ตอนที่ 380 แก้วที่แตก ต่อยังไงก็ไม่เหมือนเดิม

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่อวี้หันกลับแล้วเดินออกไป 

 

 

เฮ่ออีที่คอยมองเข้าไปในเรือนเป็นระยะๆ เห็นหวงฝู่อวี้เดินออกมา ก็ตกใจเป็นอย่างมาก เหตุใดคุณชายรองถึงออกมาไวเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่า คิดไปคิดมา ก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอะไร หวงฝู่อวี้ก็สั่งด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูหลิน เจ้ารีบไปตามหมอหลวงเจียงมาเดี๋ยวนี้” 

 

 

เฮ่ออีตกใจเงยหน้าขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย คุณชายรองห้ามใจจนอารมณ์เสียหรืออย่างไร เหตุใดถึง… … 

 

 

เขายังคิดไม่ทันจบ เสียงของหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ยังจะนิ่งอยู่ทำไม รีบไป!” 

 

 

เฮ่ออีได้สติ ตอบรับ แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

หวงฝู่อวี้เดินออกไป ได้ยินเสียงครวญครางของหงเอ๋อร์ ก็ขมวดคิ้ว แล้วเดินไปดูที่ห้องข้างๆ ดูเสร็จก็เดินไปที่หน้าประตู สั่งกับสาวใช้ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูว่า “พาหงเอ๋อร์ไปที่ห้องอาบน้ำ แล้วให้นางแช่น้ำเย็นเสีย” 

 

 

พูดจบ ก็เดินไปที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน 

 

 

บ่าวรับใช้มองเขาที่หายไปจากทางเดินด้วยสายตาที่ประหลาดใจและไม่เข้าใจ แล้วถึงจะได้สติ กลับไปทำหน้าที่ของตนเอง 

 

 

มาที่เรือนหวงฝู่อี้เซวียน หวงฝู่อวี้ก็ไม่รอช้า เดินเข้าไปโดยทันที ไม่มีการทักทาย แล้วเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ด้านใน  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนที่กำลังรอฟังข่าวจากเขา เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา ก็ถอนหายใจหนึ่งเฮือก แท้จริงแล้ว คุณชายรองแห่งจวนอ๋องจะรับอนุอีกคนหนึ่งเข้ามาในเรือนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ไม่ควรมาจากการวางแผนและบังคับกันเช่นนี้  

 

 

เมื่อเงยหน้ามองไปที่เขาก็เห็นว่าที่คอของเขายังมีรอยแดง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้น เดินไปเปิดกล่องออกแล้วหยิบชุดเข็มเงินออกมา  

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็เคร่งขรึม เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปนออกมาอย่างเห็นได้ชัด นังหลินหันเยียนผู้นี้ ถึงขั้นใส่ยาปลุกกำหนัดให้กับอวี้เอ๋อร์ ขนาดยาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังเอาไม่อยู่  

 

 

หวงฝู่อวี้รู้สึกว่าความร้อนในร่างกายของตนเองเริ่มกลับมาอีกครั้ง เกรงว่าเดี๋ยวจะทำเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสม ยังไม่ทันพูดอะไร ก็รีบเดินออกไปทันที  

 

 

“หยุด!” หวงฝู่อี้เซวียนพูด  

 

 

หวงฝู่อวี้หันกลับมา ปากสั่นไม่ได้พูดอะไร  

 

 

“นั่งลง!” เมื่อเห็นว่าจะต้องถอดเสื้อขึ้น แล้วให้เมิ่งเชี่ยนโยวฝังเข็มให้กับเขา หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ค่อยพอใจนัก ในน้ำเสียงมีความไม่พอใจซ่อนอยู่  

 

 

แล้วหวงฝู่อวี้ก็พูดออกมาด้วยความทรมาน “พี่ใหญ่ ข้า… …” 

 

 

“นั่งลง!” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกแกมบังคับใส่เขาอีกครั้ง 

 

 

แม้ว่าหวงฝู่อวี้จะไม่ค่อยรู้ตัวแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกนึกคิด ได้ยินดังนั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้  

 

 

