธิ์มาหลอมเป็นด้ามทวนด้วยหวังที่จะให้มีอานุภาพทำลายสูงขึ้น หูหงเต๋อจึงเอ่ยปากลั่นวาจาออกไปว่าคนผู้นี้เห็นทีจะแพ้แน่นอน
“คุณหูครับ ฝีมือการใช้ทวนของฝูเจ๋อเหลียงอยู่ในระดับที่สูงมากเลยนะครับ อาจจะสู้คาโต้ ทาคุมิได้ก็ได้นะ”
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้ยังไม่ทันเริ่มต้น หูหงเต๋อก็พูดดับฝันนักสู้ประเทศตัวเองเสียแล้ว จู้เหวยเฟิงจึงชักจะรู้สึกไม่พอใจ เขาเคยเห็นตอนที่ฝูเจ๋อเหลียงฝึกซ้อมมาแล้ว เขาใช้ด้ามไม้ไป๋ล่าที่ไม่มีหัวทวนด้ามหนึ่ง จี้ไปที่จุดสำคัญบนทรวงอกของคนเจ็ดคนติดๆ กันได้ในชั่วพริบตา ความสามารถในการใช้ทวนเช่นนั้นใครเห็นก็ต้องอุทานชื่นชม
“พูดไปก็ไร้ประโยชน์น่ะ ดูดีกว่า!”
หูหงเต๋อคร้านจะไปอธิบายให้จู้เหวยเฟิงฟัง ยอดฝีมือในสามมณฑลตะวันออกที่ใช้ทวนใหญ่เป็นนั้นมีอยู่ไม่น้อย หูหงเต๋อจึงเคยพบปะมาหลายคนแล้ว เขามองปราดเดียวก็ดูออกแล้วว่าฝูเจ๋อเหลียงที่อยู่บนเวทีนั้นถึงฝีเท้าจะมั่นคง แต่พลังที่เอวยังไม่พอ แม้จะยังไม่อาจตัดสินได้ว่าเขามีดีแค่ผิวเผินหรือเปล่า แต่ก็ไม่นับว่าเป็นยอดฝีมือวิชาทวนแน่ๆ
แรกเริ่มเดิมทีทวนเป็นอาวุธที่ใช้กับการรบบนหลังม้า ทวนที่ยาวถึงสองสามเมตรนั้นก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธหนัก เมื่อม้าสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน ต่างก็ใช้อาวุธแข็งทั้งคู่ เมื่อแข็งปะทะแข็ง ใครหนักกว่าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่อาวุธบนหลังม้าที่มีน้ำหนักมากกว่าทวนก็ยังมีอยู่อีกมากมาย
อย่างกระบองเขี้ยวหมาป่าที่อสุนีเพลิงฉินหมิงใช้ในเรื่อง ‘สุยหู่’ ขวานเบิกภูผาที่แนวหน้าผู้กล้าหาญอย่างสั่วเชาใช้ยังหนักกว่าทวนมากนัก กระบองเขี้ยวหมาป่าหรือขวานเบิกภูผาที่หนักหลายสิบชั่งนั้นมีแรงม้าช่วยหนุนอยู่ เมื่อตวัดออกไปแล้ว จึงไม่สามารถต้านรับไว้โดยตรงได้ ไม่เช่นนั้นหอกเหล็กจะงอเสียหมด และกระดูกแขนทั้งสองข้างก็จะหักไป
ดังนั้นในยามนี้จึงต้องอาศัยพลังจากเอวช่วยโยกย้ายพลัง ร่วมกับความเหนียวยืดหยุ่นของด้ามไม้ไป๋ล่า ถ้าใช้หัวทวนปะทะกับขวานหรือกระบอง ทวนก็จะงอเล็กน้อย จึงช่วยรับต้านแรงเอาไว้ได้ และมือก็จะไม่สะเทือน พลังจากอาวุธของศัตรูก็จะลดทอนไป
แต่ฝูเจ๋อเหลียงกลับละทิ้งรากฐาน เรื่องพลังเอวยังฝึกไม่ถึงขั้นนั้นยังไม่ต้องพูดถึง แต่แม้กระทั่งด้ามไม้ไป๋ล่าก็ยังไม่ใช้ นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์ของหูหงเต๋อ สงสัยคงโดนเขาฟาดตายไปเสียนานแล้ว จะได้ไม่ต้องมาทำขายหน้าคนอื่นอีก
“ต่อไปขอเรียนเชิญคาโต้ ทาคุมิจากญี่ปุ่น…”
เนื่องจากการแข่งมวยรอบแรกของอันเดรวิชนั้นทำให้ฝ่ายผู้จัดงานเสียหน้าไปไม่น้อย ดังนั้นพิธีกรจึงไม่ได้แนะนำคาโต้ ทาคุมิมากนัก เมื่อเขาปรากฏกายไฟดวงใหญ่ในสนามก็สว่างขึ้น คนญี่ปุ่นรูปร่างขนาดกลางคนหนึ่ง หอบดาบซามูไรไว้ในอ้อมแขน แล้วก็เดินขึ้นเวทีมาจากฝั่งเดียวกับฝูเจ๋อเหลียง
คนญี่ปุ่นคนนี้สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสองเซนติเมตร สองเท้าเปลือยเปล่า มีผ้าแถบผืนหนึ่งผูกไว้รอบหน้าผาก ตรงกลางเป็นสัญลักษณ์ธงชาติญี่ปุ่น พอขึ้นเวทีมาแล้วก็ไม่พูดไม่จา มองไปที่ฝูเจ๋อเหลียงที่อยู่ตรงกันข้ามอย่างเย็นชา
“เอาละครับ ช่วงลงพนันห้านาที ตอนนี้เริ่มจับเวลาได้!”
