ภาคที่ 34 เทพจักรวาล ตอนที่ 36 เจ้าเมืองหลัวกับตงป๋อเสวี่ยอิง

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เรือใหญ่ลำหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน

ภายในเรือใหญ่ก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยา และคนรุ่นหลังของครอบครัวพี่สาวน้องชายทั้งสองจำนวนหนึ่ง

คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่างก็กำลังบำเพ็ญอยู่ภายในห้องเงียบบนเรือ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและภรรยากลับกำลังมองดูโลกภายนอกผ่านผนังโปร่งแสงของเรืออยู่ภายในห้องอันกว้างขวางห้องหนึ่งบนเรือใหญ่ อากาศอันสับสนอลหม่านเต็มไปด้วยความอ้างว้าง มีสรรพสิ่งต่างๆ นานาที่พังทลายแหลกสลายซุกซ่อนอยู่สามารถมองเห็นจักรวาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลๆ ผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านได้

จักรวาลเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูงตามการเคลื่อนที่เข้าไปของเรือใหญ่ แล้วก็ค่อยๆ ออกห่างไป

อีกทั้งยังมองเห็นแผ่นดินใหญ่ที่ลอยตัวอยู่แห่งหนึ่ง ด้วยพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิว ต่างก็สามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่กันอย่างแน่นขนัดบนแผ่นดินใหญ่ที่ลอยตัวอยู่ได้

“เสวี่ยอิง ตอนที่เจ้าถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กดดันเสียจนวิญญาณกระจัดพลัดพราย สิ่งที่ข้าตั้งหน้าตั้งตาคอยที่สุดก็คือวันวารเช่นนี้นี่แหละ” อวี๋จิ้งชิวและตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็นั่งขัดสมาธิพลางดื่มสุราผลไม้ที่แต่ละคนชื่นชอบ รสนิยมของอวี๋จิ้งชิวและตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแตกต่างกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงเอนเอียงไปทางความเรียบง่าย ส่วนอวี๋จิ้งชิวนั้นชมชอบสุราผลไม้ที่พิเศษและมีการกระตุ้นมากกว่า

“อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นช่างกว้างใหญ่จริงๆ จักรวาลก็มีอยู่มากมายเหลือเกิน” อวี๋จิ้งชิวมองออกไปยังที่ไกลๆ ไปยังจักรวาลที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลันตามการเคลื่อนเข้าใกล้ของเรือใหญ่

“ถึงแม้ว่าจะมีโลกทิพย์อยู่หลายแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่แฝงอยู่ในจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน ก็เหนือกว่าโลกทิพย์อยู่มากโขนัก”

เพื่อไล่ล่าสังหารฝูงมารผลาญทำลาย สามารถเรียกได้ว่าเหยียบย่างไปทั่วทั้งโลกกำเนิดบ้านเกิด เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าจำนวนของจักรวาลนั้นมีมากมายเพียงใด

“ตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย เช่นโลกทิพย์โบราณของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนของตอนนั้นเท่านั้นเอง โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกทิพย์กิเลนบูรพา และโลกจอมมารดายังสู้โลกทิพย์โบราณมิได้เลย! ตอนนั้นหลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปแล้ว พลังดั้งเดิมก็กระจัดกระจายไป จักรวาลแต่ละแห่งบ่มเพาะถือกำเนิดขึ้น สิ่งมีชีวิตในจักรวาลทุกแห่งเมื่อเทียบกับโลกทิพย์แล้วก็แทบจะไม่เข้าตาเลย แต่เมื่อจำนวนมากมายแน่นขนัดรวมกันขึ้นมาแล้วกลับเหนือกว่าโลกทิพย์อยู่มากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “โชคดีที่จักรวาลทุกแห่งล้วนกีดกันผู้มาจากภายนอกดังนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะสืบทอดคำสอนก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งแล้ว”

“หืม”

ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวต่างก็หันหน้าไปมอง

เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งทะลุผ่านกำแพงตำหนักมาจากโลกภายนอกเข้ามาภายในห้องโถง เงาร่างรวมตัวปรากฏขึ้นมา ซึ่งก็คือบุรุษในชุดสีฟ้าเข้มคนหนึ่ง

“เจ้าเมืองหลัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นด้วยความตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

