ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 35 เทพจักรวาลชั้นที่สอง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เกล็ดหิมะราวขนห่านโปรยปลิว

ในศาลาข้างทะเลสาบ ไอร้อนจากจอกสุราโชยขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลาพลางหยิบจอกสุราร้อนกรุ่นขึ้นมาจิบ

เขามีร่างแยกมากมาย ร่างแยกอื่นๆ ล้วนกำลังบำเพ็ญ และมีร่างแยกอีกร่างหนึ่งเดินท่องไปภายนอก

สาเหตุหลักก็คือตอนนี้วิถีอากาศของเขาติดอยู่ที่อุปสรรค ‘ภาพฟ้า’ และ ‘ภาพดิน’ รวมตัวกันจนถึงขั้นสุดท้าย แต่กลับยังคงมีความไม่สอดคล้องกันอยู่สายหนึ่ง ขาดอีกเล็กน้อยจึงจะสามารถครบสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง

ทั่วฟ้าดินเงียบงันไปหมด รอบด้านไม่มีสาวใช้หน้าไหนอาจหาญเข้าใกล้แล้วรบกวนเขา

ข้างกายมีเพียงมังกรมารตัวเขื่องนอนหมอบอยู่ตรงนั้นด้วยความเชื่อง กลิ่นอายร้อนระอุแผ่ออกมาจากรูจมูก

“ฟ้าดินไร้ที่สิ้นสุด หากจิตใจสบายและสงบพอ ข้าก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาพาจิ้งชิวท่องไปในโลกกำเนิดนับพันนับหมื่นได้ ชมดูอารยธรรมและทิวทัศน์ทั้งหลายที่แตกต่างกันออกไป น่าเสียดาย จนถึงบัดนี้ข้าก็ยังมิอาจสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้ นอกจากนี้หายนะที่บ้านเกิดจะสูญสิ้นก็อยู่ใกล้แค่ปลายจมูกนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ กับตนเอง

“หนึ่งฟ้า หนึ่งดิน ก็คือโลกที่มองเห็น”

“ตอนที่ยังเป็นเหนือธรรมดาและเทพนั้น ฟ้าดินที่ตนเห็น ใหญ่ที่สุดก็คือจักรวาลแห่งหนึ่งเท่านั้น!”

“ต่อมาจึงได้รู้ว่าจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่งภายในโลกกำเนิดเท่านั้น”

“บัดนี้ยิ่งล่วงรู้ว่า ในโลกระดับที่สูงยิ่งขึ้นก็มีโลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่า มากมายนัก เกรงว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของฟ้าดินนี้คงจะมีเพียงสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘หยวน’ เท่านั้นจึงจะสามารถล่วงรู้ได้อย่างแท้จริงกระมัง”

“ฟ้าดินคล้ายจะมีขีดจำกัด แต่ก็ไม่มีขีดจำกัด”

ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยรอยยิ้มออกมา

ตู้ม….

อากาศรอบด้านสั่นสะเทือนไปหมด ทะเลสาบตรงหน้าก็สั่นสะเทือน ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดขึ้นมาด้วยความแตกตื่น ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรินสุราให้ตนเองอีกด้วยความสบายอุรา

เมื่อครู่นี้เอง เขาเพิ่งจะบรรลุอุปสรรคการหลอมรวมกันของภาพฟ้าและภาพดินและก้าวเข้าสู่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองอย่างแท้จริง!

……

นับตั้งแต่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลมาจนบัดนี้ ก็ผ่านไปเป็นเวลาหมื่นล้านปีแล้ว!

ด้วยรากฐานทางด้านวิถีอากาศอันแน่นหนาของเขา ทั้งเก้าสายล้วนบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาล การสั่งสมเช่นนี้  เมื่อปะทุออกมาก็บรรลุเข้าสู่เทพจักรวาลชั้นที่สอง ซึ่งนี่ก็อยู่ในความคาดหมายของตงป๋อเสวี่ยอิง! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญบรรลุก่อนจะเข้าไปยังวังเทพจิตโลกาพอดิบพอดี! การบรรลุครั้งนี้ เป็นการยกระดับพลังของเขาจากเนื้อแท้เลยทีเดียว

