บทที่ 1270 สองพี่น้องปรับความเข้าใจ

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“อะไรกัน!ทำไมทุกคนมองข้าแบบนั้น?”
  ต่งยั่วหลานร้องตะโกนถามออกไปด้วยความตกใจเพราะหลังจากที่นางกลืนโอสถเยาว์วัยลงไปแล้ว นางก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ภายในร่างกายของตนเองได้ นางรู้สึกว่าตนแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก!
  ร่างกายที่เคยเหนื่อยล้าหนักอึ้งพลันเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ผมแข็งกระด้างและเริ่มขาวได้เปลี่ยนเป็นสีดำอ่อนนุ่ม ผิวพรรณที่แขนและมือไม่เพียงไร้รอยเหี่ยวย่น แต่ยังเต่งตึงมีน้ำมีนวลราวผิวพรรณของเด็กสาว อีกทั้งยังนวลเนียนยิ่งนัก มือและแขนนี้ราวกับไม่เคยได้ผ่านการทำงานมานานหลายปี..
  ร่างกายเบาพลิ้วผิวพรรณอ่อนโยน สายตาก็กระจ่างชัด เรียกได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแทบทุกกระเบียดนิ้ว
  นี่คือโอสถพลังชีวิตชั้นสูงซึ่งออกฤทธิ์กับคนธรรมดาทั่วไปได้ดีกว่าผู้ฝึกยุทธเช่นนั้นแล้วจึงได้ผลลัพธ์ดีกว่าจินเหยียวอย่างเห็นได้ชัด
  นั่นเพราะผู้ที่ฝึกยุทธเช่นจินเหยียวจะมีใบหน้าที่อ่อนกว่าเยาว์กว่าอายุโดยปกติอยู่แล้วเมื่อได้รับโอสถเยาว์วัยเข้าไป ความเปลี่ยนแปลงจึงมีไม่มากเท่ากับคนธรรมดาทั่วไปเช่นต่งยั่วหลาน
  ต่งยั่วหลานจะอายุ37 ปีแล้ว ผิวพรรณจึงได้เหี่ยวย่นร่วงโรยไปตามวัย ขอบตาก็เกิดเป็นรอยตีนกาขึ้นให้เห็นชัดเจน แต่ทันทีที่กลืนโอสถเยาว์วัยลงไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
  ต่งยั่วหลานวิ่งตรงไปยังกระจกที่อยู่ในห้องรับแขกเพื่อดูให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตนแน่..
  “ห๊ะ!”
  ทันทีที่เห็นภาพตนเองในกระจกต่งยั่วหลานก็ถึงกับยกมือขึ้นปิดหน้า พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มและเสียงสะอึกสะอื้น  “พี่ใหญ่..นี่ท่าน..”
  หลิงซวี่จ้องมองหลิงหยุนด้วยความตกตะลึงพร้อมกับร้องเรียกหลิงหยุนว่า‘พี่ใหญ่’ ออกมาอย่างลืมตัว
  “ไปเช็ดน้ำตาให้ท่านป้าต่งก่อนสิแล้วก็ให้นางกลืนโอสถนี้เข้าไปด้วย!”
  หลิงหยุนยิ้มให้หลิงซวี่พร้อมกับยื่นโอสถโฉมสะคราญหนึ่งเม็ดให้กับนาง..
  “ท่านแม่พี่ใหญ่บอกให้ท่านกลืนโอสถนี่เข้าไปอีกหนึ่งเม็ด!”
  หลิงซวี่เดินเข้าไปหาต่งยั่วหลานแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับคราบน้ำตาให้นางพร้อมกับวางโอสถโฉมสะคราญลงไปในมือของต่งยั่วหลาน
  “เอ่อ..ต้องกินนี่ด้วยรึ กินแล้วข้าจะไม่กลายเป็น…”
  ต่งยั่วหลานถามขึ้นด้วยความกังวลใจเพราะเวลานี้นางก็ดูโตกว่าหลิงซวี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากนางกินเข้าไปอีกจะไม่กลายเป็นเด็กกว่าหลิงซวี่หรอกรึ นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นแม่กังวลใจ
  “ท่านป้าต่งอย่าได้กังวลใจไม่เป็นอย่างที่ท่านป้าคิดแน่!” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบให้ต่งยั่วหลานมั่นใจ
  เมื่อได้ยินเช่นนั้นต่งยั่วหลานจึงกลืนโอสถโฉมสะคราญลงไปทันทีและครั้งนี้นางรีบเงยหน้าขึ้นมองไปทางกระจกทันที แล้วก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเองอย่างชัดเจน
  “ว้าวท่านแม่!ท่านสวยมากเลย ต่อไปข้าต้องเรียกท่านว่าพี่สาวแล้วล่ะ..”