“หันหลัง” หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังให้เขา  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนขึ้น เดินไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วถอดเสื้อชั้นนอกของเขาออก ถกเสื้อขึ้นไปล้อมรอบเอวของเขาเอาไว้ แล้วถึงจะพูดว่า “เสร็จแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมา เดินมาหาทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว เอาชุดเข็มวางบนโต๊ะ เปิดออกแล้วหยิบเข็มเล่มที่ยาวที่สุดออกมาหนึ่งเล่ม แล้วเริ่มฝังเข็มให้กับหวงฝู่อวี้  

 

 

จนกระทั่งตัวของหวงฝู่อวี้มีเข็มฝังรอบจนเหมือนกับตัวเม่น ร่างกายของหวงฝู่อวี้ก็ค่อยๆ สบายขึ้น เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เจ้าเม่น อารมณ์ไม่ดีของเขาก็ค่อยๆ หายไป 

 

 

ฝังเข็มเสร็จ หน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เหงื่อแตก หวงฝู่อี้เซวียนจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้นางอย่างเบามือ หลังจากนั้นก็เตะไปที่ขาของหวงฝู่อวี้ แล้วพูดว่า “ถ้าวันหลังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ก็ไปให้ไกลๆ อย่ามาที่เรือนของข้า” 

 

 

มาตอนนี้ ยังดีที่เขาอยู่ที่เรือน ถ้าหากเขาไม่อยู่ล่ะก็ พอนึกภาพเมิ่งเชี่ยนโยวฝังเข็มให้กับเขาสองต่อสองแล้ว หน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดำเมือด แล้วมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกาย  

 

 

หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกได้จนตัวสั่น แล้วรีบพูดว่า “พี่ใหญ่ ไม่แล้วขอรับ ข้าจะไม่โง่โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้อีกแล้วขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ใจเย็นลง แสยะยิ้มออกมา ฝืนมือที่จะตีเขาเอาไว้ แล้วถามว่า “แล้วตอนนี้เจ้าไม่โง่งั้นหรอกรึ” 

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่โต้ตอบ แต่ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจเขา ลากเมิ่งเชี่ยนโยวออกมานั่งที่เก้าอี้  

 

 

“แล้วนางล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม  

 

 

รู้ได้ว่าเขาถามถึงหลินหันเยียน หวงฝู่อวี้ก็เงยหน้าขึ้น แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ “ชนกำแพงฆ่าตัวตายไปแล้ว” 

 

 

“ไม่ตาย?” เป็นเรื่องที่คาดคิดเอาไว้อยู่แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความสงสัย 

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ส่ายหน้าฝืนยิ้มออกมาว่า “นางรักตัวกลัวตาย ไม่ได้เป็นอะไรมากขอรับ” 

 

 

“ดูชัดเจนแล้วงั้นรึ” ถามซ้ำ  

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่พูดอะไร สีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความละอายใจมากกว่าเดิม 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขา ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม ไม่เห็นใจเลยสักนิด  

 

 

หวงฝู่อวี้รับไม่ได้กับสายตาเช่นนี้ เลยก้มหน้าลง 

 

 

“คิดจะจัดการอย่างไร” 

 

 

หวงฝู่อวี้ก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “ส่งนางกลับไปที่จวนหลิน นับแต่นี้ต่อไป พวกเราไม่ติดค้างต่อกัน ไม่มีเยื่อใยต่อกันอีก” 

 

 

“คิดดีแล้วงั้นรึ” 

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้า สีหน้าเฉยชา ไม่มีความกังวลหรือเสียดาย หรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด 

 

 

“เมื่อใด” 

 

 

“ข้าส่งคนให้ไปตามหมอหลวงเจียงแล้ว หากนางปลอดภัย หลังจากทำแผลเสร็จก็จะส่งนางกลับไปทันที” 

 

 

บทสนทาจบลงในห้องที่เงียบสงัด  

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หมอหลวงเจียงก็สะพายกระเป๋ายามาขอเข้าพบ  

 

 

เมื่อเห็นว่าหวงฝู่อวี้อยู่ด้วยเลยชะงักไป แล้วทำการโค้งคำนับทั้งสามคน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย คุณชายรอง” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเล็กน้อย หวงฝู่อวี้มองไปที่เขาด้วยความเฉยชา  

 

 

“นางเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

หมอหลวงเจียงรายงานตามจริง “ตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ว่านางเสียเลือดไปเยอะ จะต้องพักฟื้นสักระยะขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว มองไปที่หวงฝู่อวี้ 

 

 

หวงฝู่อวี้เม้มปาก แล้วถามต่อ “ท่านหมายความว่า เยียน… … คุณหนูหลินจะมีอาการกำเริบงั้นรึ” 

 

 

ได้ยินสรรพนามที่เปลี่ยนไป หมอหลวงเจียงก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วตอบกลับไปว่า “ครั้งนี้คุณหนูหลินตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวตายจริงๆ ดังนั้น… …” 

 

 

ดังนั้นอะไร เขาไม่พูดต่อ ทั้งสามคนในห้องก็เข้าใจ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกนับถือนาง ที่นางรู้ว่าการเล่นใหญ่ในครั้งนี้ จะทำให้นางไม่มีที่ยืนในจวนอ๋องอีกต่อไป ดังนั้น เลยวางแผนว่าจะตายแต่ไม่ตาย สร้างโอกาสในการให้ตนเองได้อยู่ต่อ อย่างไรเสีย ถ้าหากว่าส่งนางกลับจวนหลินในตอนนี้ ผู้คนทั้งเมืองหลวงก็จะต้องรุมประนามต่อว่าจวนอ๋องแห่งนี้ให้เสียหาย  

 

 

บรรยากาศในห้องเคร่งขรึม หมอหลวงเจียงรู้ว่าตนไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ต่อ จึงพูด “ข้าได้เขียนใบสั่งยาให้คนไปเอายามาแล้ว ขอแค่คุณหนูหลินกินยาตามเวลา พักฟื้นให้ดี ผ่านไปสักระยะก็จะดีขึ้น หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวลากลับสำนักหมอหลวงก่อนขอรับ” 

 

 

“ขอบพระคุณหมอหลวงเจียงขอรับ” หวงฝู่อวี้พูด 

 

 

“คุณชายรองไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” 

 

 

“โจวอัน ส่งหมอหลวงเจียงกลับสำนักหมอหลวง” หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่ง 

 

 

หมอหลวงเจียงรีบโบกมือ บอกว่า “ไม่ต้องๆ ขอบพระคุณซื่อจื่อ ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าขาแข้งแก่ๆ ของตาเฒ่าอย่างข้าแล้วล่ะขอรับ” และแน่นอน ประโยคต่อมาก็ทำได้แค่ก่นด่าในใจ ไม่ได้พูดออกมา 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ถอนคำสั่ง โจวอันเดินเข้ามา แล้วทำมือเชิญหมอหลวงเจียงด้วยความนอบน้อม 

 

 

หมอหลวงเจียงก็แอบถอนหายใจเล็กน้อย แสร้งพูดขอบคุณ แล้วเดินตามโจวอันออกไป 

 

 

แล้วห้องกลับมาเงียบอีกครั้ง 

 

 

เวลาล่วงเลยไป หวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นมาว่า “ให้นางได้อยู่ที่จวนไปสักระยะหนึ่งเถิด รอให้นางหายก่อน ข้าจะให้คนไปส่งนางโดยทันที” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้คัดค้าน  

 

 

คืนนั้น หลินหันเยียนและหงเอ๋อร์ที่แช่น้ำเย็นมาทั้งวันก็ตัวร้อนขึ้นพร้อมกัน สาวใช้ผู้ดูแลในเรือนของหวงฝู่อวี้ตกใจมาก รีบวิ่งไปที่ห้องรับแขกรายงานให้กับหวงฝู่อวี้ 

 

 

ในค่ำคืนที่มืดมิด หวงฝู่อวี้ที่ไม่ยอมหลับยอมนอนได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสั่งว่า “เอายาที่หมอหลวงเจียงออกให้ในวันนี้ไปต้มให้คุณหนูดื่มเสีย ถ้าหากตัวนางยังร้อนอยู่ เมื่อฟ้าสว่างแล้วให้เฮ่ออีไปตามหมอหลวงเจียงมา ดึกดื่นปานนี้แล้ว อย่าไปรบกวนซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟย” 

 

 

สาวใช้ก็ประหลาดใจ แต่ก็ถอยออกไปแต่โดยดี  

 

