บทที่ 53 ราชาอีกา
กระบวนการจัดหาเชลยนั้นไหลลื่นเป็นอย่างมาก พวกเขาได้รับเชลยศึกจำนวนมากในราคาถูก และยังมีกระทั่งปรมาจารย์อาร์คาน่าปะปนอยู่จำนวนหนึ่งด้วย
คราวนี้พวกเขาทั้งคุณภาพดีและปริมาณมาก
ทั้งซูเฉินและจูเฉินฮ่วนนั้นพอใจเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่เพราะพวกเขาเสียเงินน้อยลง แต่เป็นเพราะพวกเขารู้ว่าเผ่าปักษาได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
เนื่องจากพวกเขาได้ทำนายการเคลื่อนไหวของเผ่าปักษาไว้แล้วพวกเขาจึงเป็นฝ่ายคุมเกม นี่เป็นเหมือนผู้เล่นสองในเกมไพ่นกกระจอกที่มีผู้เล่นคนหนึ่งเชื่อว่าพวกเขากำลังทำได้ดีในการซ่อนหมากไว้โดยไม่รู้ตัวว่ามีกระจกตั้งอยู่ด้านหลังตัวเอง
“ครั้งนี้พวกเราได้รับเชลยศึก 60 คน รวมเผ่าปักษาชั้นสูง เห็นได้ชัดทีเดียวว่าเผ่าปักษากำลังยอมถังแตกเพื่อนางพญานี่และเติมน้ำมันลงในกองไฟด้วยความตั้งใจของพวกเขาเอง ประโยชน์ของการซื้อเชลยจำนวนมากในราคาถูกเช่นนี้คือพวกเราสามารถสอบปากคำพวกเขาและตามหาสายลับมนุษย์ที่ขายตัวเองให้กับเผ่าปักษาได้ด้วย” จูเฉินฮ่วนกล่าว
ซูเฉินพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องดีแน่นอน แต่พวกเรายังไม่สามารถรับมือกับสายลับพวกนั้นได้ด้วยพวกเขาอาจรู้ตัวเสียก่อน”
“แน่นอน คนเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเฉินแล้วในตอนนี้” จูเฉินฮ่วนพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“งั้นก็ดี เมื่อพวกเชลยมาถึงแล้วบอกข้าด้วยนะ”
“ได้เลย แต่ซูเฉิน ข้ายังอยากให้เจ้าปล่อยการส่งต่อข้อมูลเป็นเรื่องของนักโทษเผ่าปักษามากกว่านะ”
“ข้าเข้าใจว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แต่จะดีกว่าหากเตรียมการไว้ ถูกไหม ?” ซูเฉินหัวเราะ
แม้ว่าเหล่าทูตจะสามารถไปถึงยังเมืองนภาลัยราบได้ พวกเขาก็อาจไม่สามารถรู้ถึงตำแหน่งของนางพญาได้ อย่างไรแล้วเรื่องก็ถูกตัดสินใจโดยนกขมิ้นเปลวเพลิง เผ่าปักษายังไม่ได้ตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะซุกซ่อนนางพญาไว้ที่ใด
ตอนนี้เมื่อนกขมิ้นเปลวเพลิงตายแล้วและไม่มีใครรู้ว่าตำแหน่งที่เก็บของนางพญาอยู่ที่ใด กลุ่มทูตจึงรู้เพียงแค่ว่านางพญานั้นอยู่ภายใต้เมืองนภาลัยราบใกล้กับเหมืองศิลาจันทร์ แต่ส่วนใดของเหมืองหรืออยู่ในด่านนั้นยังคงเป็นปริศนา
หากพวกเขาหาพบทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร แต่หากพวกเขาหาไม่พบ ใครบางคนจะต้องชี้ทางที่ถูกต้องกับพวกเขา
นี่คือจุดประสงค์ของเผ่าปักษาเหล่านี้
การแจ้งเตือนหรือชี้ทางแบบไหนกันที่พวกเขาจะใช้ ? สิ่งนั้นขึ้นอยู่กับซูเฉิน
คงจะมีเผ่าปักษามากมายที่จะสามารถระบุตัวซูเฉินได้อย่างง่ายดาย แต่เชลยเผ่าปักษาไม่มีความสามารถนั้น แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำได้ การปฏิบัติต่อพวกเขาเยี่ยงนักโทษนั้นก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถระบุตัวชายหนุ่มได้
แผนการของจูเฉินฮ่วนสร้างความเสี่ยงให้กับซูเฉินน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ซูเฉินจะไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังเมืองนภาลัยราบเพื่อแก้สถานการณ์ด้วยซ้ำ
จูเฉินฮ่วนได้คาดการณ์ถึงการเคลื่อนไหวของเผ่าปักษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ซูเฉินไม่
ใช่ แผนนี้ปลอดภัยมาก แต่ก็ลดความจำเป็นในการพัฒนาวิชาพรางตัวของซูเฉินลงไปไม่น้อยทีเดียว
ขอร้องล่ะ นี่ก็เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง เข้าใจหรือไม่ ?