  หลิงซวี่จ้องมองพร้อมกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเพียงแค่ห้านาทีที่กลืนโอสถของหลิงหยุนสองเม็ด แม่ของนางกลับกลายเป็นสาวสวยงดงามเช่นนี้..
  “เอ่อ..พวกเจ้านั่งคุยกันไปก่อน ข้าจะไปที่ห้องประเดี๋ยว แล้วจะรีบกลับมา”
  หลังจากที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ต่งยั่วหลานรู้สึกเก้อเขินจนไม่กล้ามองหน้าผู้คนในห้อง จึงเอ่ยขอตัวแล้วรีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง
  “พี่ใหญ่นี่มันโอสถอะไรกันข้าอยากได้บ้าง..” หลิงซวี่วิ่งตรงเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับร้องขอบ้าง
  “เจ้าเพิ่งจะสิบหกยังไม่จำเป็นต้องใช้รออีกสองปีค่อยมาขอ..”
  หลิงหยุนปฏิเสธและไม่สนใจว่าหลิงซวี่จะพอใจหรือไม่เขาเดินตรงเข้าไปหาต่งซานชวนพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
  “ท่านตาต่งระหว่างนี้พวกเรานั่งคุยกันไปก่อนจะดีหรือไม่”
  “ได้สิ!ได้!”
  ต่งซานชวนเห็นลูกสาวของตนกลับกลายเป็นหญิงสาวอ่อนเยาว์งดงามเช่นนั้นมีหรือที่ผู้เป็นพ่ออย่างเขาจะไม่รู้สึกดีอกดีใจไปด้วย
  ทั้งสี่คนเดินกลับไปนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกครั้งนี้หลิงซวี่รีบเดินไปนั่งลงข้างหลิงหยุนทันที ทุกคนต่างก็เห็นว่าเวลานี้นางตามติดหลิงหยุนอยู่ตลอดเวลา
  “พี่ชายกับน้องสาว!เห็นภาพนี้แล้วข้ามีความสุขยิ่งนัก”
  ต่งซานชวนซึ่งนั่งตรงข้ามสองพี่น้องหันไปมองหลิงหยุนทีหลิงซวี่ทีพร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
  หลิงหยุนทำเช่นนี้ก่อนก็เพื่อให้ต่งซานชวนรู้สึกดีกับตนเพื่อที่จะสามารถเจรจาธุระของตนได้ง่ายขึ้น
  “ท่านตาข้าได้ยินมาว่าลุงสองเอ่ยปากขอให้ท่านช่วยงานตระกูลหลิงของเรา แต่ท่านตาปฏิเสธงั้นรึ”
  หลิงเย่วได้รายงานเรื่องนี้ให้หลิงหยุนรู้เมื่อสองสามวันก่อนแล้วหลิงเย่วบอกกับเขาว่าต่งซานชวนนั้นนอกจากจะเป็นคนตรงแล้ว ยังเป็นคนที่ดื้อรั้นยิ่งนัก แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถเกลี้ยกล่อมต่งซานชวนได้ และนี่คือสาเหตุที่หลิงหยุนต้องคืนวัยเยาว์สดใสให้กับต่งยั่วหลานเสียก่อน  หลิงหยุนรีบพูดต่อทันทีและไม่เปิดโอกาสให้ต่งซานชวนได้ปฏิเสธ
  “ท่านตาต่งหากท่านตามีเรื่องใดที่ติดขัด หรือมีข้อเรียกร้องใด ได้โปรดบอกข้ามาเถิด ข้าหลิงหยุนพร้อมที่จะแก้ไขและทำตามทุกอย่าง..”
  “เอ่อ..เรื่องนั้น..”
  ต่งซานชวนพูดไม่ออกเพราะสิ่งที่หลิงหยุนทำลงไปก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่สามารถหาเหตุผลมาปฏิเสธหลิงหยุนได้อีก อีกทั้งหลิงหยุนเองก็เป็นลูกชายของหยินชิงเฉวียน หากจะว่าไปฐานะของหลิงหยุนในครอบครัวเขาก็ค่อนข้างกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย หากเป็นโลกของคนธรรมดาทั่วไป หลิงหยุนก็คือลูกนอกสมรส..