ร่างแยกซึ่งอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดอันไกลโพ้น จากเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งก้าวเข้าสู่ชั้นที่สอง พลังก็ย่อมยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนทางดินแดนจิตโลกานี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถสำแดงศาสตร์ลับที่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้นจนถึงระดับครบสมบูรณ์ได้ เขาฝึกฝนร่างเมฆทักษิณาทิพย์จนถึงชั้นที่สิบสองครบสมบูรณ์เสียก่อน! แล้วค่อยอาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ทำให้ครบสมบูรณ์ ก็เพียงพอให้สำแดงศาสตร์ลับทลายเวหาและงามดั่งภาพวาดจนถึงขั้นครบสมบูรณ์ออกมาได้แล้ว อย่างหอกเทพเมฆาแดง ตนก็สามารถสำแดงจนถึงขีดสุดได้อย่างแท้จริง มีมาดของจอมเคารพเมฆาแดงในตอนนั้นบ้างแล้ว!

“ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่า…”

ภายในห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกเทพเมฆาแดงไว้ในมือ ระดับขั้นของเขาเพิ่มทวีขึ้นจนขณะที่สำแดงอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนบนหอกเทพเมฆาแดงออกมาก็สามารถกระตุ้นทุกหนแห่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระตุ้นได้จนถึงขีดสุด บริเวณปลายหอกมีน้ำวนสีดำปรากฏขึ้นรางๆ

“สมบัติลับจำพวกอากาศ ขอเพียงมิใช่สมบัติลับระดับยอดสุด ข้าก็ล้วนสามารถสำแดงออกมาจนถึงขีดจำกัดได้ทั้งสิ้น” บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความมั่นใจที่จะห้ำหั่นกับระดับจอมเคารพซึ่งๆ หน้าแล้ว

ก่อนหน้านี้

แม้พอจะสามารถประมือได้บ้าง แต่ก็ถูกกดดันอย่างสิ้นเชิงและต้องถูกโจมตีจนหนีไป

ตอนนี้มั่นใจว่าจะสามารถเจ้าเข้ามา ข้าสวนไปและต่อกรกันเป็นร้อยๆ หนได้แล้ว สมบัติลับในมือสามารถสำแดงอานุภาพออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือศาสตร์ร่างแยกก็สามารถบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง

“ศาสตร์ร่างแยก!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงชกตรงออกไปหมัดหนึ่ง! เหนือผิวกายทั้งร่างมีแสงเรืองรอง ชกออกไปหมัดหนึ่ง ฟ้าดินรอบด้านก็พลันยุบลงแล้วรวมตัวกัน ท้ายที่สุดก็มีหลุมดำทะมึนขนาดราวครึ่งร่างมนุษย์หลุมหนึ่งปรากฏขึ้น พลังคละถิ่นโหมซัดเข้ามา ราวกับพลังคละถิ่นของบริเวณที่ห่างจากโลกกำเนิดไปลิบลับก็โหมซัดเข้ามาด้วยเช่นกัน

เข้มข้นและใหญ่โตอย่างยิ่ง

นี่จึงจะเป็นขีดสุดของทลายเวหา! ชกหมัดหนึ่งออกไปก็กำแหงเหิมเกริมถึงขีดสุด!

เมื่อมาถึงเวลานี้ อย่างทลายเวหา งามดั่งภาพวาดและเคล็ดผนึกห้าภาพก็ไม่มีความแตกต่างอันใดกันแล้ว เนื่องจากตอนที่อยู่ในขั้นอลวน เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นอาศัยห้าสายผสมผสานกัน อานุภาพจึงเหนือกว่าทลายเวหาและงามดั่งภาพวาดอย่างสิ้นเชิงได้

ส่วนกระบวนท่าทลายเวหาครบสมบูรณ์ ก็ต้องหลอมรวมกระบวนท่าถึงห้าสายเข้าด้วยกัน

งามดั่งภาพวาดก็ผสานรวมเอากระบวนท่าถึงสี่สายเอาไว้

บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะรวบรวมได้เพียงสองสายเท่านั้น จะต้องอาศัยร่างชั้นที่สองระดับขั้นครบสมบูรณ์ของร่างเมฆทักษิณาทิพย์จึงจะสามารถสำแดงสองกระบวนท่านี้ออกมาได้ อานุภาพของสองกระบวนท่านี้ย่อมแตกต่างกับเคล็ดผนึกห้าภาพระดับขั้นครบสมบูรณ์ไม่มากสักเท่าใดนัก

