ฟ้าดินเต็มไปด้วยความอลหม่าน
ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงบนพื้นดิน สรรพสิ่งยังมิได้ถือกำเนิดขึ้น มีเพียงพลังอันพลุ่งพล่านปั่นป่วนกระจายตัวอยู่เท่านั้น สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมพายุคลั่งพัดกระหน่ำ คลื่นน้ำระฟ้า ภูเขาไฟระเบิด…ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำตลอดร่างก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ความคิดอันยิ่งใหญ่ของเทพจักรวาลปกคลุมไปทั่วทั้งโลก รับสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงอยู่ตลอดเวลาของโลกทั้งใบ
พันปีให้หลัง ฟ้าดินกระจ่าง โลกนิ่งสงบ
มีต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์แมลงต่างๆ ถือกำเนิดขึ้น มีสัตว์นานาชนิดปรากฏอยู่ อีกทั้งยังมีมนุษย์ที่มีขนหนาแน่นปกคลุมทั่วร่างปรากฏขึ้นด้วย ในเวลานี้พวกเขาก็ยังป่าเถื่อนเป็นอย่างยิ่ง
“โฮก”
“โฮก”
มีนักล่าที่โหดเหี้ยมกลุ่มหนึ่งพบตัวคนชุดดำที่นั่งอยู่บนยอดเขาเข้า บริเวณรอบตัวคนชุดดำมีภาพประหลาดต่างๆ นานาปรากฏขึ้น ด้านหลังของเขาคล้ายกับมีโลกขนาดใหญ่มหึมาเหลือประมาณอยู่
บริเวณรอบๆ ยังว่างเปล่า หรือพังทลาย หรือฉีกทึ้ง หรือไม่ก็ตัดขาด…แต่ทั้งหมดนี้ก็มีขอบเขตอยู่ภายในบริเวณร้อยเมตรรอบๆ เท่านั้น บรรดาคนป่าเถื่อนเหล่านี้พูดด้วยภาษาง่ายๆ พร้อมกันนั้นก็เคลื่อนเข้าใกล้อย่างระมัดระวังสำหรับสิ่งมีชีวิตผิวเนียนเกลี้ยง ไม่มีขนดกหนาเหมือนกับพวกเขานี้ พวกเขารู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
แต่ในขณะที่เข้าใกล้ถึงรัศมีร้อยเมตรนั้นเอง กลับไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกแล้ว เพราะมีสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างสกัดพวกเขาเอาไว้
บรรดาคนป่าเถื่อนกลุ่มนี้ประสานสายตากันไปมาพลางส่งเสียงคำรามเสียงต่ำ เพียงไม่นานทุกคนก็คุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะ
จากนั้น…
ชนเผ่าบริเวณรอบๆ มีเสาพิธีอยู่ บนเสาพิธีก็คือภาพของชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสการวิวัฒน์ของห้วงอากาศอยู่ตลอดเวลาที่โลกแห่งนี้ ยอดเขาที่เขาอยู่ก็มีค่ายวงกตปกคลุมอยู่ ทุกๆ หนึ่งร้อยปีจึงจะมีโอกาสสามารถเข้าใกล้เขาได้ วิสัยทัศน์บางอย่างของการบำเพ็ญของเขา ถ้าหากหยั่งรู้ได้สูงส่งพอก็ควรจะสามารถตระหนักรู้ความเร้นลับบางอย่างมาได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นึกอยากจะอาศัยโอกาสดู โลกนี้มีเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาสามัญเท่านั้น ไม่มีเหนือธรรมดาถือกำเนิดขึ้น เหนือธรรมดาไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นได้จริงๆ หรือไม่
มีชายหนุ่มบังเอิญผ่านค่ายวงกตมาได้ มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิง ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่อันล้ำเลิศ สามารถเอาชนะทหารหมื่นคนได้ด้วยกระบี่เดียว
แล้วก็มีชายชราผ่านค่ายวงกตมา ได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงหยั่งรู้เคล็ดวิชา มีชีวิตอยู่มาร้อยกว่าปี แต่ก็ยังคงมิอาจนับได้ว่าเป็นเหนือธรรมดา
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
‘บุปผาโลกา’ นี้ ตั้งแต่ผลิบานจนเหี่ยวเฉาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน มันเกิดความเปลี่ยนแปลง ห้วงอากาศเกิดความเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ภายในก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ต่อให้หยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เพิ่งหยั่งรู้ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กฎเกณฑ์ฟ้าดินก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่หยั่งรู้ในอดีตต่างก็ ‘ล้าสมัย’ ไปเสียแล้ว ไม่มีทางระดมกำลังของโลกนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของโลก ต่อให้พรสวรรค์ร้ายกาจกว่านี้ก็มิอาจสำเร็จเป็นเหนือธรรมดาได้ หรือแม้กระทั่งสำเร็จจริงๆ พอกฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลง พลังยุทธ์ก็จะลดทอนลงจนเปลี่ยนกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง
เมื่อสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว กฎเกณฑ์โดยรอบก็หลีกเลี่ยงไปจนหมด จึงจะมิได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
“น่าอัศจรรย์นัก กฎเกณฑ์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดหย่อนได้ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน “ยังมีการวิวัฒน์ของวิถีอากาศอีกด้วย…”
วิถีอากาศต่างๆ นานา ต่างก็กำลังลดลง
ถ้าหากบอกว่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่งสำแดงเคล็ดวิชาให้ชนรุ่นหลังชมดู ก็คงสำแดงเพียงแค่แปดครั้งสิบครั้งก็สุดยอดแล้ว ทว่าบุปผาโลกาดอกนี้กลับเทียบเท่ากับการสำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศทั้งชุดอย่างเนิ่นช้าที่สุด อีกทั้งยังดำเนินไปตลอดหนึ่งแสนปีเต็ม! ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่าวิถีอากาศไปถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอด การสำแดงเคล็ดวิชาก็คงมิได้เต็มสมบูรณ์เช่นนี้กระมัง
“บุปผาโลกาดอกหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงวิถีอากาศทั้งหมด! บุปผาโลกาเก้าดอกเป็นตัวแทนของโอกาสเก้าครั้ง ถ้าหากบุปผาโลกาดอกอื่นๆ ไม่เหมือนกัน หรือว่าอาจยังสามารถวิวัฒน์เอาดอกใหม่ออกมาได้อีกอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดหวัง
มีความรู้สึกเปิดวิสัยทัศน์กว้างอยู่ตลอดเวลา
ศิษย์ถ่ายทอดเองของบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็มิได้มีสถานะเช่นนี้เลยกระมัง น่าเสียดาย โอกาสเก้าครั้งรวมทั้งสิ้น ‘เก้าแสนปี’ หากยาวขึ้นอีกสักหน่อยก็ยิ่งดี
******
ดินแดนจิตโลกา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“ท่านอาจารย์ วัสดุที่ข้าต้องใช้ในการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ไปถึงชั้นที่สิบสองอันสมบูรณ์ ต้องการสองชิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาพบประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้เป็นอาจารย์
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตกตะลึงอยู่บ้าง “สองชิ้นหรือ”
ก่อนหน้านี้เขาได้หาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปชิ้นหนึ่งแล้ว
เพราะเขาเคยพูดเอาไว้แล้วว่าหากศิษย์ระดับขั้นถึงแล้ว เขาก็จะมอบวัสดุที่ใช้ในการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ให้เปล่าๆ แน่นอนว่ามอบให้เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น! มิฉะนั้นร่างแยกมากมายเช่นนั้นตายไปร่างแยกหนึ่ง ร่างแยกใหม่ก็จะบำเพ็ญต่อไปอย่างนั้นหรือ ต่อให้เขามั่งคั่งร่ำรวยกว่านี้ก็ไม่มีทางจัดหาวัสดุพิเศษล้ำค่ามาให้ได้มากมายเช่นนั้นอยู่แล้ว
“นี่คือกระดิ่งจิตมาร มีอยู่สองชิ้นพอดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางยื่นให้ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็รับมาด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีเขาก็มิได้ใส่ใจเลย
แต่ก็ฝืนมอบผลประโยชน์ให้กับลูกศิษย์มาโดยตลอด ในใจศิษย์ก็คงจะมิได้สบายใจสักเท่าใดนัก
