ภาคที่ 5 บทที่ 52 ในนาม

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 52 ในนาม

จูเฉินฮ่วนยอมแพ้ซูเฉินในการเล่นหมากรุกในเวลาต่อมา

เหตุผลหลักที่เขาแนะนำเกมหมากรุกเพื่อที่จะประเมินบุคลิกของซูเฉิน อย่างไรแล้ววิธีการเล่นหมากรุกนั้นสามารถสื่อถึงบุคลิกของผู้เล่นได้ หากซูเฉินคนนี้พยายามจะโกงกระทั่งเกมหมากรุกก็แปลว่าจะต้องมีปัญหากับความซื่อสัตย์ของเขาเป็นแน่

ทว่าซูเฉินกลับกำราบเขาตรงไปตรงมาอย่างน่าเหลือเชื่อ ชายหนุ่มไม่ได้โกงแต่อย่างใด แม้ว่าบรรพชนอาวุโสจะโกงไปหลายครั้งก็ตาม

โชคยังดีที่ซูเฉินไม่เชื่อในเรื่องการที่วิธีการเล่นหมากรุกนั้นสื่อถึงบุคลิกของคนได้ เพราะเมื่อเขาได้เข้าควบคุมอำนาจในการจัดการกับตระกูลจู ชายหนุ่มก็ไม่กังวลว่าพวกเขาอาจพยายามเล่นแง่ตลบหลังเอาได้แม้แต่น้อย

จูเฉินฮ่วนได้แต่ยอมแพ้ต่อเกมหมากรุกเมื่อเขารู้ตัวว่าตนไม่สามารถเอาชนะซูเฉินได้ และพวกเขาก็กลับมาพูดคุยเรื่องแผนการกันต่อ

เนื่องจากสำนักของพวกเขาในตอนนี้ถูกแช่แข็งไว้นิ่งงัน สิ่งที่เหลืออยู่คือการตกลงวางแผนการที่มั่นคง

แผนนี้ต่างไปจากคราที่ซูเฉินเสี่ยงตัวและเข้าไปในอาณาเขตของเผ่าคนเถื่อนตามลำพัง ตอนนี้เมื่อตระกูลจูได้ลงทุนทรัพยากรมหาศาล เรื่องของความเสี่ยงก็มาข้องเกี่ยวด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง พวกเขาจะอดทนต่อการกระทำสุ่มเสี่ยงเช่นนี้น้อยลงมาก จูเฉินฮ่วนจะไม่ยอมรับแนวโน้มเสี่ยงพนันของซูเฉิน แผนการที่ใช้ได้จริงและไว้วางใจได้คือหนทางเดียวเท่านั้น

ดังนั้น ชายชราจึงปัดแผนการปลอมตัวเป็นนกขมิ้นเปลวเพลิงของซูเฉินทิ้งทันที

“มันเสี่ยงเกินไป และเจ้าจะกลายร่างเป็นหญิงเผ่าปักษา ระหว่างหญิงและชายนั้นมีข้อแตกต่างมากเกินไป และนกขมิ้นเปลวเพลิงยังเป็นนักร่ายมนตร์ของรังเสียงละไมอีกด้วย ใครจะรู้ว่าพวกเขามีกระบวนการตรวจสอบอื่น ๆ อะไรสำหรับพวกนักร่ายมนตร์อีก ถ้าพวกเขาให้เจ้าใช้วิชาสลักจิตอีกครั้งเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ ?”

เรียกได้ว่าการวิเคราะห์ของชายแก่นั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างถึงที่สุด !

ซูเฉินแตกต่างจากนกขมิ้นเปลวเพลิงมากเกินไปทั้งในเรื่องของท่าทาง นิสัย และความสามารถ เดาได้เลยว่าตัวตนของนางจะต้องนำมาซึ่งเรื่องวุ่นวายไม่จบสิ้นเป็นแน่

“ลืมเรื่องที่จะหลอกพวกปรมาจารย์อาร์คาน่าไปก่อนเถอะ กระทั่งเผ่าปักษาก็ไม่สามารถผลิตปรมาจารย์อาร์คาน่าได้เหมือนกะหล่ำปลีหรอก และแม้ว่าเจ้าจะหลอกพวกเขาได้สำเร็จ เจ้าก็ยังต้องระวังตัวเองอยู่ดี ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยแล้วเจ้าต้องปลอมกายเป็นตัวตนอื่นด้วย วิธีนี้เท่านั้นที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถตรวจจับปัญหากับการกระทำหรือมารยาทในการพูดของเจ้า”

“ท่านพูดเช่นนั้น… แต่พวกเราจะหลีกเลี่ยงปัญหาหากเผ่าปักษาคนหนึ่งกลับไปยังนางพญายังไงล่ะ ?”

