เมื่อสิ้นเสียงพูด พลังเสวียนชี่ของคนผู้นั้นก็ปกคลุมทั่วร่างของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
ทั้งสองต้องการตอบโต้ ทว่าถูกพลังอันหนาแน่นกดทับเหนือร่าง ทำให้ไม่สามารถขยับได้
ในไม่ช้า มุมปากของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างเชื่องช้า
ทว่าพวกเขาจะยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำได้อย่างไร?
ไอสังหารในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างน่ากลัว ทั้งแววตาของซูจิ่นซียังปรากฏความดุดันโหดเหี้ยมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งสองกำลังดิ้นรนไม่หยุด
ทันใดนั้น แผ่นหลังของซูจิ่นซีก็เปล่งแสงสว่าง
แสงสว่างนั้นยิ่งแข็งแกร่งและทรงพลังมากขึ้น มันทำลายพลังเสวียนชี่ที่กดทับเหนือศีรษะของนางและเยี่ยโยวเหยา
ชายชราตกตะลึงกับพลังนั้นจนถอยห่างออกไปสองก้าวติดกัน
“อ้าก… ”
ซูจิ่นซีตะโกนเสียงดัง แสงสว่างเจิดจ้าพลันสลายหายไปในพริบตา หลักจากนั้น ซูจิ่นซีที่ใบหน้าซีดขาวก็ตกลงสู่อ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยาอย่างอ่อนแรงราวกับใบไม้ร่วง
“จิ่นซี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? จิ่นซี… ”
เยี่ยโยวเหยารับซูจิ่นซีเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ซูจิ่นซีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา พลางส่งยิ้มปลอบประโลมให้เขา
“ท่านอ๋องวางใจ จิ่นซี… จิ่นซีไม่เป็นอันใด… ”
ไม่เป็นอันใดได้อย่างไร? หากไม่เป็นอันใดจริง เหตุใดใบหน้าจึงซีดเซียวเช่นนี้?
เยี่ยโยวเหยาเหลือบมองแผ่นหลังของซูจิ่นซีอย่างรวดเร็ว ลำแสงที่ทรงพลังนั้นหายไปแล้ว เขารีบจับชีพจรของซูจิ่นซี
ภายนอกปกติดี ไม่พบความผิดปกติอันใด
ดังนั้นเยี่ยโยวเยาจึงคาดเดาว่า เมื่อครู่เป็นพลังสยบมังกร ที่ปลดปล่อยพลังภายในอันแข็งแกร่งออกมาอย่างกะทันหันเพื่อต่อต้าน หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น
เยี่ยโยวเหยาแนะนำให้ซูจิ่นซีเดินพลังภายในเพื่อปรับลมปราณ
เขาประคองร่างของซูจิ่นซีให้ตั้งตรง “คงไม่เป็นอันใด เจ้าพยายามเดินลมปราณ ทะลวงจุดชีพจรแต่ละจุดบนร่างกลับไปที่จุดตันเถียน”
ซูจิ่นซีทำตามที่เยี่ยโยวเหยาพูด นางนั่งขัดสมาธิและเดินลมปราณปรับลมหายใจ ชายชราที่ตกตะลึงกับแสงอันทรงพลังจากร่างของซูจิ่นซี หลังจากยืนทรงตัวอย่างมั่นคงแล้ว เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้ลมหายใจที่สั่นไหวนั้นคงที่
คาดไม่ถึงว่าในอาณาจักรเทียนเหอจะมีผู้ที่สามารถต้านทานพลังเสวียนชี่ของเขาได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเหลือเชื่อและคาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้น คือ แสงสว่างที่ออกมาจากร่างของซูจิ่นซีเมื่อครู่
ตอนที่แสงสว่างนั้นเปล่งประกาย แม้จะมองเห็นไม่ชัดเจนนัก ทว่าเขายังสามารถมองเห็นรูปร่างของลำแสงที่ลอยอยู่เหนือร่างของซูจิ่นซี
เป็นภาพกิเลนคู่ที่เท้าทั้งสองข้างเหยียบดอกปี่อั้น
หากเขาเดาไม่ผิด ต้องมีลวดลายเช่นนั้นบนแผ่นหลังของซูจิ่นซีแน่นอน
หรือว่านางคือ…
ชายชรามองซูจิ่นซีที่กำลังเดินลมปราณปรับลมหายใจอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
หลังจากที่ซูจิ่นซีค่อยๆ ฟื้นคืนลมปราณ ใบหน้าของนางก็กลับมาเป็นปกติ นางลืมตาทั้งสองข้างขึ้น ชายชราเอ่ยถามซูจิ่นซี “เจ้า… เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ”
ซูจิ่นซียังคงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ นางยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย
“ผู้อาวุโสรู้ตัวตนในอดีตชาติและสามชาติก่อนของข้ามิใช่หรือ? ทำไมกัน? ต่อสู้กันเพียงครั้งเดียว เจ้าถึงกับเลอะเลือนไปแล้วหรือ? เจ้าถามข้าเช่นนี้? หรือเมื่อครู่ถูกข้าอัดจนเพี้ยนไปแล้ว? ”
ชายชราคิ้วกระตุก แม้จะโกรธเคือง ทว่าเขากลับไม่รีบร้อนลงมือกับซูจิ่นซี “เจ้ามีความเกี่ยวข้องอันใดกับซีหวังมู่? ”
“ซีหวังมู่? ” ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือเทพธิดาเผ่าเม้ย ก็น่าจะรู้ว่าข้าคือดอกบัวทิพย์ใต้พระที่นั่งในสระบัวของซีหวังมู่ จากที่เจ้าเห็น ข้ากับซีหวังมู่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ”
ชายชราขมวดคิ้ว “เจ้าไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเจ้ากับซีหวังมู่หรือ? ไม่รู้จริงหรือว่าลวดลายกิเลนคู่นั้นมีความเป็นมาอย่างไร? ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังด้านหลังของตนเอง ความสงสัยพลันปรากฏในดวงตาของนาง
หยกกิเลนคู่เป็นสิ่งที่มารดาของนางทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า มารดาของนาง จงซีจือ แท้จริงแล้วคือวิญญาณเผ่าเม้ยที่จิ่วหรงใช้ตบะพันปีของตนผนึกรวมเป็นรูปร่าง
ส่วนหยกกิเลนคู่ นางคิดว่าจิ่วหรงทำเพื่อรวบรวมดวงวิญญาณของนาง ทว่านางไม่เคยตรวจสอบที่มาของมันแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวลือว่าหยกกิเลนคู่กับสุสานจิ่นอีโหวมีความเกี่ยวข้องกันอย่างสุดซึ้ง
หรือว่า… หยกกิเลนคู่ยังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง?