“วัสดุมากมายที่สามารถบำเพ็ญไปถึงระดับสมบูรณ์ได้ ที่ข้าสะสมทั้งหมดก็มิได้มีอยู่มากมายสักเท่าใดนักหรอกนะ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “ประเดี๋ยวเดียวเจ้าก็ต้องการถึงสองชิ้นเชียวหรือ รวมกับครั้งก่อนก็เป็นสามชิ้นเต็มๆ แล้ว ต้องการอะไรมากมายเช่นนั้นเล่า การต่อสู้ที่ข้างนอก ร่างแยกต่อสู้ร่างหลักแค่ร่างเดียวก็เพียงพอแล้ว เจ้ายังมีลูกแก้วห้าภาพและหอกเทพเมฆาแดงอยู่ในมือ ไม่ว่าจะบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์หรือไม่ก็มิได้มีชิ้นช่วยเรื่องพลังยุทธ์มากมายอะไรนักหรอก”
“ข้ามีแผน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ดูท่าทาง เข้ามาที่วังเทพจิตโลกาในคราวนี้ เจ้าเด็กอย่างเจ้าจะต้องวางเดิมพันเอาไว้อย่างหนักเลยทีเดียวสินะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาโบกมือคราหนึ่ง วงแหวนสีทองวงหนึ่งก็ลอยไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ภายในกำไลเก็บวัตถุนี้ก็คือวัสดุสองชิ้น”
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมา
ระดับราคาของวัสดุสองชิ้นนั้นเทียบเคียงได้กับกระดิ่งจิตมารอย่างแท้จริง แพงลิบลิ่วอย่างที่สุด
อันที่จริงตอนนี้ ‘กระดิ่งจิตมาร’ ก็มิได้มีประโยชน์อันใดกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลาหมื่นล้านปี ความสำเร็จทางด้าน ‘เขตลวงโลกเทียม’ ยกระดับขึ้น
ถึงแม้ว่าจะห่างชั้นกับวิถีอากาศ แต่ดีร้ายอย่างไรก็ทำให้สามวิถีในวิถีโลกเทียมห้าสายได้แก่ ‘โลกา’ ‘ภาพลวง’ และ ‘ปรารถนา’ นี้ ไปถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว! ส่วนวิถีอื่นๆ อีกสองวิถีต่างก็ยังค้างอยู่ที่ขั้นอลวนเช่นเดิม
สำหรับการผสานรวมกันน่ะหรือ ก็ยังห่างไกลอีกมากนัก
ต้องรู้ไว้ว่าวิถีอากาศในตอนแรกเพิ่งบรรลุได้ไม่นานสักเท่าใด ทั้งเก้าสายก็ไปถึงระดับเทพจักรวาลทั้งหมด ตอนนี้ภาพฟ้าและภาพดินก็ยังผสานรวมกันได้สำเร็จ ไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สอง ความก้าวหน้ารวดเร็วกว่าวิถีโลกเทียมอยู่มากนัก
ช่วยไม่ได้
วิถีอากาศมีพื้นฐานแน่นหนากว่า!
ในอดีตเขตลวงโลกเทียมล้วนต้องไปหยั่งรู้เอาเอง ตอนนี้ก็ได้รับตำราโลกจิตอันล้ำค่ามาศาสตร์หนึ่ง ก็เป็นเพียงแค่ตำราของเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น การชี้แนะเกี่ยวกับเขตลวงโลกเทียมย่อมไม่เพียงพออยู่แล้ว เช่นปุจฉวิถีคละถิ่น ลำพังแค่เคล็ดวิชาฝึกกายก็จำเป็นต้องใช้แปดสายผสานรวมกัน สำหรับการบรรยายแต่ละสาย การชี้แนะของการผสานรวมกันต่างก็ละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง ยังมีท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่ก็เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีอากาศ ตำราต่างๆ นานา อีกทั้งในตอนเริ่มต้นเขาก็รวมเก้าสายเข้าด้วยกัน คิดค้นเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ออกมา ไม่ว่าพื้นฐานของตนเอง หรือว่าเงื่อนไขภายนอกต่างก็ดีเหลือเกิน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว… การบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมก็ย่อมกินแรงกว่ามาก
‘กระดิ่งจิตมาร’ เป็นเพียงแค่สมบัติล้ำค่าเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สิบ หนึ่งคือเสียงของภาพลวง สองคือโลกา ทั้งสองสายนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ไปถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว ไม่จำเป็นต้องสำแดงเหมือนกระดิ่งจิตมาร! ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถสำแดงได้สามสายก็ตาม
“มีวัสดุสองชิ้นนี้ พลังยุทธ์ของข้าก็สามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ไม่น้อยเลย คราวนี้วังเทพจิตโลกาจะต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
เขาเข้าใจว่าก่อนที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดจะแหลกสลาย เกรงว่าตนคงจะไม่มีโอกาสเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว
……
ในที่สุด
หนึ่งแสนปีหลังจากที่วังเทพจิตโลกาแผ่ระลอกคลื่น