ยิ่งเข้าใกล้ระดับยอดสุดมากเท่าไหร่

กระบวนท่าระหว่างกันก็คล้ายคลึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เพียงแต่มุ่งเน้นไปยังทิศทางที่แตกต่างกันก็เท่านั้นเอง

เช่นบริเวณเมฆาแดงนั้นเป็นด้านบริเวณ

ทลายเวหานั้นเป็นด้านการโจมตี

ส่วนผนึกห้าภาพนั้นเป็นการพันธนาการศัตรู

ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นเคล็ดวิชาสำหรับการเคลื่อนที่ออกจากโลกกำเนิดมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่ง! น่าเสียดาย ร่างเมฆทักษิณาทิพย์นั้นคิดค้นขึ้นมาเพื่อหลอมรวมกับ ‘ทลายเวหา’ และ ‘งามดั่งภาพวาด’ โดยเฉพาะ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ นั้นต้องหลอมรวมถึงหกสายเข้าด้วยกันจึงจะสามารถสำแดงออกมาได้ นอกจากนั้นตนยังไม่มีสมบัติลับที่สัมพันธ์กันคอยช่วยเหลือ จึงทำได้เพียงค่อยๆ ฝึกฝนไปเท่านั้น

ต่อให้สามารถสำแดงออกมาได้ ก็มีความหมายไม่มากนัก! เนื่องจากสิ่งที่ตนใฝ่หาก็คือสามารถนำพาให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมาได้เช่นกัน! นั่นจะต้องเป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดเท่านั้นจึงสามารถทำได้

“ศาสตร์ลับต่างๆ เป็นท่าไม้ตายในด้านที่แตกต่างกันซึ่งเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนคิดค้นขึ้นมา บัดนี้ข้ากลับยืนเคียงไหล่กับคนรุ่นก่อนได้แล้ว จึงจะสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี

เดิมทีระดับขั้นกับกระบวนท่าก็เป็นแนวคิดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

ระดับขั้นถึงแล้ว กระบวนท่าก็ยังต้องอาศัยตนเองคิดค้นขึ้นมา! หรือไม่ก็ไปศึกษาสิ่งที่ผู้อื่นคิดค้นขึ้น!

อย่างยุทธวิธีเมฆาแดง เหตุใดรัฐโบราณคิมหันตวายุจึงไม่เผยแพร่สู่ภายนอกกันเล่า ก็เพราะศาสตร์ลับวิชานี้เมื่อฝึกจนถึงช่วงท้ายแล้วก็ร้ายกาจจนยากจะรับมือได้

เคล็ดผนึกห้าภาพก็ล้ำค่าเช่นกัน เพราะเหตุใดน่ะหรือ ดูจากที่จ้าวมารเพลิงพิโรธถูกตงป๋อเสวี่ยอิงพันธนาการเอาไว้ก็รู้แล้ว!

โดยทั่วไปหากมีพลังเท่าเทียมกัน ก็ยากมากที่จะโจมตีสังหารได้

แต่เคล็ดผนึกห้าภาพกลับสามารถทำให้ผู้ที่มีพลังเท่าเทียมกันสามารถล้างสังหารอีกฝ่ายได้! หากหนีออกไปไม่พ้นและถูกเก็บเข้าไปในลูกแก้วห้าภาพ ก็จบเห่แล้ว!

……

ฟิ้วๆๆ…

พลังคละถิ่นที่โหมซัดทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงวิวัฒน์ไปอีกครั้ง ขีดจำกัดของกฎเกณฑ์อันสูงส่งอ่อนแอลงแล้ว รัศมีอันเรืองรองสายแล้วสายเล่าลอยออกจากร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงไปยังอีกด้านหนึ่งแล้วรวมตัวกันขึ้นมาเป็นร่างใหม่ ร่างแล้วร่างเล่ารวมตัวกัน ขณะเดียวกับที่รวมตัวขึ้นมานั้น วิญญาณก็ฟื้นฟูและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ร่างแยกที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องเงียบเพิ่มขึ้นทุกทีๆ นับร้อย นับพัน ห้องเงียบซึ่งเดิมทีกว้างขวางกลับมีเงาร่างนั่งอยู่แน่นขนัดไปหมดจนนั่งลงไปไม่ได้อีกแล้ว