“เจ้าจะกลับไปยังนางพญาแม้ว่าเจ้าจะอยู่ในร่างของนกขมิ้นเปลวเพลิง ? ข่าวว่านางถูกจับตัวได้แพร่กระจายไปแล้ว” จูเฉินฮ่วนจะไม่หยุดพูดเมื่อเขาเริ่มแล้ว

“นั่นแหละสิ่งที่ทำให้ข้าปวดหัว”

“เจ้าปวดหัวเพราะเจ้าคำนึงถึงแค่ความรู้สึกของตัวเจ้าเอง เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าตอนนี้เผ่าปักษารู้สึกอย่างไรบ้าง ?”

“เผ่าปักษารู้สึกอย่างไรงั้นหรือ ?” ซูเฉินตะลึงงันด้วยความคิดนั้น

“ใช่แล้ว ! เจ้าคงไม่ได้คิดว่าเผ่าปักษาจะยอมเสียนางพญาไปหลังจากที่เสียเวลาและความพยายามที่จะสร้าง รวมทั้งใช้เวลาดำเนินการตามแผนการหรอกใช่ไหม ?”

ซูเฉินตกลงไปในห้วงความคิดเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่จูเฉินฮ่วนพูด

เขาคิดได้ว่าตนเองได้ผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงในการมองสถานการณ์นี้

ขณะที่เขากำลังง่วนอยู่กับวิธีที่จะกลับไปยังนางพญา ชายหนุ่มไม่ได้คิดเลยว่าเผ่าปักษาก็จะต้องคิดวิธีการฟื้นฟูนางพญาอยู่ด้วยเช่นกัน

เมื่อเขารู้แล้ว แววตาของซูเฉินก็ส่องแสงประกาย “เผ่าปักษามีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ เร็ว ๆ นี้ไหม ?”

จูเฉินฮ่วนหัวเราะ “พวกเราพบว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเผ่าปักษาได้ส่งกลุ่มทูตมาเพื่อเจรจาสงบศึก ข้าสงสัยว่าทำไมคนหยิ่งยะโสพวกนั้นอยู่ ๆ จึงอยากจะคุยกับพวกเรา แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วละ”

ซูเฉินหัวเราะ “ข้าคิดว่าพวกเขาจะไปที่เมืองนภาลัยราบด้วย”

“งั้นเจ้าก็เห็นว่าเรื่องนี้จริง ๆ แล้วเรียบง่ายยิ่ง โอกาสอาจปรากฏขึ้นโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย กลับกัน หากเราพยายามทำบางสิ่ง พวกเขาอาจรู้ตัวโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ”

“ท่านพูดถูกเผง !” ซูเฉินถอนหายใจอย่างชื่นชม

คนมีอายุนี่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ด้วยเพียงไม่กี่ประโยค เขาก็สามารถอธิบายหัวใจของปัญหาได้แล้ว

เนื่องจากปัญหาของการกลับไปยังนางพญา คงจะดีกว่าหากอยู่นิ่ง ๆ แทนที่จะเคลื่อนไหว ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือรอโอกาสที่ถูกเวลาปรากฏขึ้นเอง

แน่นอนว่ายังคงมีปัญหาอื่นมากมายที่ต้องได้รับการจัดการ

แผนการที่ยิ่งใหญ่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นทีละส่วน

จื่อหลิงลิ่วไม่สบอารมณ์นัก

เผ่าปักษาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อมนุษย์มากนัก ความขัดแย้งส่วนมากนั้นมาจากข้อพิพาทและความไม่ลงรอยกันในภูมิรัฐศาสตร์ของการแบ่งทรัพยากรธรรมชาติ นี่ค่อนข้างจะเป็นเหตุการณ์ปกติสำหรับสองอาณาจักรใกล้เคียง หากไม่ใช่เพราะแรงเสียดทานระหว่างช่วงเวลานั้น ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าอาณาจักรหนึ่งกำลังเมินเฉยต่อเสียงของผู้คน กลับกัน ความสนิทชิดเชื้อระหว่างสองอาณาจักรทำให้เมื่ออาณาจักรมีส่วนในความขัดแย้ง อีกอาณาจักรจะถูกนับว่าเกี่ยวข้องไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ เผ่าปักษาและอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยจึงร่วมมือกันในบ้างครั้ง อย่างครั้งที่พวกเขาต้องรับมือกับอสูร