“คารวะเจ้าเมืองหลัว” อวี๋จิ้งชิวก็ยืดกายลุกขึ้นทำความเคารพเช่นกัน พร้อมกันนั้นก็เอ่ยว่า “เสวี่ยอิง พวกเจ้าสนทนากันไปเถิด”

อวี๋จิ้งชิวถอยออกไปในทันที

ภายในห้องโถง เหลืออยู่เพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าเมืองหลัวสองคน

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกอัศจรรย์ในใจ ทั้งยังมีความสงสัยอยู่บ้าง สถานะของเจ้าเมืองหลัวที่อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีความจำเพาะอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยบรรดาเทพจักรวาลต้านทานจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าเมืองหลัวนี้ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นเขาลงมือ แต่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็มิกล้าดูแคลนเจ้าเมืองหลัวผู้นี้กันทั้งสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา แล้วก็ยิ่งหวาดกลัว ‘เจ้าเมืองหลัว’!

เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่ง

คนผู้หนึ่งที่ถูกกฎเกณฑ์สูงสุดฝืนกดดันพลานุภาพเอาไว้ที่ระดับขั้นอลวน แต่พลังรบก็ยังสามารถไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองได้ นี่ช่างน่าหวาดหวั่นเพียงใด!

“ตงป๋อเสวี่ยอิง” เจ้าเมืองหลัวเอ่ยปาก

“เจ้าเมืองหลัวมาหาข้าถึงที่นี่ มิทราบว่ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

“เจ้าไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วหรือ พรสวรรค์สูงส่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญของพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย” เจ้าเมืองหลัวพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง

เรื่องที่ตนบรรลุยังมิได้เปิดเผยสู่สาธารณะเสียหน่อย! ตนเองมิได้สำแดงแล้วเจ้าเมืองหลัวล่วงรู้ได้อย่างไรกัน

“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก เจ้ายืนอยู่ที่นั่น ระดับการแทรกซึมเข้าสู่ทั้งโลกกำเนิดที่อยู่รอบๆ ห้วงอากาศโดยรอบที่ตามระลอกคลื่นปณิธานของเจ้าทุกสาย…สิ่งเหล่านี้ต่างก็เปิดเผยระดับขั้นของเจ้าออกมาทั้งสิ้น มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปเสียแล้ว

ระดับการแทรกซึมของโลกกำเนิด?

ห้วงอากาศและปณิธาน?

ให้ฟังก็พอเข้าใจอยู่ แต่ตนจะรู้สึกเหลือเชื่อถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน

สำหรับตน ตระหนักรู้วิถีแล้ว ถ้าหากไม่สำแดง ว่ากันตามหลักการก็ต้องดูไม่ออกอยู่แล้ว!

“เจ้ามิได้กระโดดหนีออกไปจากกรงขังนี้ ถ้าหากมีวันหนึ่งที่เจ้าสามารถหนีออกไปจากกรงขังโลกกำเนิดนี้ได้ เจ้าก็จะเข้าใจเองนั่นแหละ” เจ้าเมืองหลัวพูด

“เจ้าเมืองหลัวหนีออกไปจากกรงขังนี้ได้แล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความตื่นตะลึงในใจ

เจ้าเมืองหลัวพยักหน้า

ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะหัวใจเต้นรัวเร็วมิได้

เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าระดับขั้นของเจ้าเมืองหลัวสูงจนไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าพลานุภาพของอีกฝ่ายถูกกดเอาไว้ที่ขั้นอลวนมาโดยตลอด ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าคงจะมาจากโลกกำเนิดภายนอก เพียงแต่มิกล้าแน่ใจมาโดยตลอดว่าไปถึงระดับขั้นในตำนานแล้วหรือไม่…หนีออกไปจากกรงขังโลกกำเนิดนี้ได้ ไปถึงระดับสิ่งมีชีวิตอีกขั้นหนึ่ง

“ที่ข้ามาก็เพราะต้องการจะบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า” เจ้าเมืองหลัวพูด “โลกกำเนิดทางนี้ เดิมทีข้าคิดว่าจะต้องผ่านเวลาสิบแปดล้านสามแสนสองหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านปี จึงจะเหนี่ยวนำให้เกิดมหาวินาศ อ้างอิงจากการขยายตัวของโลกกำเนิดตามปกติก็ควรจะเป็นเช่นนี้! เพียงแต่ว่าได้เกิดความแปรผันอย่างหนึ่งขึ้น อัตราเร็วในการแหลกสลายของบ้านเกิดของพวกเจ้านั้นอาจจะเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาล”

“เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาลหรือ” ม่านตาตงป๋อเสวี่ยอิงหดเล็กลง

“‘จักรพรรดิจวิน’ แห่งฝูงมารผลาญทำลายมีการตระหนักรู้สูงส่งเป็นที่สุด ไปถึงระดับท้ายสุดของเทพจักรวาลชั้นที่สอง อีกทั้งยังมีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นอีกคนหนึ่งช่วยเหลือ ก็มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งในการบรรลุไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เมื่อใดที่บรรลุ เป็นถึงฝูงมารผลาญทำลายที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้  มันเกิดมาก็เพื่อผลาญทำลาย ยิ่งผลาญทำลายมาก สิ่งที่กฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดจะกำนัลให้เขาก็ยิ่งมาก จักรพรรดิจวินจะต้องผลาญทำลายอย่างอุกอาจแน่นอน ระดับเทพจักรวาลขั้นสูงสุดคนหนึ่งทำลายล้างตามอำเภอใจ ก็ต้องทำให้อัตราเร็วในการทำลายล้างทั้งโลกกำเนิดยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลอยู่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นอีกคนหนึ่งช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคืออะไรกัน”

“พลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย” เจ้าเมืองหลัวพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแล้ว

ก็คือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นเกรงที่หนีออกจากกรงขังโลกกำเนิดแล้วเช่นกันนั่นเอง

“ในบรรดาผู้ร่วมทางของข้า มีบางส่วนที่คิดว่าถ้าหากสิ่งมีชีวิตในยุคหนึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วสามารถให้กำเนิดเทพจักรวาลขั้นสุดยอดคนหนึ่งออกมาได้ เช่นนั้นยุคนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว มีเพียงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดเท่านั้นจึงจะสามารถฝืนต้านทานเอาชีวิตรอดภายใต้การผลาญทำลายของกฎเกณฑ์สูงสุด แล้วมีความเป็นไปได้ที่จะหนีออกจากกรงขังนี้ได้” เจ้าเมืองหลัวพูด “แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ต่างก็ควรจะให้โอกาสพวกเขาสักหน่อยทั้งนั้น”

“ในยุคนี้ของพวกเจ้ามีเพียงจอมกระบี่กับเจ้าเท่านั้นที่นับว่ายังพอมีความหวังอยู่” เจ้าเมืองหลัวยื่นมือออกมา ฝ่ามือของเขามีเมล็ดพันธุ์สีดำเมล็ดหนึ่งปรากฏขึ้น

โยนเบาๆ คราหนึ่ง

เมล็ดพันธุ์ก็ร่วงหล่นลงบนพื้นผิวโลหะภายในห้องโถง

ฟึ่บ…

เมล็ดพันธุ์ก็แตกหน่อผลิใบอย่างรวดเร็วและเงียบงันไร้สุ้มเสียง แทงรากลงในผิวดิน อีกทั้งยังไหวเอนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วคล้ายกับเถาวัลย์ ผลิใบเขียวชอุ่ม แล้วยังมีดอกตูมเริ่มปรากฏขึ้น มีดอกตูมที่มีสีสันแตกต่างกันทั้งสิ้นเก้าดอกปรากฏขึ้น

“หนึ่งดอกก็คือโลกหนึ่งแห่ง” เจ้าเมืองหลัวพูด “โลกทุกแห่งมีทั้งการเกิดและการเหี่ยวเฉาสูญสลาย บุปผาโลกาเก้าดอกนี้ เมื่อใดที่ร่างจริงของเจ้าเข้าไป บุปผาโลกาก็จะค่อยๆ ผลิบานจนกระทั่งเหี่ยวเฉาไป! ผลิบานจนเหี่ยวเฉาก็เพียงแค่หนึ่งแสนปีเท่านั้น! ภายในโลกทุกแห่งก็มีสรรพชีวิตถือกำเนิด สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนขยายพันธุ์ ทว่าต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตสามัญธรรมดาเท่านั้น ไม่มีเหนือธรรมดาปรากฏขึ้นเลย! แต่ว่าโลกเหล่านี้ก็จะผ่านการผลิบานจนเหี่ยวเฉาภายในระยะเวลาหนึ่งแสนปีอันแสนสั้น ห้วงอากาศของมันนั้นกำลังวิวัฒน์อยู่ตลอดเวลา เป็นสมบัติชั้นยอดในการหยั่งรู้วิถีอากาศ”