สองฝ่ายที่จะสู้กันขึ้นไปอยู่บนเวทีแล้ว ส่วนพิธีกรก็รีบโดดลงมา แม้จะยังอยู่ในช่วงลงพนัน แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าคนพวกนี้จะไม่โมโหคลุ้มคลั่งขึ้นมา เวทีมวยในปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เสี่ยงอันตรายที่สุดในโลกนี้เลยก็ว่าได้
เวลาห้านาทีผ่านไปในพริบตา เมื่อเสียงระฆังดัง “กิ๊ง” ขึ้น บรรยากาศในสนามมวยก็ตึงเครียดขึ้นมาในฉับพลัน บรรดาสุภาพสตรีชั้นสูงและนักธุรกิจเศรษฐีที่ล้อมดูอยู่นั้น แต่ละคนต่างก็กลั้นหายใจไว้โดยไม่รู้ตัว
การต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณนั้น ยังอันตรายยิ่งกว่าการเข้าตะลุมบอนด้วยมือเปล่ามากนัก ไม่ว่าจะทิ่มทวนไปโดนอีกฝ่าย หรือฟันดาบไปโดนคู่ต่อสู้ ก็มีความเป็นไปได้ที่อวัยวะจะขาดไปทั้งนั้น ทำให้เหตุการณ์จึงยิ่งมีกลิ่นคาวโลหิตมากขึ้น และผลแพ้ชนะก็มักจะถูกตัดสินไปในกระบวนท่าเดียว
“ขอรับคำชี้แนะ!”
หลังจากได้ยินเสียงระฆัง คนญี่ปุ่นคนนั้นก็โค้งกายให้ฝูเจ๋อเหลียง แต่ขณะที่ฝูเจ๋อเหลียงไม่รู้ว่าควรจะตั้งทวนขึ้นมาหรือจะคารวะตอบดีนั้น คนญี่ปุ่นคนนั้นก็พลันโถมร่างเข้ามา เสียง “ชิ้ง” ดังแหลมขึ้นมา ประกายสว่างวาบพุ่งดีดตามมา แล้วตวัดไปที่ลำคอของฝูเจ๋อเหลียงปานสายฟ้าแลบ
‘ต่ำช้า!’
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าตะโกนออกมา เพราะการต่อสู้ด้วยอาวุธโบราณนี้ มีโอกาสสูงที่จะตัดสินแพ้ชนะกันในชั่วขณะนี้แล้ว!
ถึงวิทยายุทธของฝูเจ๋อเหลียงจะธรรมดาสามัญเหลือเกินในสายตาของหูหงเต๋อ แต่เขาก็มีประสบการณ์ในการณ์รับศึกมาอย่างโชกโชน ขณะที่แสงดาบนั้นกำลังจะฟันมาถึงลำคอแล้ว มือขวาของเขาก็ชูทวนเหล็กขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“ติ๊ง!” เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา ร่างของฝูเจ๋อเหลียงถอยพรวดไป
ทวนเป็นอาวุธประเภทโจมตีระยะไกล ถ้าไม่เว้นระยะห่างจากคาโต้ ทาคุมิไว้บ้าง อย่างนั้นศึกตัดสินตานี้ ฝูเจ๋อเหลียงก็คงไม่จำเป็นต้องสู้ต่อไปแล้ว กระโดดลงจากเวทียอมแพ้ไปได้เลย
……