เจ้าอาจสามารถจัดการทุกสิ่งได้ด้วยแผนการที่ดีและกระทั่งหลีกเลี่ยงข้อบังคับให้ข้าต้องพัฒนาวิชาปลอมกายโดยลดค่าใช้จ่ายของเจ้า แต่สิ่งที่เจ้ากำลังพยายามประหยัดคือสิ่งที่ข้าต้องการ !
ฝ่ายที่เป็นผู้ลงทุนจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนเสมอ ในขณะที่ฝ่ายรับการลงทุนนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มมันขึ้นไปโดยไม่สนว่าจะจำเป็นหรือไม่ก็ตาม
มันมักจะเป็นเช่นนี้เสมอไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายจะเหนียวแน่นเพียงไรก็ตาม
สิ่งนี้เรียกว่าความเห็นแก่ตัว
หากจะมองให้กว้างขึ้น ซูเฉินก็มีความจำเป็นในการมีส่วนร่วมเช่นกัน
ต้องบอกก่อนว่าการติดอาวุธและให้ที่อยู่อาศัยนั้นแตกต่างกันออกไปตามเผ่าพันธุ์ สิ่งที่เหมาะสมกับเผ่าปักษาอาจไม่เหมาะสมกับเผ่ามนุษย์เสมอไป
ยกตัวอย่างเช่น เผ่าปักษามีปีกพวกเขาจึงสามารถบินได้ ดังนั้นแม้ว่าเผ่าปักษาจะครอบครองตำหนักลอยฟ้า พวกเขาก็ไม่มีวัตถุบินได้ขนาดเล็กเลยแม้แต่น้อย เรือเคลื่อนเมฆานั้นเรียกได้ว่าหายากอย่างเหลือเชื่อในเผ่าปักษาเพราะไม่จำเป็นต้องใช้ ป้อมปราการลอยฟ้าสร้างขึ้นเพื่ออยู่อาศัยและใช้เป็นอาวุธทั้งหมด รวมถึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธบินได้ขนาดเล็กเช่นกัน ทำให้ไม่มีพื้นที่จอดเรือเคลื่อนเมฆาและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ก็น้อยลงไปด้วย กลับกัน ท่าเรือเคลื่อนเมฆานั้นจำเป็นอย่างมากสำหรับป้อมปราการมนุษย์ที่ใหญ่โตยิ่งกว่า
นอกจากนั้น เพราะเผ่าปักษาเป็นผู้สืบทอดวิชาโบราณอาร์คาน่า อาวุธและอุปกรณ์ของพวกเขาจึงมักจะสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ควบคู่กับวิชาอาร์คาน่าเสมอ
เมื่อปราการลอยฟ้าทำตามข้อเงื่อนไขเฉพาะของเผ่าปักษาสำเร็จแล้ว แม้ว่าซูเฉินจะสามารถควบคุมและใช้มันได้ มันก็จะไม่คุ้นเคยกับเขาอยู่ดี แต่หากว่าชายหนุ่มสามารถใช้งานมันได้กระทั่ง 8 ใน 10 ส่วนของพลังทั้งหมด… นั่นก็ถือได้ว่าน่าประทับใจมากแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงหวังว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนทิศทางของการพัฒนาปราการลอยฟ้านี้ให้ดีขึ้นได้ อย่างน้อยก็เพื่อให้เขาสามารถปรับปรุงมันได้ง่ายยิ่งขึ้นในอนาคต
จูเฉินฮ่วนนั้นต้องการให้เหล่าเชลยศึกเป็นผู้ส่งข่าวเกี่ยวกับนางพญาออกไป แต่ซูเฉินยังคงยืนยันที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง
หากฝนสถานการณ์นั้นมีความเป็นไปได้ เขาจะพยายามสุดฝีมือที่จะซึมซับไปกับเผ่าปักษา