ซูจิ่นซีพยายามหยั่งเชิงชายชรา นางจงใจเยาะเย้ย “หยกกิเลนคู่ เดิมทีเป็นของเผ่าเม้ย หรือว่าท่านรู้ดีกว่าข้าที่เป็นคนเผ่าเม้ย? ”
ทว่าชายชราผู้นั้นไม่หลงกลแม้แต่น้อย
“คิดไปก็ใช่ เรื่องราวผ่านมาหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างคงถูกลืมเลือน เกรงว่าท่านเซียนดอกบัวคงจำไม่ได้แล้วกระมังว่าตนเองจุติใหม่มากี่ภพกี่ชาติแล้ว? เรื่องพวกนี้นับว่าให้อภัยกันได้ ทว่า… ลืมไปเสียได้ก็ดี! ”
ลืมอันใดกัน?
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ซูจิ่นซีจะถามชายชราให้เข้าใจ เขาก็รวบรวมพลังเสวียนชี่อันแข็งแกร่งอีกครั้ง เพื่อจัดการซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
ยิ่งไปกว่านั้น พลังเสวียนชี่ในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด
เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องสังหารซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาให้ได้!
นอกจากการพบปะในวันนี้ ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากล้ารับประกันได้ว่า พวกเขาไม่เคยพบและไม่เคยสนทนากับชายชราผู้นี้มาก่อน
เขามีความเคียดแค้นแบบใดกัน จึงต้องการสังหารพวกเขา?
อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายตรงข้ามต้องการฆ่าพวกเขา ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาคงไม่อยู่เฉยให้ฆ่าอย่างแน่นอน
ขณะที่ชายชรากำลังรวบรวมพลังเสวียนชี่อันแข็งแกร่ง ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา ต่างฝ่ายต่างช่วยกันพยุงร่างของตนเองให้ลุกขึ้น
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าแผ่นหลังที่เปล่งแสงของตนได้ปลุกพลังสยบมังกรขึ้นมาหรือไม่ ทว่าในตอนนี้ นางรู้สึกเพียงว่าทั่วทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อลุกขึ้นยืน นางรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว กระบี่เฟิ่งอวี่ในมือที่เดิมทีหนักอยู่บ้างเล็กน้อย ในเวลานี้กลับเบาดั่งขนนก ราวกับไม่ได้ถือสิ่งใดเลย
ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เห็นได้ชัดว่าพลังเสวียนชี่ที่ชายชรารวบรวมในครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มาก ทว่านางกลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอันใดแม้แต่น้อย
นอกจากนั้น ยามที่ชายชราซัดพลังเสวียนชี่อันแข็งแกร่งโจมตีเยี่ยโยวเหยวและซูจิ่นซี หมายจัดการให้ถึงชีวิต ซูจิ่นซีกลับยกกระบี่เฟิ่งอวี่ขึ้นมาป้องกันไว้ได้
ทันใดนั้น ทั่วทั้งห้องทดลองพลันปรากฏแสงสว่างเจิดจ้า พลังเสวียนชี่อันแข็งแกร่งปะทะเข้ากับลำแสงอันทรงอานุภาพที่ปกคลุมทั่วร่างของซูจิ่นซี เกิดเป็นประกายแสงเจิดจ้าระหว่างทั้งสองคนอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้แสงสว่างนั้น ใบหน้าของชายชราราวกับหยก เส้นผมขาวปลิวไสวไม่หยุด…
ซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวกับกระบี่หนึ่งเล่ม เห็นได้ชัดว่ารูปร่างเล็กกว่ามาก ทว่ารูปร่างที่เล็กนั้นไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางอ่อนแอ กลับยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาไม่กล้าดูถูกนางแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านข้างก็ใช้วิชายุทธจิ่วเซียวระดับเจ็ด เขาถือกระบี่เสวียนหยวนที่ส่องแสงดุดันพลางเหาะขึ้นไปกลางอากาศ พลังเทพเจ้าในกระบี่เสวียนหยวนค่อยๆ ผ่าทะลุลำแสงและแทงไปที่กลางอกของชายชราผู้นั้น