“ว่ามา”
“ข้าอยากพบกูกูผู้ดูแลของไทเฮา”
หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้วครุ่นคิด เม้มปากไร้คำตอบ
“ขอเพียงพี่อวี้ช่วยข้าเรื่องนี้ ข้าจะออกจากจวนอ๋องโดยเร็ว แล้วจะไม่ข้องเกี่ยวกับท่านอีก” หลินหันเยียนเน้นย้ำประโยคสุดท้าย
หวงฝู่อวี้มองไปที่นาง กำลังคิดถึงจุดประสงค์ที่นางจะเข้าพบกับผู้ดูแลไทเฮา
หลินหันเยียนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใจก็สั่นแล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่นแกมขู่ว่า “ถ้าหากว่าพี่อวี้ไม่ตอบรับข้าล่ะก็ ที่ข้าทำได้ก็มีแต่อยู่ที่นี่ต่อไป ถ้าหากว่าท่านตอบรับข้าล่ะก็ รอให้ข้าได้พบกับกูกูผู้ดูแลก่อน ข้าก็จะออกจากจวนอ๋องทันที”
หวงฝู่อวี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป “ได้ ข้ารับปากเจ้า เจ้าอยู่ที่จวนไปก่อน รอฟังข่าวจากข้า”
หลินหันเยียนพยักหน้า “ขอบพระคุณเจ้าค่ะพี่อวี้”
หวงฝู่อวี้ไม่พูดอะไรมาก หันหลังเดินออกไป
หลินหันเยียนมองไปที่เขาแล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
สองวันผ่านไป หวงฝู่อวี้ก็เดินเข้ามาที่จวน แล้วพูดกับหลินหันเยียนว่า “วันนี้กูกูผู้ดูแลไทเฮาจากวังมาพอดี เจ้าแต่งตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบนาง”
หลินหันเยียนลุกขึ้น แล้วพาหงเอ๋อร์ตามหวงฝู่อวี้มารอที่หน้าประตูวัง
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป กูกูก็ออกมาจากวัง เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้ยืนรอที่หน้าประตูก็ทำความเคารพ “คุณชายรอง”
หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันได้พูดอะไร หลินหันเยียนก็ย่อเข่าคำนับกูกู “ขอคาราวะกูกู”
กูกูก็เบี่ยงตัวออกแล้วพูดด้วยความร้อนใจว่า “คุณหนูหลิน ท่านทำความเคารพบ่าวเช่นนี้ บ่าวรับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนลุกขึ้นยืนยิ้มแล้วพูดว่า “กูกูและแม่ของข้าสนิทสนมกลมเกลียวกัน ข้าเป็นผู้น้อย สมควรที่จะทำความเคารพท่านเจ้าค่ะ”
กูกูยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วห่างเหิน “ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ท่านก็เป็นถึงภรรยาของคุณชายรอง การทำความเคารพข้านั้น เกินที่ข้าจะรับได้ ถ้าหากว่าไทเฮาทรงรู้เข้า ข้าจะมีโทษเอาได้นะเจ้าคะ”
“ขอกูกูอย่าโกรธไปเลย เพราะข้าน้อยคิดไม่รอบคอบ ขอให้กูกูอย่าถือสาเจ้าค่ะ”
กูกูโบกมือ แล้วพูดว่า “คุณหนูหลินไม่ต้องเกรงใจ”
พูดจบ แล้วมองไปที่หวงฝู่อวี้ “ไม่ทราบว่าคุณชายรองอยากพบข้าด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้ยังไม่ทันพูดอะไร หลินหันเยียนก็ยิ้มแล้วตอบแทนว่า “ข้าเองที่อยากพบกูกู ตอนนี้ด้วย
หน้าที่ของท่านทำให้ท่านต้องอยู่ที่นั่น ข้าไม่มีโอกาสได้พบ เลยขอให้พี่อวี้ช่วยเจ้าค่ะ”
กูกูมองไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วมองไปที่หลินหันเยียน ก็รู้สึกแปลกๆ แต่พูดออกมาไม่ถูก เลยบอกว่า “คุณหนูหลินอยากพบข้าด้วยเหตุใดหรือ”
หลินหันเยียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่หวงฝู่อวี้ ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ข้ามีเรื่องส่วนตัวอยากจะคุยกับกูกู ท่านออกไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้ก็หรี่ตามองไปที่หลินหันเยียน
หลินหันเยียนก็ยังคงยิ้มอยู่
หวงฝู่อวี้ก็รู้สึกผิดทันทีที่พานางมาในวันนี้ แต่เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงเดินไปที่ข้างรถม้า
“คุณหนูหลินมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเลยเจ้าค่ะ ไทเฮายังรอข้าไปปรนนิบัติอยู่เจ้าค่ะ” กูกูผู้ดูแลพูด
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหันเยียนก็หายไป แล้วทำทีเศร้าโศก “กูกูเจ้าคะ จวนของพวกเราเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ออกมาไม่ได้ เลยฝากคนส่งจดหมายมาบอกข้า ให้คิดหาวิธีมาพบท่าน เชิญท่านไปพบนางที่จวนให้ได้ ยิ่งเร็วยิ่งดีเจ้าค่ะ” สุดท้ายก็บอกอีกว่า “ถ้าสายไปกว่านี้ เกรงว่าจะไม่ได้เจอท่านแม่ของข้าแล้วเจ้าค่ะ”
อย่างไรเสียก็รู้จักกันมาสิบกว่าปี เมื่อกูกูผู้ดูแลได้ยินดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก “ที่จวนเกิดเรื่องอันใด เตี๋ยชิงเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ”
หลินหันเยียนพูดจาอ้อนวอน “ท่านก็รู้ ตั้งแต่ที่ท่านพ่อลั่นวาจาว่าข้าแต่งออกไปแล้ว ข้าก็มาอยู่ที่จวนอ๋อง ไม่ได้ยินข่าวคราวจากทางบ้านอีกเลย ถ้าหากว่าท่านแม่ไม่ส่งคนมาส่งจดหมายบอกข้า ข้าก็มิอาจทราบถึงเรื่องของนางได้เลย สถานการณ์โดยรวมเป็นเช่นไร ข้าก็มิทราบ เลยหวังว่ากูกูที่รู้จักท่านแม่ของข้ามาเป็นสิบๆ ปี จะไปที่จวนหลินเสียหน่อย ดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เจ้าค่ะ”
กูกูผู้ดูแลก็พยักหน้าทันควัน “ได้ ข้าจะไปจวนหลินเดี๋ยวนี้”
“วันนี้ข้าไม่มีธุระอันใด ข้าจะไปกับกูกูด้วย อย่างไรเสียท่านพ่อก็ยังเห็นแก่หน้าท่าน ไม่ไล่ข้าออกมาจากจวนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นก็ดี ไปกันเถิด” กูกูผู้ดูแลพูดด้วยเสียงร้อนรน
ไม่แปลกที่นางจะรีบร้อนขนาดนี้ อย่างไรเสียก็เป็นถึงฮูหยินราชเลขา นางผู้นี้มีนิสัยหยิ่งยโส ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร แต่มาวันนี้กลับให้ลูกสาวออกมาพบตน ดูท่าแล้วคงเกิดเรื่องอะไรที่นางเองก็คงจัดการไม่ได้
“กูกูรอสักครู่ ข้าจะไปบอกพี่อวี้ ให้เขาเอารถม้ามาให้พวกเรายืมใช้ก่อน”
กูกูผู้ดูแลพยักหน้า แล้วยืนอยู่ที่เดิม
หลินหันเยียนเดินไปพูดกับหวงฝูอวี้ว่า “พี่อวี้เจ้าคะ ข้ากับกูกูจะไปที่โรงน้ำชาเสียหน่อย มีเรื่องจะพูดคุยกันนิดหน่อย เพราะฉะนั้นรถม้าคันนี้ให้พวกเราใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
หวงฝู่อวี้ก็มองไปที่นางด้วยความสงสัย แล้วเบี่ยงตัวออก
หลินหันเยียนหันกลับมายิ้มให้กับกูกูผู้ดูแล
กูกูผู้ดูแลก็เดินเข้ามา ขึ้นรถม้าไป หลินหันเยียนก็ขึ้นตามไป แล้วพูดชื่อโรงน้ำชานั้นออกมา
กูกูผู้ดูแลเลยประหลาดใจ แต่ก็คิดว่าหลินหันเยียนคงไม่อยากให้หวงฝู่อวี้รู้ว่าที่จวนเกิดเรื่องอันใดขึ้น เลยตั้งใจทำเช่นนี้
