บทที่ 54 ปีกฉกาจ
เฟิงอันหยานอนลงบนเตียงภายในห้องทำงานวิจัยขณะที่ซูเฉินตรวจสอบร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง
ด้วยความช่วยเหลือของเนตรมองโลกจุลภาค ความลับในร่างกายของเฟิงอันหยาก็ได้ถูกตีแผ่ เพราะเขาให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ความลับที่อยู่ลึกลงในด่านหยั่งรู้ฟ้าดินก็ถูกซูเฉินกลั่นกรองด้วยเช่นกัน
นี่คือผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน !
ซูเฉินยังคงอยู่ในด่านสู่พิสดารและเพราะเขามัวยุ่งกับการทำวิจัยจนเขาไม่มีเวลาที่จะฝึก ณ จุดนี้เขาจึงยังมีเพียงแค่ 3 แท่งบงกช แน่นอนว่าเขาสามารถซึมซับพลังต้นกำเนิดโดยตรงด้วยความช่วยเหลือของเนตรมองโลกจุลภาค ความรวดเร็วในการฝึกของเขาจึงเป็นไปได้อย่างว่องไวหากต้องการ แต่ชายหนุ่มก็ยังห่างไกลกระทั่งเพียงนึกถึงการจะเข้าสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินอีกมาก
ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้อาสาตัวเองต่อหน้าซูเฉิน นี่เป็นโอกาสที่น่าเหลือเชื่อสำหรับซูเฉิน
ในวินาทีนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของเขาทันที ขณะที่ชื่อเสียงของเขากำลังแพร่กระจายออกไปทั่ว คงจะมีคนจำนวนมากขึ้นที่ตามหาตัวเขาและปัญหาที่ตามมาก็จะมากขึ้นด้วยเช่นกัน ในอนาคตเขาอาจไม่จำเป็นต้องใช้เชลยเป็นตัวทดลองอีกต่อไป จะต้องมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่เต็มใจจะเสนอตัวเป็นตัวทดลองเสียเอง
นี่คือกรณีของเฟิงอันหยา
เห็นได้ชัดว่านี่คือการตกลงที่ดีที่สุด
เฟิงอันหยาวิตกกังวลเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นซูเฉินมองมายังตนอย่างเงียบเชียบ “คิดว่าอย่างไรล่ะ ?”
ซูเฉินเป็นผู้กุมอำนาจที่ดีที่สุดทางด้านยาและสายเลือดที่เขาจะหาได้ หากกระทั่งซูเฉินยังบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ เฟิงอันหยาก็คงจะหมดสิ้นซึ่งความหวัง
เขาเห็นซูเฉินส่ายหัวและถอนหายใจออกมา
เฟิงอันหยารู้สึกได้ว่าหัวใจของเขากำลังเย็นยะเยือกขึ้น
งั้นมันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับปราชญ์ชาญโลกหรือ ?
ซูเฉินกล่าว “สมกับเป็นงานของผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันจริง ๆ แม้ว่าผนึกนี้จะโดนแค่ครั้งเดียว มันก็ดีกว่าผนึกที่ทำจากการโจมตีนับหมื่นครั้ง และยังมีความลับมหาศาลที่บรรจุอยู่ลึกข้างใน ข้ารู้สึกราวกับว่าสายตาของข้าได้แผ่ขยายกว้างขวางออกไป”
เฟิงอันหยาตกใจ “นั่นคือเหตุผลที่เจ้าส่ายหัวหรือ ?”
“ใช่” ซูเฉินยังคงถอนหายใจต่อไปขณะที่ส่ายหัวของเขา “มันสวยงามเกินไปจริง ๆ”
เฟิงอันหยาแทบจะกระอักเลือดออกมาท่วมปาก “งั้นเจ้าสามารถรักษามันได้ไหม ?”