จูเฉินฮ่วนพูดได้เพียงว่า “เพื่อนรัก ข้าได้ตอบรับคำขอและกำลังเดินทางมา ข้าไม่ได้ไม่เต็มใจที่จะแบ่งผลประโยชน์ให้กับเข้าหรอก แต่ซูเฉิน เจ้าต้องเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งพวกเขามีความสามารถมากเท่าไร พวกเขาจะยิ่งอยากโอ้อวดและแสดงมันออกมามากเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมันทรงพลังเป็นอย่างมาก เจ้าสามารถพัฒนาวิชาพรางตัวของเจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถหลอกได้กระทั่งปรมาจารย์อาร์คาน่าเผ่าปักษาได้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าจะไม่ถูกพบตัวเข้า วิธีการที่จะข้ามผ่านการคาดการณ์ของเจ้าไปนั้นมีอยู่เสมอ และจะมีอุบัติเหตุที่เจ้าไม่สามารถหยั่งรู้ได้ด้วยเช่นกัน หากเจ้ามุ่งมั่นที่จะลองวิชาใหม่นัก เจ้าจะรับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นและพาตัวเองไปอยู่ในความอันตราย นั่นคือสิ่งที่ข้ากังวลที่สุด”
กระบวนการคิดของชายแก่นั้นมีวุฒิภาวะสูงกว่าซูเฉินอย่างชัดเจน
เขาใส่ใจในความปลอดภัยของซูเฉินเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ผลประโยชน์เล็กน้อยที่เขาจะต้องเสียแต่อย่างใด
และคำพูดของเขาก็แบกความจริงบางส่วนไว้
หากคนคนหนึ่งได้รับวิชาบางอย่างมา การที่เขาต้องเก็บงำความลับไว้นั้นเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งนัก ทันทีที่ซูเฉินปลอมกาย เขาก็จะเข้าไปยังโลกที่แฝงไปด้วยอันตรายมากมาย
นั่นคือสิ่งที่จูเฉินฮ่วนหวั่นใจ
ซูเฉินเข้าใจสิ่งที่เขาพูดและหงกหัว “ข้าเข้าใจ ข้าจะระวังตัวให้ถึงที่สุด”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” จูเฉินฮ่วนถอนหายใจ
เขารู้ว่าซูเฉินนั้นตอบแค่พอเป็นพิธี แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้
การโหยหาความเสี่ยงของชายหนุ่มทำให้ผู้ใหญ่วิตกกังวลได้เสมอ จูเฉินฮ่วนคิดกับตัวเองว่าเขาคงจะเป็นเช่นนี้เมื่อครั้งอายุยังน้อยเช่นกัน
เหล่าทูตเผ่าปักษามาถึงยังเมืองนภาลัยราบใน 7 วันต่อมา
วันแรกที่ไปถึง พวกเขาก็ส่งคำทักทายไปยังตระกูลจูทันที
ทั้งจูเฉินฮ่วนและซูเฉินต่างไม่ปรากฏตัว จูอวิ๋นเยี่ยนเป็นผู้ถูกส่งมาต้อนรับพวกเขา
หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้ว จูอวิ๋นเยี่ยนก็กลับมาพบจูเฉินฮ่วนและเจอกับซูเฉินที่นั่งอยู่โดยกำลังพูดคุยกับบรรพชนอาวุโสอยู่
จูอวิ๋นเยี่ยนหัวเราะ “เจ้าทั้งสองดูผ่อนคลายดีนะ ส่วนข้าต้องแกล้งทำตัวจริงจังกับพวกเขาข้างนอก”
“เป็นอย่างไรบ้าง ?” จูเฉินฮ่วนถาม
“อย่างที่คาด พวกเขามาเพื่อจะขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และอ้างว่านกขมิ้นเปลวเพลิงนั้นกระทำด้วยตัวของนางเอง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็หวังว่าพวกเรานั้นใจกว้างพอที่จะไว้ชีวิตเชลยเผ่าปักษาบางส่วน… แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังตามหาตัวนางพญาต่างหาก”
ซูเฉินเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าพวกเขาไม่ได้เสนอราคาสูงนักหรอก”
จูอวิ๋นเยี่ยนขำ “เจ้าพูดถูก”
การช่วยเหลือเชลยนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ข้ออ้างที่พวกเขาเตรียมการมาแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะพบนางพญา การเจรจาจะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน จึงไม่มีทางที่จื่อหลิงลิ่วจะเริ่มต้นที่ราคาสูง ไม่เช่นนั้นเมื่อตระกูลจูตอบตกลงพวกเขาจะเหลือเหตุผลอะไรอีก ? พวกเขาจะเหลือทางเพียงแค่อาบน้ำและกลับบ้านไปนอน
หากจะพูดอย่างจริงจัง แผนของเผ่าปักษานั้นไม่ได้มีข้อผิดพลาดใด เพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาพลาดคือการมีอยู่ของนางพญาได้ถูกเปิดเผย ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวอย่างลึกลับเพียงไรจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหลอกลวงฝ่ายอื่นสำเร็จ
บางครั้งกระทั่งแผนการที่เยี่ยมยอดที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่หลุดรั่วออกไปแล้ว สถานการณ์นี้ไม่ได้ยุติธรรมแต่แรกเริ่ม และความล้มเหลวของเผ่าปักษาก็ถือว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
สำหรับซูเฉินและจูเฉินฮ่าวแล้ว ศึกที่แท้จริงนั้นตามมาทีหลัง
แต่ก่อนหน้านั้น วินาทีที่ซูเฉินรอคอยอย่างยาวนานก็ได้มาถึงแล้ว
จูเฉินฮ่วนได้ส่งจูเซียนเหยาไปเพื่อเรียกเขา
และในทันทีที่ชายหนุ่มเข้ามาถึงห้องของจูเฉินฮ่วน เขาก็เห็นชายหัวล้านคนหนึ่งนั่งอยู่ภายในห้องกับจูเฉินฮ่วน ชายแก่คนนั้นค่อนข้างเตี้ยและเคราของเขายาวเป็นพิเศษ แต่ที่น่าตกใจคือมือซ้ายของเขานั้นมีขนาดเล็กจิ๋วในขณะที่แขนซ้ายกลับมีขนาดปกติ มือนั้นดูราวกับมือของเด็กน้อยที่ทั้งนุ่มนวลและละเอียดอ่อน
ซูเฉินตกตะลึงเมื่อเขาเห็นมือนี้
เมื่อคนคนหนึ่งไปถึงยังด่านสู่พิสดาร แทบทุกความผิดปกตินั้นสามารถรักษาได้ ดังนั้นแล้วสำหรับผู้ทรงพลังที่มีความผิดปกติเช่นนี้หมายความว่ามีความแข็งแกร่งบางอย่างที่เหนือความคาดหมายซ่อนอยู่เบื้องหลังมัน
นี่มันไม่ใช่ความเป็นไปได้ มันคือข้อเท็จจริง !
เมื่อเขาเห็นซูเฉินปรากฏตัวขึ้น จูเฉินฮ่วนก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาอีกต่อไป เขากล่าวขึ้น “นี่คือเหล่าเฟิง คนที่ข้าเชิญมา เจ้ายังไม่ได้ทักทายเขาหรือ ?”
ซูเฉินรีบรุดโค้งคำนับเพื่อทักทาย “ซูเฉินคำนับเหล่าเฟย !”
ขณะที่เขามองไปยังเฟิงอันหยานั่นเอง เขาก็พูดขึ้น “…นามสกุลเฟิง เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเมืองหุบผากล่องหรือไม่ ?”