“บำเพ็ญศาสตร์ร่างแยกจนถึงขั้นนี้ หากคิดอยากฆ่าจริงๆ ก็ยากเสียยิ่งกว่ายากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

ขอเพียงมีร่างแยกร่างหนึ่งรอดชีวิต

ก็จะไม่ตาย

ตอนนี้ยังนับมิได้ว่าล้ำเลิศสักเท่าใดนัก เพราะถ้าอยากสังหารขึ้นมาจริงๆ หากไร้ซึ่งการปกป้องของประมุขรัฐเมฆทักษิณา สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเช่น ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ก็สามารถล้างสังหารร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงในดินแดนจิตโลกาได้ในชั่วความคิดเดียว! ส่วนการปกป้องของประมุขรัฐเมฆทักษิณาน่ะหรือ  ก็ใช่ว่าจะไร้ข้อบกพร่องไปหมด คนอย่างเจ้าเมืองอนันต์และจักรพรรดิเซี่ยซึ่งมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ก็ยังสามารถทำได้ถึงขั้นสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัฐเมฆทักษิณาเว้นแต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเท่านั้น

เพียงแต่ว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นสวามิภักดิ์ต่อสกุลฝานแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ จักรพรรดิเซี่ยจึงไม่มีทางลงมืออย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ

เจ้าเมืองอนันต์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่นิสัยดีที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย

……

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมา แล้วส่งร่างแยกสักหลายร่างไปยังโลกกำเนิดต่างๆ! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีคุณสมบัติพอจะจัดอยู่ในวีรบุรุษผู้ไร้เทียมทานได้แล้ว!

“10081 ร่างแยก” ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เวลาสองวันจึงสามารถฝึกฝนได้หมด

ร่างแยกมากมายถึงเพียงนี้ ก็สามารถเรียกได้ว่าร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่ต้องรักษาพลังจิตของวิญญาณให้สมบูรณ์แบบที่สุด ขอเพียงคงร่างแยกเก้าร่างเอาไว้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่เพียงทำให้พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากเท่านั้น แม้แต่ความเร็วในการบำเพ็ญก็สามารถยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากได้ด้วยเช่นกัน!

******

ณ ทางเดินโลกาพิศวงแห่งอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด

“ผู้อาวุโส”

ขณะนี้ ‘จักรพรรดิจวิน’ ผู้แกร่งกล้าที่สุดของฝูงมารผลาญทำลายในยุคนี้มองไปยังเงาร่างเยื้องหน้าด้วยความเคารพ นี่คือผู้แกร่งกล้าร่างบึกบึนซึ่งหุ้มเกราะสีขาวเงินทั่วทั้งร่าง บนศีรษะยังมีเขาแหลมสีขาวเงินอยู่ถึงสิบสองข้างด้วยกัน เขามีหางเกราะเกล็ดสีขาวเงิน กลิ่นอายของเขามิได้นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก ราวกับเป็นเพียงขั้นอลวนคนหนึ่งเท่านั้น

แต่จักรพรรดิจวินกลับเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจ เนื่องจากตอนนั้นที่เขาลอบท่องไปในโลกทิพย์แห่งแล้วแห่งเล่าแล้วบรรลุเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น ระหว่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้พบกับผู้อาวุโสท่านนี้ในแดนนิมิต

ในแดนนิมิต ผู้อาวุโสท่านนี้ชี้แนะและสั่งสอนเขา เขาจึงสามารถบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็ว

“บัดนี้เจ้าบรรลุถึงขีดจำกัดการบำเพ็ญของเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินพูดเสียงเย็นชา “บัดนี้ต้องรีบบรรลุเทพจักรวาลขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด หลังจากเป็นขั้นสุดยอดแล้วก็คว้าโอกาสเอาไว้…แล้วค่อยทำลายก็แล้วกัน ในฐานะเผ่าหนึ่งของฝูงมารผลาญทำลายเรา ยิ่งล้างทำลายได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้รับมอบรางวัลจากโลกกำเนิดมากขึ้นเท่านั้น และก็มีเพียงยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น เมื่อไปถึงยุคหน้า ต่อให้เจ้าล้างสังหารก็มิได้มีผลประโยชน์ระดับนี้แล้ว”