  แต่ไม่ว่าฐานะของหลิงหยุนจะเป็นเช่นใดท่าทีของเขาที่มีต่อต่งยั่วหลานนั้น ต่อให้ต่งซานชวนไม่พอใจหลิงเสี่ยวมากเพียงใด ก็ไม่สามารถเอ่ยปากตำหนิหลิงหยุนได้
  “เฮ้อ..ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ล่ะนะ..”   ในที่สุดต่งซานชวนก็ถอนหายใจพร้อมกับพูดออกมาเขาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุน แล้วจึงเอ่ยออกไปว่า
  “หลิงหยุนความตั้งใจดีของเจ้านั้นข้าไม่เพียงเข้าใจดี แต่ยังซาบซึ้งใจยิ่งนัก ตั้งแต่มีเจ้าเข้ามาในตระกูลหลิง ยั่วหลานกับซวี่เอ๋อก็จะมีอนาคตที่สดใส ที่่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาเถิด..”
  และที่เหลือในความหมายของต่งซานชวนก็คือความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของต่งยั่วหลานกับหลิงเสี่ยวนั่นเอง..
  ต่งซานชวนนับเป็นอาวุโสผู้หนึ่งและเวลานี้ก็อยู่ต่อหน้าเด็กรุ่นหลังถึงสองรุ่น จึงไม่อยากจะพูดอะไรมากนึก เขายิ้มขื่นก่อนจะพูดต่อว่า
  “หลิงหยุนสิ่งที่เจ้าทำนั้นข้าซาบซึ้งใจนัก เพียงแต่..”
  หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมถามขึ้นทันที“ท่านตา หากมีเรืองอันใด ก็ได้โปรดเอ่ยออกมาเถิด..”   ต่งซานชวนถอนหายใจ“ปีนี้ข้าก็อายุหกสิบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย สมอง หรือว่าเรี่ยวแรง ล้วนไม่ดีเหมือนก่อน หากให้ข้าไปดูแลกิจการใหญ่โตของตระกูลหลิง เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้ดีเหมือนเมื่อยังหนุ่ม และจะสร้างความเสียหายให้กับตระกูลหลิงเสียเปล่า..”
  นี่เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ต่งซานชวนสามารถยกขึ้นมาอ้างได้ในเวลานี้..
  หลิงหยุนได้แต่นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ‘ข้าคิดอยู่แล้วว่าท่านจะต้องอ้างเหตุผลนี้ ข้าเพียงแค่รอให้ท่านพูดมันออกมาเท่านั้น’
  หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นโอสถเยาว์วัยให้กับต่งซานชวนหนึ่งเม็ด
  “ท่านตาต่งข้ารีบร้อนมาอวยพรวันเกิดท่าน จึงไม่มีเวลาหาของขวัญมามอบให้ ขอท่านตาได้โปรดรับโอสถล้ำค่านี้ไว้ด้วย..”
  ต่งซานชวนเห็นเช่นนั้นถึงกับหน้าแดงและรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที “หลิงหยุนเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าพูดเช่นนั้นหาใช่ข้าต้องการโอสถนี้.. เจ้า.. เจ้าเก็บไว้เถิด”
  ต่งซานชวนปฏิเสธทันทีเพราะเขาคิดว่าโอสถนี้นอกจากจะเป็นของล้ำค่าแล้ว เขายังเข้าใจว่าเป็นโอสถสำหรับผู้หญิงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เอ่ยอ้างเหตุผลนี้ขึ้นมาเป็นแน่..
  หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับคะยั้นคะยอชายชรา“ท่านตา อย่าได้ปฏิเสธเลย รับไปเร็วเข้าแล้วก็รีบกลืนโอสถนี้ลงไป..”
  ในขณะที่หลิงหยุนคะยั้นคะยอหลิงซวี่ก็หยิบโอสถในมือหลิงหยุนขึ้นมา แล้วพยายามที่จะยัดลงไปในปากของต่งซานชวน
  “เจ้าจะทำอะไรนี่เป็นโอสถล้ำค่ายิ่งนัก จะให้ข้ากินเสียของทำไมกัน? ซวี่เอ๋อเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ..”
  ต่งซานชวนพยายามที่ห้ามหลิงซวี่แต่เวลานี้หลิงซวี่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-4 แล้ว มีหรือที่เขาจะสกัดกั้นหลิงซวี่ไว้ได้..
  “ท่านตาพวกเราล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ให้ท่านกินจะเรียกว่าเสียของได้อย่างไร หากท่านยังปฏิเสธจะยิ่งดูไม่ดี..”
  หลิงซวี่ยังคงดื้อดึงและพยายามที่จะให้ชายชรากลืนโอสถทั้งสองเม็ดให้ได้..