“โอ้ ข้าควรจะทำได้ แต่มันจะใช้เวลาหน่อยนะ”
เฟิงอันหยาดูฮึกเหิมขึ้น “ข้ารอวันนี้มานานถึง 60 ปีแล้ว รออีกไม่กี่ปีจะเป็นไรไป ?”
“อีกไม่กี่ปี ?” ท่าทีแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูเฉิน “ข้าหมายถึง 3 วันต่างหาก”
“โอ้” เฟิงอันหยาสะท้านขณะที่เขาจ้องมองซูเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา
3 วัน !?
ข้าออกตามหาหนทางแก้อุปสรรคนี้มาหลายสิบปี แต่เจ้าสามารถแก้มันได้ภายใน 3 วัน ?
ซูเฉินรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรและพูดออกมาตามเดิม “ถ้าเจ้ามีทักษะที่ใช่ การรักษาจะเร็วขึ้นมาก”
ผนึกของเฟิงจู่อิ่งนั้นประณีตอย่างเหลือเชื่อแต่ความซับซ้อนของมันยังไม่เพียงพอที่จะหลอกเนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉินได้ ข้อได้เปรียบที่สุดของซูเฉินคือเขาสามารถมองโครงสร้างของผนึกนี้ได้ คนส่วนมากจะต้องมองสิ่งนี้ในระดับจุลภาคดูราวกับคนตาบอดที่พยายามจะนำทางในเขาวงกต มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาเพื่อให้ได้ความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย หากจะมองภาพรวมทั้งหมดคงไม่ต้องพูดถึง
แต่ซูเฉินกำลังมองจากมุมสูง เขาสามารถมองเห็นวงกตทั้งหมดและกระทั่งทางเลี้ยวที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่สุดก็ไม่อาจหลอกเขาได้ เมื่อรวมเข้ากับการคำนวณที่เก่งกาจของผลึกวิญญาณ ผนึกนี้ก็เป็นสิ่งที่ซูเฉินสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ที่จริงแล้วซูเฉินคงจะใช้เพียงครึ่งชั่วยามในการแก้ไขมันด้วยซ้ำ
เขาบอกไปว่า 3 วันแต่เพียงเพราะเขาต้องการตรวจสอบร่างกายของชายแก่แบบฟรี ๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงด่านทะลวงจิตวิญญาณ เขาก็สามารถแก้อุปสรรคแทบทั้งหมดที่ถ่วงเขาไม่ให้ไปถึงด่านทะลวงจิตวิญญาณได้ การทะลวงด่านจะเกิดขึ้นไม่เร็วก็ช้า จึงไม่เสียหายอะไรหากเขาจะสอดส่องด่านหยั่งรู้ฟ้าดินสักหน่อย
3 วันผ่านไป ซูเฉินก็สามารถเข้าใจร่างกายของเฟิงอันหยาทั้งหมดทั้งภายในและภายนอก เขาใช้เวลามากเกินไปในการวิเคราะห์สายเลือดของเฟิงอันหยาอย่างเห็นได้ชัดและได้เก็บขวดเลือดมากมายก่อนที่จะช่วยเฟิงอันหยาจัดการกับผนึกในที่สุดอีกด้วย
เมื่อผนึกนั้นถูกลบล้างแล้ว เฟิงอันหยาก็ไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นในใจได้อีกต่อไป เขาแหงนหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงดีใจลั่นขณะที่รังสีความรุนแรงเริ่มแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขาในทันที
ซูเฉินมองอีกายักษ์สีดำปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเฟิงอันหยา มันพุ่งขึ้นไปในอากาศและทะลุผ่านหลังคาไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้สักนิด เมื่อมันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเบื้องบน มันก็ก่อเป็นร่างจริงขึ้น ในเวลาเดียวกันกับที่อีกาดำมีตัวตนขึ้น ร่างของเฟิงอันหยาก็เริ่มจางหายไป
เมื่อเขาหายตัวไป อีกายักษ์ก็บินขึ้นในอากาศพร้อมกับคำราม “ข้า เฟิงอันหยา กลับมาแล้ว ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า !”