เมื่อไรสู้และเมื่อไรถอยนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละอาณาจักร และจื่อหลิงลิ่วคือคนที่รับผิดชอบการตัดสินใจนี้เป็นหลัก

แน่นอนว่าสถานการณ์ที่เข้ากำลังประสบในตอนนี้นั้นยุ่งยากกว่าเล็กน้อย

แม้ว่าเขาจะเป็นมีชื่อว่าเป็นผู้นำของนักการทูต เขาก็ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเช่นกัน ความรับผิดชอบต่อเรื่องต่างอาณาจักรนั้นมักจะเป็นผู้รับความผิด เหล่าคนในตำแหน่งสูงกว่าจะคิดและตัดสินใจว่าจะสร้างความสัมพันธ์ใด ขณะที่ภาระหน้าที่ตกเป็นของคนที่ทำคำสั่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้น

งานของเอกอัครราชทูตนั้นคงจะเป็นธุรกิจเสียครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งถูกขโมยไป

แต่ปัญหาหลักคือเขาไม่รู้กระทั่งว่าภารกิจที่แท้จริงของเขาคืออะไรในตอนนั้น เขาไม่รู้เลยว่าทำไมเขาจึงถูกบังคับให้แบกหม้อสีดำใบนี้สำหรับใครอื่น

ใช่ เขาไม่รู้ !

คนที่ติดตามมาในกลุ่มทูตไม่แม้แต่จะปริปากเกี่ยวกับเป้าหมายจริงของภารกิจแม้แต่น้อยและบอกเขาให้ทำตามคำสั่งอย่างเงียบเชียบ

แต่ดูภารกิจที่เจ้าให้ข้ามาสิ !

“เจ้าต้องดูแลรักษาความอิสระของนักการทูตให้พวกเขาทำอะไรก็ได้ที่เมืองนภาลัยราบ ทางที่ดีที่สุดคือเจ้าหยิบฉวยอำนาจบางส่วนในเมืองนภาลัยราบมา !”

ชาวเผ่าปักษาที่ให้คำสั่งเขามาบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ?

เมืองนภาลัยราบเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยและไม่อยู่ใกล้บริเวณชายแดน เมื่อไรกันที่การจะขโมยเมืองที่เป็นของอาณาจักรอื่นด้วยเหตุผลทางการเมืองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ?

หากว่าไม่มีความโชคดีทางภูมิศาสตร์แล้ว อะไรกันที่ทำให้พวกเขาพยายามพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นี้ ?

กลยุทธ์ทางการเมืองของยุคสมัยนี้นั้นเรียบง่าย ไม่มีเรื่องอย่างสิทธิมนุษยชน การแยกดินแดน หรือกรอบประวัติศาสตร์บางอย่าง จึงไม่มีเหตุผลที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้

เหล่าคนระดับสูงได้กล่าวไว้ว่าพวกเขาต้องการประนีประนอมกับอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยมากมายตราบใดที่เงื่อนไขของพวกเขาถูกเติมเต็ม กระทั่งเต็มใจที่จะถอยปราสาทแสงต้นกำเนิดออกไปนับร้อยลี้

นี่ถือเป็นสัมปทานที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ปราสาทแสงต้นกำเนิดนั้นปกป้องแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอยู่ และการถอยมันออกก็เท่ากับการครอบครองมันทั้งหมด แต่ไม่ใช่ว่าสัมปทานเช่นนี้คือการบอกอีกฝ่ายว่ามีทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาลซ่อนอยู่ในเมืองนภาลัยราบหรือ ? มันคือการบอกว่าเมืองนภาลัยราบมีบางอย่างที่มีค่ามากกว่ากองภูเขาทรัพยากรธรรมชาตินั่นอีกหรือ ?

นั่นไม่ใช่วิธีที่การต่อรองควรจะเกิดขึ้น !