“มาที่พระราชวังคิมหันตวายุให้หมด” เสียงของจักรพรรดิเซี่ยดังขึ้นที่ข้างหูตงป๋อเสวี่ยอิง
ภายในห้องเงียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก้าคนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีร่างแยกเกินหมื่นร่าง แต่ที่สามารถคงความเป็นสุดยอดเอาไว้ได้มากที่สุดก็มีเพียงแค่เก้าร่างเท่านั้น
“ควรออกเดินทางได้แล้วสินะ”
ทั้งเก้าร่างต่างก็พากันลุกขึ้นจนหมด
พรึ่บ
ร่างอื่นๆ อีกแปดร่างต่างก็แปลงกายเป็นลำแสงแทรกเข้าสู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็โบกมือคราหนึ่ง เปิดทางเชื่อมทลายโลกาเส้นหนึ่งขึ้นมาภายในห้องเงียบ มุ่งหน้าตรงไปยังด้านนอกนครหลวงคิมหันตวายุ
……
มาถึงด้านนอกนครหลวงแล้วเข้าไปตามประตูเมือง เดินทางเหยียบย่างห้วงอากาศ ก็มาถึงกลางพระราชวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าเขาจะมาถึงพร้อมๆ กันกับจอมเคารพมารอัคคี พวกเขาสองคนก็มาถึงเป็นลำดับสุดท้าย
“จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นคนทั้งสองแล้ว
จักรพรรดิเซี่ยยังคงสวมอาภรณ์สีดำหรูหราตลอดร่างเช่นเคย กลิ่นอายอันไร้รูปร่างราวกับมายา แต่กลับยิ่งทำให้สูงส่งเหนือผู้ใด คล้ายกับดูแคลนผู้คนนับหมื่น ส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ ‘จักรพรรดิชาง’ นั้น บริเวณกว้างขวางรอบๆ มีความน่าหวาดหวั่นแผ่ปกคลุม คล้ายกับว่าทุกการเคลื่อนไหวต่างก็เพียงพอที่จะผลาญสังหารเทพจักรวาลจำนวนหนึ่งได้เลยทีเดียว ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเข้าใจว่าพวกเขาต่างก็มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ จึงมีพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้
“มาถึงกันหมดแล้วสินะ” จักรพรรดิเซี่ยกวาดสายตาพลางพยักหน้าน้อยๆ “จำเอาไว้ให้ดี พวกเจ้ามิอาจพาสิ่งมีชีวิตอื่นใดไปด้วยได้! รวมถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ก็พาไปด้วยมิได้ทั้งสิ้น ขอเพียงแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ เข้าไปคนหนึ่งก็หมายถึงหนึ่งตำแหน่ง”
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนต่างก็ล่วงรู้ความรู้พื้นฐานเหล่านี้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าต่อให้มีร่างแยกและร่างแปรมากกว่านี้ต่างก็เป็นเพราะวิญญาณเดียวกัน ก็ยังคงเป็นชีวิตเดียวเช่นเดิม
“ไป”
จักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางนำทางพวกเขาไปในทันที
พรึ่บ
ชั่วพริบตาก็มาถึงท้องฟ้าเบื้องบนของทะเลกาฬอเวจีอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ที่นี่มีคลื่นอันปั่นป่วนพรั่งพรูซัดสาด น้ำทะเลก็ยิ่งเต็มไปด้วยความมืดหม่น
จักรพรรดิเซี่ยนำคนกลุ่มหนึ่งไปแล้วพุ่งเข้าไปยังเบื้องล่างในทันใด คล้ายกับว่าในชั่วขณะเดียวก็ผ่านชั้นน้ำทะเลทั้งหมดไปเสียแล้ว พรึ่บๆๆๆ… ส่วนลึกของน้ำทะเลมีสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างชั้นแล้วชั้นเล่า
นั่นคือสิ่งกีดขวางด้านนอกของวังเทพจิตโลกา อีกทั้งยังทะลุเข้าไปในชั้นหินที่พื้นล่างของมหาสมุทรอีกด้วย ในเวลาชั่วพริบตา พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้เห็นว่าที่ส่วนลึกของพื้นล่าง มีอาคารของวังต่อเนื่องกันอย่างใหญ่โตอลังการแห่งหนึ่งอยู่ แผ่รัศมีจับตาออกมา เปล่งประกายไปทั่วทุกทิศทาง อาคารของวังจำนวนนับไม่ถ้วนก็มีกลิ่นอายสายแล้วสายเล่าแผ่ปกคลุม อาจจะเป็นกลิ่นอายของสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า หรือแม้กระทั่งกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นของสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า กลิ่นอายนานาชนิดแผ่ปกคลุม ทำให้เทพจักรวาลทุกคนต่างก็อดที่จะใจสั่นหวั่นไหวมิได้
………………………………………..