  ในที่สุดหลิงหยุนก็ยิ้มออกมาและเอ่ยขึ้นว่า“ท่านตาต่ง หากท่านกลืนโอสถสองเม็ดนี้ ท่านจะแข็งแรงขึ้นและอายุดลดลงถึงยี่สิบปีเลยทีเดียว ท่านจะได้มีเรี่ยวแรงมาช่วยข้าบริหารกิจการของตระกูลหลิง หากวันข้างหน้าท่านพ่อยังกล้าทำให้ท่านป้าต่งเสียใจอีกล่ะก็ ข้ากับหลิงซวี่จะจัดการกับเขาเอง..”
  “เด็กโง่..เจ้าพูดอะไรเช่นนั้น”
  นี่เป็นคำพูดประโยคสุดท้ายของต่งซานชวนก่อนที่หลิงซวี่จะยัดโอสถเยาว์วัยเข้าไปในปากของเขา!
  แต่ครั้งนี้ทุกคนไม่ตกใจและประหลาดใจเหมือนครั้งแรกชั่วพริบตาต่งซานชวนก็เปลี่ยนจากชายชราอายุหกสิบปีมาเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปี และนี่คือความมหัศจรรย์ที่เขาเพิ่งเคยประสบกับตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต
  และนี่เป็นของขวัญชิ้นแรกที่หลิงหยุนมอบให้กับต่งซานชวนในวันเกิด..
  “หลิงหยุนเจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารับปากเจ้าในวันพรุ่งนี้จะไปพบหลิงเย่วพูดคุยเรื่องการบริหารธุรกิจตระกูลหลิง..”
  หลงหยุนหันไปมองหน้าหลิงซิ่วสองพี่น้องมองตากันพร้อมกับยิ้มให้กันเมื่อภารกิจในการมาครั้งนี้สำเร็จล่วงแต่โดยดี!
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปมองหน้าหลิงซวี่น้องสาวของตนเขาสำรวจหลิงซวี่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า จนหลิงซวี่ถึงกับหน้าแดง
  “พี่ใหญ่ข้ามีอะไรผิดปกติงั้นรึ ท่านถึงได้..”
  หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“น้องพี่ เจ้าฟังพี่ใหญ่พูดก่อน..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วค่อยๆก้าวเท้าเดินไปที่กลางห้องอย่างช้าๆ จากนั้นจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคนพร้อมกับประกาศด้วยน้ำเสียงที่ใช้พูดกับเฉินเจี้ยนโหยวแห่งตระกูลเฉินเมื่อครั้งที่กลับจากเกาะเตียวหยู
  หลิงหยุนยกมือขึ้นทำท่าตบหน้าเฉินเจี้ยนโหยวเมื่อครั้งอยู่บนเรืองพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หากเจ้าอ้าปากพูดอีกแม้แต่คำเดียว เจ้าลอยตกทะเลแน่..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับหลิงซวี่ว่า“น้องหลิงซวี่ พวกเราเคยพบเจอกันมาก่อน..”
  หลิงซวี่ถึงกับอึ้งและตกตะลึงในทันทีความจริงหลิงหยุนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ เพราะเพียงแค่เรื่องของต่งยั่วหลานและต่งซานชวน ก็ทำให้หลิงซวี่ยอมรับหลิงหยุนได้อย่างสนิทใจแล้ว แต่ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้หลิงซวี่รู้สึกประทับใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น และลดช่องว่าความห่างเหินของพวกเขาสองพี่น้องให้แคบลงอีก เพื่อที่จากนี้ไปพี่ชายกับน้องสาวจะได้สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น..
  หลิงซวี่ยืนจ้องมองหลิงหยุนนิ่งด้วยความตกตะลึงจมูกของนางเริ่มแดง และน้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้ม
  “พี่ใหญ่!”
  จากนั้นหลิงซวี่ก็วิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดของหลิงหยุนทันที..
  ในเวลานั้นเองหลิงซวี่เพิ่งรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่นางเอาแต่หลบหน้าหลบตาหลิงหยุนนั้นหลิงหยุนเองกลับอดทนแม้จะรู้มาตั้งแต่แรกว่านางคือน้องสาว!
  ช่างเป็นพี่ใหญ่ที่ดีเหลือเกิน!
  หลิงซวี่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุนแล้วก็ยิ่งร้องหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังระบายความทุกข์แสนสาหัสที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดหลายปี หลิงซวี่ร้องไห้ราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน..