แต่เหล่าระดับสูงก็ปฏิเสธที่จะบอกเขาว่าความลับอะไรที่ถูกซ่อนไว้ในเมืองนภาลัยราบ จื่อหลิงลิ่วนั้นลำบากยากเข็ญแม้กระทั่งจะจินตนาการว่าขอบเขตอยู่ที่ใด

มันทำให้เขาคับข้องใจเป็นอย่างมาก

“หากไม่มีทางอื่นแล้ว ทำไมอย่างน้อยถึงไม่ลองพาเหล่าทูตไปเยี่ยมเยียนเมืองนภาลัยราบสักหน่อยล่ะ” อู่เยว่มี๋กล่าวอย่างเป็นกันเองเมื่อนึกได้ว่านางเป็นผู้รับผิดชอบอาการปวดหัวของหัวหน้าทูต ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดถัดไปคือการไปเยือนเมืองนภาลัยราบ

“ท่านอู่เยว่มี๋ แม้ว่าท่านจะไม่สามารถบอกข้าว่าพวกเรากำลังตามหาอะไร ทุกคนก็รู้ถึงเรื่องที่ตระกูลหรงทรยศเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาจะต้องรู้ว่ามีบางอย่างแปลก ๆ หากพวกเราไปยังเมืองนภาลัยราบในตอนนี้” จื่อหลิงลิ่วพูดออกมาขณะที่ฟันขบกันแน่น

“พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้แม้ว่าพวกเขาจะรู้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร การลงทุนของพวกเราที่นั่นต้องถูกปิดบังไว้”

“การลงทุนแบบไหนกันล่ะนั่น !” จื่อหลิงลิ่วจ้องมองไปยังอู่เยว่มี๋ขณะที่เขาระเบิดความไม่พอใจออกมา

“ข้าบอกเจ้าไม่ได้” อู่เยว่มี๋กล่าวย้ำ

จื่อหลิงลิ่วพูดอย่างหมดหนทาง “งั้นอย่างน้อยเจ้าก็บอกข้าหน่อยว่ามันเกี่ยวข้องกับการทรยศของตระกูลหรงหรือไม่ ?”

อู่เยว่มี๋พึมพำกับตัวเอง ตกลงสู่ห้วงความคิด ก่อนจะพยักหน้า

เมื่อเขาเห็นนางยืนยันในการคาดการณ์ของเขา จื่อหลิงลิ่วรู้สึกราวกับว่าตอนนี้เขาสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ดียิ่งขึ้น

เขาก้าวเดินหน้าและถอยหลังซ้ำ ๆ อยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นข้าก็คิดออกเพียงทางเดียวเท่านั้น”

“พูด”

“สายข่าวของข้าบอกข้ามาว่าตระกูลจูพานักโทษเผ่าปักษาจากสงครามกลุ่มใหญ่ไปเมื่อไม่นานมานี้”

“ทำไมพวกเขาถึงต้องการนักโทษสงครามล่ะ ?”

“งั้นซูเฉินผู้ทำลายแผนการทั้งหมดของเราก็เป็นคนขอพวกเขา…… เขาต้องการทดลองพวกเราและเปลี่ยนพวกเราให้เป็นตัวทดลองด้วย”

“อะไรนะ ?” อู่เยว่มี๋แผดเสียงด้วยความเกรี้ยวกราด “ไอ้สารเลวนั่น !”

“เขามันสารเลวจริง ๆ แต่เขาก็น่าหวาดกลัวมากเช่นกัน” จื่อหลิงลิ่วถอนหายใจ

ด้วยตำแหน่งหัวหน้าทูต เขาติดตามสถานการณ์ในอาณาจักรของมนุษย์อย่างใกล้ชิดเสมอ นามของซูเฉินมีแต่จะโด่งดังขึ้น ดังนั้นแล้วหากเขาไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ของซูเฉินก็คงจะเป็นมลทินในชื่อเสียงของเขา

เพียงแค่การเอาเปรียบของซูเฉินในอาณาเขตของเผ่าคนเถื่อนก็เพียงพอจะทำให้เขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

ใครจะจินตนาการได้ว่าคนคนเดียวจะไม่เพียงสามารถช่วยเหลือกองทัพกำลังสวรรค์แต่ยังพลิกสถานการณ์ของเผ่าคนเถื่อนได้อีกด้วย ?

