ซูจิ่นซีหยิบกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น และชักกระบี่ออกจากฝักอย่างเชื่องช้า
เยี่ยโยวเหยาเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ดวงตาดำขลับลึกล้ำของเขาปรากฏความเย็นชา ก่อนจะดึงกระบี่เสวียนหยวนออกมาเช่นกัน
คิ้วที่งดงามของชายผู้นั้นกระตุกเล็กน้อย ดวงตาของเขาก้มมองอาคมกำไลปี่อั้นบนข้อมือขวาของซูจิ่นซี
“อาคมกำไลปี่อั้นอมฤต… ไม่คิดว่ามันจะยอมรับเจ้าเป็นนายของมัน เทพธิดา ดูเหมือนว่าชะตากรรมระหว่างเจ้ากับจิ่วหรงยังไม่จบ! ยิ่งลุ่มหลงมากเท่าไร พรหมลิขิตต่อกันยิ่งน้อยลง สามชาติสามภพโศกเศร้า สรรพสิ่งคืนสู่รากเหง้า โชคชะตาสวรรค์กำหนด ทว่ามนุษย์สามารถกำหนดได้เช่นกัน”
เขาพูดพลางหันไปมองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของชายผู้นั้น ดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยาทอประกายเย็นชา
เยี่ยโยวเหยาไม่เข้าใจ ซูจิ่นซีก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
นางเหลือบมองอาคมกำไลปี่อั้นบนข้อมือขวาของตน
“ยิ่งลุ่มหลงมากเท่าไร พรหมลิขิตต่อกันยิ่งน้อยลง”
ซูจิ่นซีเคยได้ยินคำพูดประโยคนี้เมื่อนานมาแล้ว จากเฒ่าซุนที่คุกหลวงแคว้นจงหนิง ตอนนั้นนางคิดเพียงว่าเฒ่าซุนพูดไร้สาระ จึงไม่ได้จริงจังกับคำพูดนี้มากนัก
ส่วนคำพูดประโยคหลังของชายผู้นี้ ซูจิ่นซียิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม
ข้อมูลในประโยคนี้มีมากเกินไป ซูจิ่นซีนิ่งเงียบเป็นเวลานาน
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองชายผู้นั้น “เจ้ารู้สถานะของข้าในอดีตชาติ? เจ้าเป็นใครกันแน่? ”
ชายผู้นั้นพลันเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง แม้เสียงของเขาจะทุ้มต่ำและแก่ชรา ทว่าใบหน้างดงามของเขายามหัวเราะกลับดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ… ” ทันใดนั้น ชายผู้นั้นก็หยุดพูด ไอสังหารปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “วันนี้พวกเจ้าทุกคนจะถูกฝังร่างไว้ที่นี่ ไม่มีผู้ใดรอดออกไปได้”
หลังจากพูดจบ ร่างของเขาก็พุ่งเข้ามาหาซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาด้วยความเร็วที่น่าประหลาด ขณะเดียวกัน พลังเทพเสวียนชี่ที่แข็งแกร่งก็ปรากฏขึ้นรอบกายของเขา
ซูจิ่นซีมีพลังวรยุทธ์อยู่ในขั้นเทพยุทธ เยี่ยโยวเหยาก็มีพลังวิชายุทธจิ่วเซียวขั้นเจ็ด ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพลังเทพเสวียนชี่อันทรงพลัง พวกเขากลับดูอ่อนด้อยอย่างมาก
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาผสานพลังไว้ที่ปลายกระบี่ของพวกเขา ทว่าชายผู้นั้นเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลังเทพเสวียนชี่ก็ซัดพวกเขากระเด็นออกไป
ร่างของซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาลอยออกไปและตกลงบนพื้นอย่างแรง
วรยุทธ์ของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาถือว่าอยู่ในระดับต้นๆ ของอาณาจักรเทียนเหอ
โดยเฉพาะวรยุทธ์ของซูจิ่นซี ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของนาง อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชายผู้นี้ พลังของนางราวกับขนนกที่กระแทกเขาไท่ซาน ไม่คู่ควรให้กล่าวถึงแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ กลางฝ่ามือของซูจิ่นซีที่จับกระบี่เฟิ่งอวี่พลันมีเม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมา
ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้พบกับยอดฝีมือที่ทรงพลัง เกรงว่าหากจัดการไม่ดี พวกเขาทั้งหมดคงต้องฝังชีวิตไว้ที่นี่เป็นแน่
ซูจิ่นซีกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก นางกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีรับมือ วิธีตอบโต้ต่างๆ ทั้งที่เคยใช้มาแล้วและยังไม่เคยใช้ ทุกอย่างปรากฏเข้ามาในสมองของนางดั่งสายฟ้า
ใช้ไม่ได้เลยสักวิธี
ทว่าพวกเขาตายไม่ได้ ความปรารถนามากมายของพวกเขายังไม่สัมฤทธิ์ผล!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยี่ยโยวเหยา ความปรารถนาตลอดชีวิตของเขาคือการรวบรวมใต้หล้า สร้างความสงบสุขทั่วแผ่นดิน
บัดนี้ เส้นทางของจักรพรรดิเดินมาได้เพียงครึ่งทาง เขาจะตายในสถานที่ที่มืดมิดและไม่มีผู้ใดรู้จักได้อย่างไร?