  การพบกันครั้งแรกของสองพี่น้องในครั้งนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับหลิงซวี่อย่างไม่รู้ลืม และเมื่อความจริงเปิดเผย นางก็ยิ่งรู้สึกดีต่อหลิงหยุนมากขึ้นกว่าเดิม  นั่นเพราะเมื่อครั้งนั้นคือการปฏิบัติงานของหลิงซวี่ครั้งแรกในฐานะสมาชิกหน่วยนภาความแข็งแกร่งและอาจหาญของหลิงหยุนในครั้งนั้นได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าหาญไว้ในจิตใจของเด็กสาวอย่างไม่รู้ลืม!
  น้ำตาของหลิงซวี่ในครั้งนี้ยังเป็นน้ำตาแห่งความสำนึกผิดอีกด้วยครั้งนั้นนางได้บอกชื่อแซ่ของตนเองให้หลิงหยุนรู้ เขาจึงรู้ตั้งแต่แรกว่านางคือน้องสาว แต่ตัวนางกลับทำหมางเมินเมื่อหลิงหยุนกลับเข้าตระกูลหลิงอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลิงหยุนก็ไม่เคยถือโกรธ และอดทนรอคอยโดยไม่ปริปาก
  หลิงซวี่นึกถึงสายตาของหลิงหยุนที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใยทุกครั้งที่มองมาในระหว่างที่อดทนรอให้นางปรับความรู้สึกของตนเองมาตลอด แม้กระทั่งในวันที่หลิวเทวะวิญญาณปลดปล่อยปราณเสวียนหวงให้กับเหล่าสมาชิกตระกูลหลิง จนทุกคนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้อย่างพร้อมเพรียง หลิงหยุนยังคอยเตือนนางให้ไม่ต้องรีบร้อนพัฒนาขึ้น มิหนำซ้ำยังให้หลิงซิ่วนำแหวนพื้นที่มามอบให้กับตนด้วย
  ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หลิงหยุนไปช่วยหลิงเสี่ยวกลับมาได้แล้วเขายังพยายามที่จำทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ของนางเป็นไปในทางที่ดีขึ้นด้วย อีกทั้งตอนนี้ก็ยังมาร่วมอวยพรวันเกิดครบรอบหกสิบปีของต่งซานชวนด้วย..
  ตลอดเวลาระยะเวลาที่ผ่านมาแม้หลิงหยุนจะไม่ได้พูดอะไรกับนาง แต่ก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อนาง ในขณะที่ตัวนางเองก็เอาแต่คอยหลบหน้าหลบตา และปฏิเสธที่จะเรียกหลิงหยุนว่า ‘พี่ใหญ่’ อย่างที่ควรจะเป็น
  หลังจากร้องไห้จนเหน็ดเหนื่อยและเริ่มสงบลงแล้วหลิงซวี่จึงผละออกจากอ้อมแขนของหลิงหยุน พร้อมกับร้องบอกด้วยดวงตาที่ยังคงแดงก่ำ
  “พี่ใหญ่ข้าผิดไปแล้ว!”
  “น้องพี่เรื่องราวต่างๆก็ผ่านไปแล้ว คืนนี้เจ้าร้องไห้เป็นครั้งสุดท้ายเถิดนะ! ดูสิดวงตาสองข้างบวมช้ำหมดแล้ว!” หลิงหยุนเอ่ยปลอบประโลม
  “นับจากนี้ไปพี่ใหญ่สัญญาว่าตระกูลหลิงจะมีแต่ความสุขและความรุ่งเรืองสดใส!”
  หลิงหยุนลูบไล้เส้นผมของหลิงซวี่พร้อมกับตบบ่าของนางด้วยความอ่อนโยน..
  “ใช่แล้ว!จากนี้ไปทุกคนจะมีแต่ความสุขสดใส!”
  ต่งซานชวนเห็นภาพพี่ชายโอบกอดและปลอบประโลมน้องสาวเช่นนี้เขาก็รู้สึกมีความสุขและยินดีในหัวใจอย่างที่สุดจนถึงกับต้องร้องตะโกนออกมา
  ในขณะเดียวกันต่งซานชวนก็แอบตำหนิตนเองที่ผ่านมาเพราะความไม่พอใจในตัวหลิงเสี่ยว และความไม่พอใจที่เห็นหลานสาวของตนต้องแบกรับความทุกข์หนักอึ้งไว้ในใจ จึงทำให้ทัศนคติที่มีต่อหลิงหยุนไม่ดีไปด้วย
  ต่งซานชวนได้แต่สำนึกผิดอยู่ในใจและได้แต่คิดว่า ‘คิดไม่ถึงจริงๆว่าหลิงหยุนจะสามรถจัดการแก้ปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม และเหมาะสมเช่นนี้..’