เสียงของกาตัวนั้นระเบิดออกและสะท้อนไปทุกทิศทางเพื่อให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองได้ยิน
แต่ในวินาทีต่อมา อุ้งมือจิ้งจอกสีเลือดพลันฟาดลงบนหัวของอีกาและพูดขึ้น “หยุดตะโกนซะเจ้าโง่ ! เจ้าพยายามจะทำให้ทุกคนในเมืองกลัวจนสิ้นใจหรือไง ? กลับไปเป็นร่างเดิมเดี๋ยวนี้ !”
เฟิงอันหยารู้ตัวว่าเขาได้สูญเสียตัวตนไปท่ามกลางความตื่นเต้น เขาพุ่งขึ้นไปในอากาศอีกหนึ่งครั้งก่อนจะสลายภาพลวงตาและปรากฏตัวขึ้นใหม่ในห้องของซูเฉิน เขาโค้งคำนับอย่างซึ้งใจกับซูเฉินและพูดขึ้น “ขอบคุณมาก ๆ คุณชายซูที่ช่วยเหลือข้า !”
ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ของผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน การโค้งคำนับต่อซูเฉินครั้งนี้นั้นถือว่าเป็นหลักฐานของความซาบซึ้งใจด้วยความกตัญญูของเขา
จูเฉินฮ่วนนั้นมาถึงยังห้องวิจัยของซูเฉินและตบเฟิงอันหยาเข้าที่หัว “เจ้าอันธพาลแก่ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าครั้งนี้พวกเรากำลังทำภารกิจลับ ตอนนี้เมื่อเจ้าสร้างความโกลาหลไปแล้ว คนอื่นก็รู้กันหมดว่าเจ้าอยู่ที่นี่ แล้วพวกเราจะทำภารกิจต่อยังไง ?”
การเคลื่อนไหวของเฟิงอันหยาได้ส่งไปถึงเผ่าปักษาอย่างแน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้มาที่เมืองนภาลัยราบแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาทำไม มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่สงสัยเมื่อนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ยิ่งมีความซับซ้อนน้อยย่อมดีกว่าซับซ้อนมาก แต่เฟิงอันหยาก็ก่อความวุ่นวายขึ้นอย่างทันควัน จะไม่ให้จูเฉินฮ่วนโกรธได้อย่างไร ?
ซูเฉินก็กังวลเล็กน้อย “มีคนเท่าไรที่รู้ถึงวิชาของเหล่าเฟิง ?”
เฟิงอันหยาเกาหัวตัวเอง “เทพอสูรวายุโหมไม่มีร่างแต่กำเนิดและสามารถเปลี่ยนร่างได้ตามใจชอบ สำหรับผู้ที่ไม่รู้ถึงความสามารถในการเปลี่ยนร่างของข้าจะรู้จักข้าได้นั้นไม่ค่อยมีความเป็นไปได้หรอก……”
ท่าทางของซูเฉินและจูเฉินฮ่วนดิ่งลงพร้อมเพรียงกัน
บัดซบ ! พวกเราเชิญเจ้ามาเพื่อช่วยข้าแก้ปัญหาวิชาปลอมกายของข้า แต่เจ้ากลับเปิดเผยตัวตนก่อนจะแก้ปัญหาได้เสียอีก หากเผ่าปักษาเตรียมการรับมือทักษะของสายเลือดวายุโหมแล้ว ซูเฉินจะหลอกตาด้วยการปลอมตัวได้อย่างยากเย็นเป็นแน่
ไม่มีหรอกสิ่งที่เรียกว่าวิชาไร้เทียมทาน
สายเลือดอสูรพันหน้าของเฮ่อซู่และสายเลือดวายุโหมของตระกูลเฟิงต่างก็มีเอกลักษณ์และวิธีการพิเศษเป็นของตัวเองที่พวกเขาสามารถถูกมองทะลุได้ จูเฉินฮ่วนได้วางแผนในการหลอมรวมสายเลือดวายุโหมและสายเลือดอสูรพันหน้าเข้าด้วยกันเพื่อโกงเผ่าปักษา แต่ตอนนี้แผนการนี้ก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
เฟิงอันหยาก็ชะงักไปเช่นกัน เขาไม่ได้คาดคิดว่าสถานการณ์จะตึงเครียดเช่นนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ เขาก็ถามขึ้น “ใคร…… เจ้าพยายามจะหลอกใครกัน ?”