“บุปผาโลกาเก้าดอกเป็นการอนุมานที่แตกต่างกันของวิถีอากาศ เป็นตัวแทนของโอกาสเก้าครั้ง”

“เมล็ดพันธุ์บุปผาโลกา…ได้มายากนัก รักษาเอาไว้ให้ดีๆ เถิด กับยุคนี้ของพวกเจ้า ข้าก็สามารถทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะนะ” เจ้าเมืองหลัวพูด

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดอกตูมเก้าดอกของบุปผาโลกาที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็อดที่จะตื่นตระหนกมิได้

เขารู้ดี

โอกาสครั้งใหญ่…

เป็นโอกาสครั้งใหญ่โดยแท้! นี่เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่เขาอยู่ที่รัฐโบราณคิมหันตวายุก็ยังมิอาจได้มาเลย

เขาฟังออกว่าเจ้าเมืองหลัวน่าจะให้ความช่วยเหลือทั้งกับเขาและจอมกระบี่

“รักษาเวลาให้ดี คว้าโอกาสเอาไว้ให้มั่น” เจ้าเมืองหลัวมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่ง “เวลาที่เหลืออยู่ช่างแสนสั้นนัก ดูเหมือนว่าจะไม่ยุติธรรมต่อพวกเจ้า ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีความยุติธรรมที่แน่นอนอยู่แล้ว!”

“ข้าเข้าใจ ขอบคุณผู้อาวุโสขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าเมืองหลัวแย้มยิ้มน้อยๆ

เขาช่วยเหลือคนก็ดูพฤติกรรมด้วย

อย่างเช่นพวกที่มีอุปนิสัยชั่วร้าย ต่อให้พรสวรรค์สูงส่งกว่านี้ เขาไม่ลอบทำลายอย่างลับๆ ก็นับว่าดีมากแล้ว ยิ่งไม่มีทางช่วยเหลืออยู่แล้ว

“พรึ่บ” เงาร่างของเจ้าเมืองหลัวหายลับไปในทันใด

ตงป๋อเสวี่ยอิงท่าทีเคร่งขรึม

ขณะนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดในอดีตเจ้าเมืองหลัวจึงสอดแทรกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ น้อยนัก เพราะสำหรับบุคคลระดับนี้ เกรงว่าประสบการณ์ที่อากาศอันสับสนอลหม่านคงจะเป็นเพียงแค่การเดินทางอันแสนง่ายดายครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง เจ้าเมืองหลัวก็เป็นเหมือนผู้ชมที่สังเกตการณ์ดูทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นเอง

“บุปผาโลกาหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดอกตูมเก้าดอกตรงหน้า

จิตใจไหวสั่น

ด้านข้างมีร่างแยกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในทันที ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็มีร่างแยกอยู่ถึงเก้าร่างที่ทางอากาศอันสับสนอลหม่านนี้ ระดับความแข็งแกร่งของร่างแยกอาภรณ์ดำที่ปรากฏขึ้นนี้ยกระดับขึ้นอย่างฉับพลัน แม้กระทั่งวิญญาณของร่างแยกของเขาที่อยู่ข้างนอกในตอนนี้ต่างก็กลายเป็นอ่อนแอลงเล็กน้อยแล้ว ส่วนร่างแยกอาภรณ์ดำนี้ไปถึงสถานะสุดยอดที่สุดแล้ว

“บุปผาโลกาทุกดอกตั้งแต่ผลิบานจนเหี่ยวเฉา เพียงแค่หนึ่งแสนปีเท่านั้นเองหรือ” จากนั้นร่างแยกอาภรณ์ดำก็โน้มตัวเข้าไปยังดอกตูมสีชมพูดอกหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างสุด

ตามการเคลื่อนเข้าไปใกล้ของร่างแยกอาภรณ์ดำ

ดอกตูมสีชมพูก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลันในทัศนวิสัย ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้ซึ่งขอบเขต

แล้วร่างกายก็เข้าไปในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง

………………………………………….