เฟิงอันหยาตอบอย่างสงบเงียบ “เฟิงจู่อิ่งเป็นหลานของข้า ถ้าเขายังนับข้าเป็นลุงสองน่ะนะ”
ซูเฉินเข้าใจได้ในทันที
เฟิงจู่อิ่งคือจักรพรรดิของอาณาจักรวายุโหมคนปัจจุบัน
ซูเฉินเคยได้ยินมาว่าเกิดกบฏขึ้นในอาณาจักรวายุโหม ผู้อาวุโสสองของตระกูลเฟิงพยายามจะช่วงชิงมงกุฎมาแต่ก็ล้มเหลว ทว่าเขาไม่ตายและหลบหนีไปยังอาณาจักรอื่น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเฟิงอันหยาคนนี้นี่เอง
เมื่อเค้าคิดได้ดังนั้น ซูเฉินก็รีบร้อนกล่าว “สวัสดีราชาอีกา !”
เฟิงอันหยาถูกขนานนามว่าราชาอีกาไม่เพียงเพราะชื่อของเขามีอักษรคำว่า ‘อีกา’ อยู่แต่ยังเพราะทักษะแต่กำเนิดของเขาอีกด้วย อย่างไรแล้วสายเลือดของเขาก็คืออีกาฉกาจ
สายเลือดเทพอสูรแห่งอาณาจักรวายุโหมคือพายุกรรโชก เช่นเดียวกันกับลั่วโหยวและการควบคุมสายน้ำของมัน พายุกรรโชกครอบครองพลังแต่กำเนิดในการควบคุมสายลม เมื่อคนหนึ่งฝึกฝนสายเลือดไปจนถึงขีดจำกัดแล้ว พวกเขาจะสามารถสร้างภาพลวงตาของเทพอสูรซึ่งมีฤทธิ์เดชและพละกำลังมหาศาลขึ้นมาได้
ซูเฉินพูดถึงชื่อนี้ขึ้นมาเพื่อเอาใจเฟิงอันหยาสักเล็กน้อย
แต่เฟิงอันหยากลับสายหัวและกล่าวอย่างผิดคาด “เจ้าไม่ต้องพูดถึงชื่อราชาอีกาหรอก ครั้งหนึ่งข้าฝึกฝนจนถึงจุดที่ข้าสามารถสร้างอีกาฉกาจขึ้นได้ ข้าคิดว่าข้านั้นไร้เทียมทานและไปท้าทายเฟิงจู่อิ่ง ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะสร้างยักษ์ฉกาจขึ้นและทุบทำลายอีกาฉกาจของข้าจนแหลกละเอียด เขาไม่ได้ปลิดชีพข้าแต่ไล่ข้าออกมาจากอาณาจักรแทน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อ ‘ราชาอีกา’ ก็ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป”
ซูเฉินตะลึงงัน “หรือว่าจะเป็น…..”
“ใช่ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เคยสร้างอีกาฉกาจของข้าได้สำเร็จอีกเลย เฟิงจู่อิ่งใช้วางผนึกสายเลือดไว้ภายในร่างกายข้า ทำให้ข้าไม่สามารถผลุกพลังที่แฝงอยู่ในสายเลือดของข้าได้อีกต่อไป นี่ยังเป็นเหตุผลที่ข้าเดินทางมาไกลถึงที่นี่… ซูเฉิน เจ้าเป็นถึงปราชญ์ชาญโลกและผู้รับผิดชอบการพัฒนาการฝึกฝนวิชาไร้สายเลือด หากเจ้าสามารถช่วยข้าลบล้างผนึกนี้ได้ ข้าจะแก้ปัญหาของเจ้าอย่างสุดความสามารถเลย”
เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ความคิดแรกของซูเฉินคือ ‘เวรเอ๊ย เหมือนว่าข้าจะต้องจ่ายให้สิ่งนี้สินะ !’
จูเฉินฮ่วนก็ดูประหลาดใจไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าเขาก็คาดไม่ถึงความคิดของเฟิงอันหยาเช่นกัน
ไม่น่าล่ะเด็กเหลือขอนั่นถึงตกลงทันทีและไม่ถามถึงราคาด้วยซ้ำ เขารอคอยที่จะขอความช่วยเหลือจากซูเฉินมาโดยตลอดนั่นเอง !