 

วุ่นวายกันแทบทั้งคืน อาการของหลินหันเยียนถึงดีขึ้น ส่วนหงเอ๋อร์ เหล่าสาวใช้ก็นำสุราที่มีทั้งหมดไปทาที่ตัวของนาง แล้วห่มผ้าหนาๆ ให้ เพื่อให้เหงื่อออก จากนั้นก็ไม่มีใครไปดูนางอีก 

 

 

หวงฝู่อวี้ตาสว่างตลอดทั้งคืน  

 

 

หลายวันต่อมา หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้กลับเรือนเลย ส่วนข่าวคราวของหลินหันเยียนก็ไม่ได้ถามไถ่ เรื่องที่หลินหันเยียนส่งคนมาบอกกับเขาว่านางขอเข้าพบ เขาก็ไม่ได้ตอบรับ ออกไปทำงานแต่เช้าแล้วกลับดึกแทบทุกวัน  

 

 

เมื่อไม่เจอหวงฝู่อวี้ เลยไร้หนทางที่จะขอการอภัยจากเขา นอกจากหลินหันเยียนจะสิ้นหวังแล้ว ในใจก็โกรธแค้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งวันเวลาก็ผ่านไปทุกวัน ความโกรธแค้นนี้ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงถึงขั้นที่นางอยากทำลายหวงฝู่อวี้เลยทีเดียว  

 

 

อีกทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้ทราบถึงหูท่านอ๋องฉีและพระชายาฉี ทั้งสองคนก็ยังคงเลี้ยงลูกดูหลาน มีความสุขดี 

 

 

ผ่านไปครึ่งเดือน แผลของหลินหันเยียนใกล้หายแล้ว ร่างกายของหงเอ๋อร์ก็ดีขึ้นตั้งนานแล้ว แต่เพียงแค่กลายเป็นคนเงียบๆ ไม่พูดไม่จาเหมือนแต่ก่อน  

 

 

และหลินหันเยียนในขณะที่กำลังโกรธแค้นและกลัวอยู่นั้น ก็คิดหาวิธีอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงตั้งหน้าตั้งตารอข่าวจากหวงฝู่อวี้ไปวันๆ เท่านั้น  

 

 

หลายวันผ่านไป หวงฝู่อวี้ที่ไม่ได้กลับมาที่เรือนของตนเป็นเวลานานก็กลับมา  

 

 

หลินหันเยียนดีใจเป็นอย่างมาก อยากพุ่งตัวเข้าไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะสายตาที่เย็นชาของหวงฝู่อวี้ นางทำได้แต่กล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกละอายใจ “พี่อวี้เจ้าคะ ข้าขอ… …” 

 

 

หวงฝู่อวี้หยิบกระดาษออกมาจากอกของตนเอง แล้ววางไปที่โต๊ะตรงหน้านาง พูดแทรกนางด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าได้ซื้อบ้านที่หนานเฉิงเอาไว้หลังหนึ่ง จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ทั้งข้าวของและบ่าวรับใช้ หากเจ้าไม่ยอมกลับจวนหลินล่ะก็ ข้าจะส่งเจ้าไปที่นั่น” 

 

 

คำพูดของเขา ทำให้หลินหันเยียนรู้สึกตกลงไปในบ่อน้ำแข็งอย่างใดอย่างนั้น ร่างกายเย็นยะเยือก หลายวันมานี้นางได้แต่คิดวิธีขอร้องให้หวงฝู่อวี้ให้อภัยแก่นาง แต่นางยังไม่ทันได้พูดอะไร หวงฝู่อวี้ก็ตัดสินใจไปเสียแล้ว 

 

 

ใจสั่นระรัว ปากสั่นอยากจะพูดออกมา แต่แล้วหวงฝู่อวี้ก็พูดขึ้นมาว่า “นี่เป็นตั๋วเงินสองแสนตำลึง หนึ่งแสนตำลึงเป็นเงินที่หลินจ้งให้ไว้เมื่อตอนที่เจ้าเข้ามาอยู่ที่จวนอ๋องใหม่ๆ ส่วนอีกหนึ่งแสนตำลึงเป็นเงินทั้งหมดที่ข้าหามาได้ในหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว นับแต่นี้ต่อไป พวกเราสองคนขาดกัน ต่อจากนี้ทางใครทางมัน ไร้เยื่อใยต่อกัน” 