จูเฉินฮ่วนบอกเขาเพียงว่าให้เพิ่มพลังวิชาการปลอมกายของซูเฉิน แต่ไม่ได้บอกว่าทำไม
จูเฉินฮ่วนกลอกตา “ยังจะต้องถามคำถามนี้ไปทำไมอีกล่ะ ?”
เฟิงอันหยาลูบด้านหลังหัวของเขา “ถ้าข้ารู้ว่าเป้าหมายที่เจ้าต้องการหลอกเป็นใคร ข้าอาจยังสามารถหาทางออกได้”
ซูเฉินและจูเฉินฮ่วนต่างก็มองอีกฝ่าย
ในท้ายที่สุด ก็เป็นซูเฉินที่พูดขึ้น “เผ่าปักษา”
“เผ่าปักษา ? เจ้าอยากจะเป็นเผ่าปักษา ?” เฟิงอันหยาตกตะลึง
“ข้าต้องไปยังอาณาเขตของเผ่าปักษาเพื่อจัดการอะไรบางอย่าง ข้าจึงต้องรับบทบาทเป็นเผ่าปักษาด้วย”
เฟิงอันหยาจับจ้องซูเฉินอย่างไม่อยากเชื่อและสั่นสะท้านโดยความกล้าหาญของเด็กหนุ่ม “ตอนนี้เผ่าปักษาอยู่ในเมืองนภาลัยราบหรือ ?”
“ใช่แล้วล่ะ และพวกเขาก็คงจะรู้แล้วว่าเจ้าอยู่ที่นี่เช่นกัน”
เฟิงอันหยาถอนหายใจเฮือกใหญ่
หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ขบฟันแน่นและพูดอย่างเฉียบขาด “ก็ได้ คิดเสียว่าข้าโชคร้าย ความผิดข้าเองที่ข้าควบคุมตัวเองไม่อยู่ นี่สำหรับเจ้า !”
ภาพของอีกาตัวใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้เล็กกว่ามาก พอ ๆ กับมนุษย์ทั่วไป
อีกาฉกาจตัวนี้กลายเป็นร่างกายจริง แต่เฟิงอันหยาไม่ได้หายตัวไปจนหมดในครานี้ ร่างของเขากลับมีขนาดเล็กจิ๋วลงแทน แล้วเขาก็เอื้อมไปข้างหลังและออกแรงดึงปีกของอีกาฉกาจออกจากหลังของมัน อีกาฉกาจโก่งหลังด้วยความเจ็บปวดและกระทั่งเฟิงอันหยาก็ร่วงลงบนพื้นเพราะความปวดร้าว อีกาฉกาจนี้สร้างขึ้นจากสายเลือดของเขาและเห็นส่วนหนึ่งของเขา เขาจึงได้รับบาดเจ็บไปพร้อมกับมันด้วย ความเจ็บปวดจากการฉีกทึ้งปีกออกนั้นไม่เบาเลย มันทำร้ายทั้งร่างกาย จิต และแหล่งพลังต้นกำเนิดของเขาไปพร้อม ๆ กัน
“ราชาอีกา เจ้ากำลังทำอะไร ?” ซูเฉินชะงักเพราะการกระทำของเขา
เฟิงอันหยาตัวสั่นเทาขณะที่เขายื่นปีกสีดำคู่นั้นมาให้ “รับพวกมันไป ด้วยปีกคู่นี้เจ้าจะสามารถใช้ตัวตนเป็นเผ่าปักษาได้โดยไม่ต้องเกรงกลัว”
จูเฉินฮ่วนก็ชะงักไปเช่นกัน “เฒ่าเฟิง เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? นี่มันทักษะประเภทไหนกัน ?”