คนรถฟาดแซ่ลงไป มุ่งหน้าสู่โรงน้ำชา
หวงฝู่อวี้มองจ้องไปที่รถม้า จนกระทั่งรถม้านั้นหายไปกับทางที่ไปโรงน้ำชา จึงจะเลิกมอง แล้วสั่งให้เฮ่ออีกลับไปที่จวนเอารถม้ามาอีกคัน ส่วนตนก็เดินไปที่ร้านค้าของจวนอ๋องที่ใกล้ที่สุดอย่างช้าๆ
ดูเหมือนรถม้าใกล้จะถึงโรงน้ำชาแล้ว หลินหันเยียนก็สั่ง “ไปจวนหลิน”
คนรถก็ชะงักไป แล้วกลับรถมุ่งหน้าสู่จวนหลิน
ทั้งสองคนลงจากรถม้า
เมื่อเห็นกูกูผู้ดูแลแต่งตัวเต็มยศ นายประตูก็ตกใจเหงื่อไหลเป็นอย่างมาก รีบเข้ามาต้อนรับโดยทันที “คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”
“ท่านแม่อยู่ในจวนหรือไม่” หลินหันเยียนถาม
“ฮูหยินอยู่ขอรับ”
แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
หน้าผากของนายประตูเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อลมเบาๆ พัดผ่าน ทำให้หน้าผากของเขานั้นเย็นวาบ ในใจเต้นแรง แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วรายงานเรื่องนี้ให้เขาฟัง
พ่อบ้านได้ยินดังนั้น หน้าของเขาก็ซีดเซียวโดยทันที มองจ้องไปที่นายประตู ในสมองมีแต่คำว่า ‘จวนหลินจบสิ้นแล้ว’
เห็นเขาท่าทางเช่นนี้ นายประตูกลัวยิ่งกว่าเขาเสียอีก แทบจะก้มกราบอ้อนวอนเลยทีเดียว เขาไม่ใช่ไม่ห้าม แต่เขาไม่กล้าห้าม
“เร็วเข้า รีบไปตามนายน้อยกลับมาเดี๋ยวนี้”
ปากของพ่อบ้านก็สั่น ออกคำสั่งกับนายประตูด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นายประตูยังไม่ทันได้หายใจ ก็ตอบรับโดยทันที ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกจากจวนไปอย่างรวดเร็วราวกับโดนไล่ฆ่าอย่างใดอย่างนั้น
พ่อบ้านรู้สึกขาแข้งอ่อนแรง เดินไม่ไหว เลยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยื่นมือออกมา นวดลงไปที่ขาของตนอย่างแรง กดลงไปจนตนเองรู้สึกเจ็บปวด ขาของตนเองถึงมีแรงกลับมาเดินได้ แล้วรีบเดินไปหาสะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินทันที
เมื่อเห็นการแต่งกายของกูกูผู้ดูแล ผู้คนในจวนก็ไม่มีใครกล้าห้าม ทั้งสองคนเลยเดินเข้ามาที่เรือนของฮูหยินหลินได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเดินเข้าไป หลินหันเยียนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตระหนกและตื่นกลัวว่า “ท่านแม่ ท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อฮูหยินหลินที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงของนาง ก็นึกดีใจ คิดว่าตนกับหลินฉงเหวินคงได้เห็นเดือนเห็นตะวันกับเขาสักที เลยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามา เปิดม่านประตูออก เห็นสีหน้าอันเศร้าโศกเสียใจของนาง แล้วพูดกับกูกูผู้ดูแลอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ชิงเยียน ในที่สุดเจ้าก็มา”
กูกูผู้ดูแลตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าฮูหยินหลินสีหน้าเศร้าโศกโศกา กระดูกสันหลังที่คุดคู้ แถมผมบนหัวยังเป็นสีขาวอีก
“ชิงเตี๋ย เจ้าเป็นอะไรไป” กูกูผู้ดูแลเอ่ยปากถามอย่างสะเทือนใจ