เมื่อเห็นซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาได้รับบาดเจ็บ จิ้นหนานเฟิงจึงรีบวิ่งไปจัดการชายผู้นั้นพร้อมกับองครักษ์และองครักษ์เงา
ทว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้ชายผู้นั้น เพียงชายผู้นั้นยกแขนเสื้อโบกครั้งเดียว ร่างของคนเหล่านั้นก็ลอยกระเด็นออกไปราวกับขนนก และกระแทกกำแพงอย่างแรง
บางคนโชคดี ได้รับบาดเจ็บสาหัส บางคนโชคร้ายเสียชีวิตในทันที
แม้แต่จิ้นหนานเฟิงก็หมดสติหลังจากอาเจียนออกมาเป็นเลือด เป็นตายยังไม่รู้
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ซูจิ่นซีกุมกระบี่เฟิ่งอวี่ให้แน่นยิ่งขึ้น ท่าทางของนางสงบนิ่งอย่างมาก ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ทว่าเหงื่อเย็นเฉียบกลับผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผากและสันจมูก
เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าไปใกล้ซูจิ่นซี และจับมือนางไว้แน่น
ดวงตาของซูจิ่นซีค่อยๆ เลื่อนไปมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปาก “ไม่ต้องกังวล ข้าอยู่กับเจ้า! ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของซูจิ่นซีพลันร้อนผ่าว เบื้องลึกในหัวใจของนางราวกับถูกบางอย่างกระแทก ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดใจ
ทุกครั้งที่นางเผชิญหน้ากับอันตรายครั้งใหญ่ ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย บุรุษที่อยู่เคียงข้างนาง มักจะกุมมือของนางให้แน่น และบอกกับนางว่า ข้าอยู่กับเจ้าที่นี่!
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าเยี่ยโยวเหยาอยู่กับนางเสมอ!
เขาเป็นสวรรค์ของนาง เป็นโลกของนาง เป็นกระดูกสันหลังของนาง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของนาง
ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เขาจะยืนเคียงข้างนางเสมอ ใช้หัวไหล่ที่แข็งแกร่งของเขาแบกทุกอย่างเพื่อนาง
ทว่า เขาเหนื่อยบ้างหรือไม่?
ต่อให้ใจเด็ดเดี่ยวเพียงใดก็เหนื่อยได้!
ไกลออกไป พลังเทพเสวียนชี่รอบตัวชายผู้นั้นยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น ทว่าเขาไม่ได้ลงมือ ขอเพียงเขาลงมือ ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาคงแตกสลายในทันที
อาจกล่าวได้ว่า ตอนนี้ ความเป็นความตายของพวกเขาอยู่ในเงื้อมมือของชายผู้นั้น
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไม่ได้มองชายผู้นั้นแม้แต่น้อย
เวลานี้ ในสายตาของพวกเขามีเพียงกันและกัน
ดวงตาที่งดงามของซูจิ่นซีจ้องตรงไปในดวงตาดำขลับลึกซึ้งของเยี่ยโยวเหยา ราวกับว่านางเห็นอนาคตอันไกลแสนไกล
“ท่านอ๋อง ท่านเคยบอกว่าเมื่อเรื่องทุกอย่างสิ้นสุด เราจะกลับไปที่สวนตี้เหมยเมืองเหยาเฉิง ไม่สนใจเรื่องราวในโลก”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความมั่นคง “ซูจิ่นซี ข้าเคยหลอกลวงเจ้าหรือ”
มุมปากของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาของนางเปล่งประกาย “เยี่ยโยวเหยา เมื่อไรกันที่ท่านอ๋องไม่เคยโกหกข้า”
บุรุษผู้นี้ ซูจิ่นซีไม่เคยมองทะลุจิตใจของเขาได้เลย
บางครั้ง นางสามารถตัดสินได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ทว่าบางครั้ง หากเขาต้องการโกหกนาง เขาจะไม่ให้โอกาสนางได้สงสัยแม้แต่น้อย
การแสดงออกของเยี่ยโยวเหยาจริงจัง ดวงตาของเขามั่นคง
“ซูจิ่นซี เจ้าเชื่อข้า ข้าไม่มีทางตาย และข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตาย! ”
ไม่ตาย? เป็นเช่นนั้นจริงหรือ? เหตุใดสองชาติที่แล้วถึงจากไปอย่างกะทันหันโดยไม่มีลางสังหรณ์แม้แต่น้อย?
เยี่ยโยวเหยากลัวว่าวันหนึ่ง ซูจิ่นซีจะหายตัวไปจากโลกนี้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า และกลับสู่ยุคสามพันปีในอนาคต
ซูจิ่นซีจะไม่หวาดกลัวเหมือนกับเขาได้อย่างไร?
นางยิ่งกลัวว่าวันหนึ่ง เยี่ยโยวเหยาจะสลายหายไปเหมือนสองชาติก่อน โดยไม่มีลางบอกเหตุแม้แต่น้อย!
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซี ดวงตาของเขาปรากฏความรักลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ยอดฝีมือผู้นั้นก็เริ่มเดือดดาลที่เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีไม่สนใจ
พลังเทพเสวียนชี่อันแข็งแกร่งที่อยู่รอบกายเขาทวีความเข้มข้นมากขึ้น รังสีอันทรงพลังทำให้ร่างกายของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาต้องถอยห่างออกไปหลายจั้ง
“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง ความตายใกล้เข้ามาแล้ว เวลานี้ยังแสดงความรักใคร่กันอยู่อีกหรือ สายเกินไปแล้วกระมัง?”