“นี่ไม่ใช่ทักษะเสียหน่อย !” เฟิวอันหยาคำราม “ปีกคู่นี้สกัดมาจากแก่นสายเลือดของข้า หลังจากที่สายเลือดของข้าไปถึงยังการบรรลุขั้นยิ่งใหญ่ ข้าก็ได้รับความสามารถในการปรับเปลี่ยนภาพลวงตาของข้าให้มีร่างจริงได้ และปีกคู่นี้ก็กลายเป็นของจริง ! ข้อแตกต่างกันที่สุดระหว่างพวกเราและเผ่าปักษาคือปีกพวกนี้ จะไม่มีเผ่าปักษาคนใดดูออกว่าเจ้าเป็นตัวปลอมด้วยปีกคู่นี้เพราะพวกมันมีอยู่จริง แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันที่อวัยวะภายใน แต่พวกมันเล็กน้อยมากและพวกเขาคงจะไม่ผ่าตัวเจ้าเข้าไปดูหรอก ตราบใดที่เจ้าดูแลตัวเองให้ดี เจ้าก็สามารถกลายเป็นเผ่าปักษาได้”
ทั้งซูเฉินและจูเฉินฮ่วนต่างก็ตกใจ
ซูเฉินพูด “เหล่าเฟิง……”
แม้แต่เขาก็ต้องซาบซึ้งใจในการกระทำของเฟิงอันหยา
“รีบเข้าและรับมันไป !” เฟิงอันหยาคำราม “ทำไมเจ้าถึงอ่อนไหวนักล่ะ อีกาฉกาจตัวนี้มาจากสายเลือดของข้า ข้าค่อยสร้างตัวใหม่ขึ้นมาก็ได้ ไม่มีอะไรให้รู้สึกแย่ทั้งนั้น”
แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าการจะก่อภาพลวงตาขึ้นนั้นแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงสายเลือดที่แท้จริงอยู่มากโข
การจะสร้างภาพลวงตาใช้เพียงพลังต้นกำเนิดและพลังสายเลือด ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสายเลือดจะใช้สายเลือดนั้นเอง การกระทำของเฟิงอันหยาได้ลดระดับความแข็งแกร่งสูงสุดของเขาและจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษในการรักษาฟื้นฟูให้หายดี
ราวกับรู้ว่าตนไม่สามารถแก้สถานการณ์แบบผ่าน ๆ ได้ เฟิงอันหยาได้วางปีกฉกาจไว้ในมือของซูเฉินพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าต้องเตือนท่านว่ามีแค่ปีกเท่านั้นที่เป็นของจริง พวกมันจึงไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องของรูปโฉมได้ ดังนั้นหากเจ้าปลอมเป็นร่างอื่น พวกเขาอาจยังสามารถมองทะลุการปลอมกายของเจ้าได้ แต่ตราบใดที่เผ่าปักษาเหล่านั้นไม่เคยเห็นใบหน้าจริงของเจ้ามาก่อน พวกเขาก็จะคิดเพียงว่าเจ้าเป็นเผ่าปักษาที่มาจากรังอื่น ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นเป็นมนุษย์”
“นั่นก็มากเกินพอแล้วละ” ซูเฉินตอบ
เพราะเขาได้เตรียมการเป็นอย่างดีมาก่อนหน้าแล้ว ซูเฉินจึงหลีกเลี่ยงการพบกับเหล่าทูตเพื่อไม่ให้พวกเขาเห็นใบหน้าจริงของซูเฉิน ขั้นตอนต่อไปคือคิดหาวิธีการที่จะแอบเข้าไป