ฮูหยินหลินก็เดินเข้ามากอดนางเอาไว้ แล้วร้องไห้โฮออกมา ในเสียงร้องไห้มีความเหนื่อยใจ ไม่พอใจ โกรธแค้น และความหวัง ความรู้สึกต่างๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้กูกูผู้ดูแลก็เบ้าตาแดงก่ำ แล้วตบที่หลังของนางเบาๆ ราวกับปลอบใจเด็กอย่างใดอย่างนั้น
หลินหันเยียนที่อยู่อีกฟากหนึ่งก็น้ำตาไหลริน แล้วร้องออกมาไม่เป็นภาษา “ท่าน ท่านแม่เจ้าคะ เหตุใดท่าน ท่านถึงกลายเป็นเช่นนี้เจ้าคะ”
ฮูหยินหลินร้องไห้อยู่นานกว่าจะหยุด แล้วจึงใช้ชายเสื้อของตนเองเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วพูดออกมาด้วยความสะอึกสะอื้น “ชิงเยียน สภาพของข้าตอนนี้คงทำให้เจ้าตกใจแย่”
กูกูผู้ดูแลส่ายหน้า ทำท่าทีจริงจัง “ชิงเตี๋ย เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเจ้าถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
มองไปที่ด้านนอก ฮูหยินหลินก็จับมือของกูกูผู้ดูแล แล้วพูดเบาๆ ว่า “ชิงเยียน เจ้าเข้าไปด้านในกับข้า”
กูกูผู้ดูแลก็มองออกไปที่ด้านนอกด้วยเช่นเดียวกัน ด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีอะไรเลย ในใจนึกสงสัย แล้วเดินเข้าไปที่ด้านในจวนกับนาง
หลินหันเยียนก็รีบตามเข้าไป
เมื่อเข้ามาด้านใน กูกูยังไม่ทันหยุดยืน ฮูหยินหลินก็คุกเข่าลง แล้วขอร้องว่า “ชิงเยียน ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้านะ ข้ากับสามีจะไม่รอดแล้ว”
กูกูผู้ดูแลก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเบี่ยงตนเองออก แล้วพูดด้วยความตกใจ “ชิงเตี๋ย เจ้าจะทำอะไรน่ะ มีอะไรก็ลุกขึ้นมาพูดดีๆ ก็ได้”
ฮูหยินหลินไม่ขยับ
หลินหันเยียนร้องไห้โค้งตัวลง อยากที่จะพยุงฮูหยินหลินขึ้นมา พูดว่า “ท่านแม่ ลุกขึ้นเถิด มีเรื่องอันใดก็รีบพูดให้ข้ากับกูกูรู้แจ้ง พวกเราจะช่วยท่านอย่างแน่นอน”
กูกูพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ เจ้าลุกขึ้นมาก่อนค่อยว่ากัน”
ฮูหยินหลินดลยลุกขึ้นมา
ทั้งสามคนนั่งลง ฮูหยินหลินก็พยายามระงับอารมณ์ ท่ามกลางความประหลาดใจของกูกูผู้ดูแล และแววตาของหลินหันเยียนที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ ฮูหยินหลินก็เล่าเรื่องที่หลินจ้งกุมตัวหลินฉงเหวินให้ฟัง และแน่นอน นางไม่กล้าบอกว่าหลินจ้งได้รับคำสั่งจากหวงฝู่อี้เซวียน มิเช่นนั้นกูกูผู้ดูแลจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน
กูกูฟังจบก็ตกใจ เรื่องหลินจ้งกุมตัวหลินฉงเหวินและชิงเตี๋ยนั้น เรื่องนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ฮูหยินหลินก็เล่าต่อว่า “เจ้าลูกอกตัญญูทำเรื่องเนรคุณเช่นนี้ ในตอนแรกข้าคิดว่าเป็นเพราะความวู่วามของเขาเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร อย่างไรเสียก็เป็นก้อนเนื้อที่ข้าคลอดมันออกมา เขายังกล้าที่จะทารุณพวกเราอีกงั้นรึ รอให้เขาคิดได้ บางทีก็อาจจะปล่อยพวกเรา แต่ใครจะไปรู้ ตอนนี้เขาเหิมเกริมขึ้นทุกที ตอนแรกยังให้ข้าดูแลอยู่ข้างๆ สามี แต่ตอนนี้กลับแยกพวกเราออกจากกัน แล้วยัง… …”