“ขอรับ ผู้น้อยเข้าใจ” จักรพรรดิจวินก้มหน้าพูด

ฝูงมารผลาญทำลายเกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง โลกกำเนิดบ่มเพาะพวกเขาขึ้นมาก็เพื่อให้พวกเขาทำลายล้าง

ยิ่งทำลายล้างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสิ่งตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น

แต่เรื่องนี้จำกัดอยู่เพียงยุคเดียวเท่านั้น เมื่อถึงยุคหน้า เขาก็จะไม่มีคุณสมบัติใช้ ‘กฎเกณฑ์อันสูงส่งของยุค’ ทำลายล้างแล้ว

“สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดให้ได้เสียก่อนค่อยทำลายล้าง เพื่อรางวัลชุดใหญ่! ให้เจ้าสั่งสมอะไรได้มากพอเสียก่อน แล้วแต่ละยุคหลังจากนั้นเจ้าจึงจะมีหวังพยายามทำลายกรงที่กักขังไว้ได้ แล้วบรรลุถึงอีกชั้นหนึ่งอย่างแท้จริง” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง ดอกไม้สีดำขลับดอกหนึ่งลอยมาถึงตรงหน้าจักรพรรดิจวิน

“สมบัติชั้นยอดสำหรับบำเพ็ญชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างใหญ่หลวง อย่าทำให้ข้าเสียหน้าด้วยการที่ไปไม่ถึงแม้แต่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดล่ะ!” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินกล่าว

“ผู้อาวุโสวางใจเถิดขอรับ” จักรพรรดิจวินกล่าว

“ไปเถิด” ทันใดนั้นเงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาโบกมือไปมา จากนั้นจักรพรรดิจวินก็โค้งคารวะแล้วจากไป

ส่วนเหนือทางเดินมิติแห่งนี้

ตรงข้ามเงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินมีเสียงของบุรุษชุดสีน้ำเงินเข้มอีกคนหนึ่งดังขึ้น

“เจ้าเมืองหลัว” มุมปากของเงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “มิได้พบกันตั้งนาน เป็นอย่างไรบ้าง ข้าชี้แนะฝูงมารผลาญทำลายรุ่นหลัง เจ้ามีความเห็นใดหรือไม่”

“พี่จิน” บุรุษชุดสีน้ำเงินเข้มซึ่งก็คือเจ้าเมืองหลัว ยามนี้เขารำพึงเสียงเรียบว่า “จำเป็นด้วยหรือไร ให้เวลาเด็กๆ เหล่านี้อีกสักหน่อยไม่ดีหรือ”

“ขอเพียงมีผู้ร่วมทางถือกำเนิดขึ้นมาสักคนหนึ่ง ต่อให้ตายไปมากกว่านี้แล้วจะนับเป็นอะไรได้เล่า เจ้าหนุ่มจักรพรรดิจวินคนนี้เป็นฝูงมารผลาญทำลาย แน่นอนว่าเขาต้องทำลาย ยิ่งทำลายได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น และโอกาสเช่นนี้ก็มีเพียงยุคนี้ยุคเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้ใช้กฎเกณฑ์อันสูงส่งเพื่อทำลายล้าง หากพลาดไปก็ต้องพลาดไปตลอดกาล” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินยิ้มน้อยๆ “ข้าก็แค่ชี้แนะฝูงมารผลาญทำลายเท่านั้น มิได้ฝืนคำสัญญาในตอนแรกเสียหน่อย เอาล่ะ ข้าเพิ่งลงมือหมักสุราชั้นเลิศเองกับมือ จะมาชิมดูสักหน่อยหรือไม่”

เจ้าเมืองหลัวพยักหน้า “ดีขอรับ”

“เจ้าน่ะเมตตาเกินไป ทุกชั่วขณะสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ต้องตายไปอยู่แล้ว แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ ไยต้องใส่ใจด้วยเล่า” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินยิ้มแล้วยิ้มอีก

 ……………………………….