เขายังเป็นผู้ที่รบกวนสถานการณ์ในเมืองนภาลัยราบที่นำไปสู่เหตุการณ์ในตอนนี้อีกด้วย

เขาทำได้เพียงภาวนาว่าซูเฉินคนนี้จะไม่สร้างปัญหาให้กับเขาไปมากกว่านี้

จื่อหลิงลิ่วจึงพูดขึ้น “แม้ว่าเขาจะเป็นไอ้สารเลว เขาก็ให้โอกาสพวกเราในคราวนี้ พวกเราต้องให้เหตุผลกับเมืองที่จะไปยังเมืองนภาลัยราบ เหตุผลนี้แน่นอนว่าเป็นของปลอม พวกเราจึงใช้เหล่าเชลยได้แค่เป็นฉากหลังเท่านั้น”

อู่เยว่มี๋เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ “เจ้าต้องการให้พวกเขาคิดว่าการต่อรองของพวกเราคราวนี้นั้นทำเพื่อใครบางคนในเชลยเหล่านั้นหรือ ?”

จื่อหลิงลิ่วพยักหน้า “ใช่ ตัวอย่างเช่น นกขมิ้นเปลวเพลิงก็เป็นตัวเลือกที่ดี นางเป็นนักร่ายมนตร์ ด้วยตำแหน่งของนางแล้วการขอนี้ก็จะไม่ดูไร้เหตุผล และตัวนางยังอยู่ที่เมืองนภาลัยราบ การไปยังเมืองนภาลัยราบเพื่อซื้อตัวนกขมิ้นเปลวเพลิงกลับมานั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง และพวกเราคงไม่ต้องจ่ายแพงนักหรอก”

ทูตคือการโกหกอย่างมีศิลปะ การบอกคำโกหกที่ฟังดูดีและหลอกลวงฝ่ายตรงข้ามนั้นต้องใช้ความยืดหยุ่นและการเตรียมตัวมากมาย

ความสามารถของจื่อหลิงลิ่วในเรื่องนี้นั้นไม่น้อยทีเดียว

อู่เยว่มี๋ถอนหายใจขณะที่นางตอบกลับไปอย่างผิดคาด “เป็นข้อเสนอที่ดี แต่โชคไม่ดีที่มันเป็นไปไม่ได้”

“ทำไมล่ะ ?” จื่อหลิงลิ่วตะลึงงัน

“เมื่อวานผนึกศักดิ์สิทธิ์ของนกขมิ้นเปลวเพลิงหายไป นางได้กลับไปสู่พระแม่แล้ว”

“นางตายแล้ว ?” จื่อหลิงลิ่วนิ่งงันไปด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนี้

ทั้งซูเฉินและจูเฉินฮ่วนไม่รู้ว่านกขมิ้นเปลวเพลิงนั้นมีตะเกียงที่เชื่อมต่อกับนางอยู่ในหอพิธีกรรมเผ่าปักษา เผ่าปักษารู้ถึงการตายของนางทันทีที่นางสิ้นใจ

โชคดีที่ซูเฉินได้ยอมทิ้งแผนที่จะแปลงกายเป็นนกขมิ้นเปลวเพลิง ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกจับได้ในทันที

การเสียชีวิตของนกขมิ้นเปลวเพลิงทำให้จื่อหลิงลิ่วตกอยู่ในสภาพอึดอัดอีกครั้ง

จื่อหลิงลิ่วก้าวเดินหน้าและถอยหลังอีกขณะที่คิดออกมาเสียงดัง “หากพวกเราไม่สามารถใช้นกขมิ้นเปลวเพลิงเป็นข้ออ้างได้ งั้นพวกเราก็ต้องหาใหม่ ข้าไม่รู้ว่ามีผู้รอดชีวิตที่สำคัญกว่านี้อีกไหม……”

ในตอนนั้นเอง ชาวปักษาคนหนึ่งก็แจ้งข่าวมาจากด้านนอก “ท่านหัวหน้าทูต ?”

“มีอะไร ?”

“มีข่าวเพิ่มเติมจากเมืองนภาลัยราบ”

“ข่าวอะไร ?”

“พวกเขาต้องการซื้อเชลยเผ่าปักษาเพิ่มเพื่อทำการทดลอง เราควรหยุดพวกเขาไหม ?”

“ไม่ !” ทั้งจื่อหลิงลิ่วและอู่เยว่มี๋ตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

ด้วยความจำเป็นทางการเมืองแล้ว สามัญชนทุกคนก็คืออาหารสัตว์สำหรับซื้อขาย !