“พี่ใหญ่ทำอะไรท่านพ่อหรือเจ้าคะ” หลินหันเยียนถามอย่างรีบรน
“เขาวางยาลงในสำรับของพี่ ทำให้เขามึนงงไม่รู้สึกตัวตลอดเวลา”
กูกูโกรธจนทุบโต๊ะ พูดว่า “ช่างบังอาจนัก กล้าทำเรื่องเช่นนี้ ช่างเนรคุณเสียยิ่งกว่าอะไร ไร้ซึ่งสามัญสำนึก ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์”
“ดังนั้น ข้าเลยให้เยียนเอ๋อร์ไปบอกเจ้า ให้นางพาเจ้ามาไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ให้มาช่วยข้าและสามีจากอันตรายนี้ทีเถอะ”
กูกูผู้ดูแลก็ลุกขึ้นมาบอกว่า “เจ้ารอข้าก่อน ข้าจะกลับวัง ทูลไทเฮา ขอร้องให้ไทเฮาช่วยพวกเจ้า”
ฮูหยินหลินก็ร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้ม แล้วกำลังจะคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณ “ขอบคุณชิงเยียน”
กูกูผู้ดูแลก็ดึงนางเอาไว้ “เจ้าจะทำอะไร เจ้ากับข้ารู้จักกันมาเป็นสิบปี ข้าไม่ควรที่จะช่วยเจ้าหน่อยเลยงั้นรึ”
ฮูหยินหลินและหลินหันเยียนก็ขอบคุณอีกครั้ง
ผู้ดูแลก็หันหลัง แล้วออกจากจวนหลินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลินหันเยียนก็ตามอยู่ด้านหลังแล้วสั่งคนรถว่า “หลังจากที่เจ้าไปส่งกูกูกลับวังแล้ว ก็กลับไปที่จวนอ๋องได้เลย ข้าจะอยู่จวนหลินดูแลท่านแม่”
คนรถโค้งคำนับตอบรับ แล้วฟาดแซ่เดินรถม้ากลับไปที่วังอย่างรวดเร็ว
มองไปที่ทิศทางจวนอ๋อง หลินหันเยียนก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความได้ใจ หวงฝู่อวี้ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ รอให้พ่อข้าได้ตำแหน่งกลับมาเมื่อไหร่ ดูสิว่าเจ้ายังจะกล้าไล่ข้าออกจากจวนอ๋องหรือไม่
นางวางแผนเอาไว้อย่างดิบดี แต่กลับไม่รู้ว่า ผลที่ได้นั้นไม่เป็นดั่งที่นางคิด การกระทำในครั้งนี้ของนาง ไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ของนางกับหวงฝู่อวี้ห่างกันไปมากกว่าเดิม แล้วยังจะพาลทำให้จวนตระกูลหลินแห่งนี้ไม่มีที่ยืนในเมืองหลวงอีกด้วย
หลินจ้งรีบขี่ม้ากลับมา เห็นทันก็แต่หลินหันเยียนที่ยืนอยู่หน้าประตู เลยขมวดคิ้ว ลงจากม้า เดินมาหานาง
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนยิ้มเยาะๆ ทักทาย อีกทั้งดวงตาของนางที่แดงก่ำ ทำให้หลินจ้งไม่สบายใจนัก เลยถามด้วยความโกรธว่า “เจ้าพาใครมา”
“กูกูผู้ดูแลไทเฮาไงล่ะ ที่เป็นเพื่อนกับท่านแม่คนนั้น” หลินหันเยียนตอบตามตรง
“นางล่ะ” หลินจ้งใจไม่ดี ถามนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หลินหันเยียนไม่ได้รู้สึกถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของเขา เลยบอกว่า “ไปแล้ว เพิ่งจะนั่งรถม้าของจวนอ๋องกลับไปเอง”
“กูกูรู้เรื่องในบ้านหมดแล้วใช่หรือไม่” หลินจ้งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
หลินหันเยียนก็รู้สึกได้ เลยถอยหลังลงไป พยักหน้า “อืม ท่านแม่บอกนางหมดแล้ว”
ปั้ก! นางก็ลอยเข้าไปปะทะเข้าไปกับบานประตู เสียงปะทะดังสนั่น แล้วเสียงของหลินจ้งที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้น “นังเด็กโง่ คราวนี้จวนหลินจะได้ล่มสลายด้วยน้ำมือของเจ้าแน่”