 

 

“ไม่!” หลินหันเยียนส่ายหน้า แล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “พี่อวี้เจ้าคะ ท่านจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้ เพื่อท่าน ข้ายอมทิ้งทุกอย่างที่ข้ามี ชื่อเสียงของข้าป่นปี้ มาจนถึงขั้นที่หักหลังทรยศมิตรสหายและคนรัก ถ้าหากว่าท่านไม่เอาข้าแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม” 

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อวี้ไร้ซึ่งความรู้สึก พูดว่า “คุณหนูหลิน ขอบคุณ ‘ความรัก’ ที่เจ้ามีต่อข้า แต่ว่าข้ารับไว้ไม่ได้จริงๆ เจ้าจงเลือกเถิด ข้าจะได้จัดคนไปส่งเจ้า” 

 

 

แค่คุณหนูหลินคำเดียว ก็ทำให้ความหวังทั้งหมดของหลินหันเยียนหายไปจนหมดสิ้น หลายปีมานี้ หวงฝู่อวี้เรียกนางแค่เยียนเอ๋อร์เท่านั้น ตอนนี้แม้แต่สรรพนามที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปแล้ว ก็หมายความว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกนางแล้ว 

 

 

หลินหันเยียนน้ำตาไหลพราก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น ไม่มีความผิดหวังเลยสักนิด “พี่อวี้ ท่านจะตัดสัมพันธ์กับข้าแบบนี้จริงหรือ” 

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่รู้สึกอะไรกับหลินหันเยียนอีกแล้ว นางที่กำลังร้องไห้นั้น ไม่ได้มีผลต่อเขาอีกต่อไป จึงพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “คุณหนูหลิน ต่อจากนี้ขอให้เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายรอง” 

 

 

ตึ่ง ราวกับสมองของหลินหันเยียนมีอะไรกำลังจะระเบิด ระเบิดเสียจนสมองของนางมีแต่เสียงตึ่งๆ ทำให้นางยืนเหม่ออยู่กับที่ ลืมแม้กระทั่งตนเองที่กำลังร้องไห้ ได้แต่เพียงเบิกดวงตาอันแดงก่ำของนาง แล้วมองไปที่หวงฝู่อวี้อย่างไม่เชื่อสายตา  

 

 

หวงฝู่อวี้ก็มองกลับอย่างไม่หลบหลีก ในสายตาที่เฉยชาก็มีความหมายว่าจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด  

 

 

เมื่อหลินหันเยียนได้สติ ขาทั้งสองข้างของนางก็อ่อนลง ล้มลงกับพื้น  

 

 

มือที่อยู่ด้านข้างลำตัวของหวงฝู่อวี้ก็แอบขยับเล็กน้อย แต่ก็รู้ตัวโดยทันที จึงกำหมัดแน่น  

 

 

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลินหันเยียนก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ขยับ สายตามองเหม่อไปที่ใดที่หนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  

 

 

หวงฝู่อวี้ที่ใกล้จะหมดความอดทนกับนางก็เอ่ยปาก “คุณหนูหลิน คิดได้หรือยังว่าจะกลับจวนหรือว่าจะไปหนานเฉิง” 

 

 

ในที่สุดหลินหันเยียนก็ได้สติ เงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา ไม่มีน้ำตาและความอ่อนโยนในดวงตา แล้วถามเขาอีกครั้งว่า “พี่อวี้จะตัดสัมพันธ์กับข้าแบบนี้จริงหรือ” 

 

 

“เจ้ากับข้าก็เปรียบเสมือนแก้วที่แตก แตกไปแล้วก็คือแตกไปแล้ว ต่อยังไงก็ไม่เหมือนเดิม การแยกจากกัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้าและเจ้า” 

 

 

“ได้!” พูดจบ ก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่ตรงหน้าหวงฝู่อวี้ “ข้าฟังพี่อวี้มาตลอดอยู่แล้วนิ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย้ายออกไปก็สิ้นเรื่อง แต่ว่า พี่อวี้จะต้องช่วยข้าก่อนเรื่องหนึ่ง”