ตอนที่ 1893 ยืมดาบหน่อย

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1893 ยืมดาบหน่อย

นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงคิดว่าพวกเขาจบเห่แน่ แต่ด้วยความพิลึกพิลั่นขั้นสุด บุคคลที่มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนยุ่งเหยิงกับพวกเขา, จางเซวียน, ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับและตรงเข้าเล่นงานเทพเจ้าโดยปราศจากความลังเล

นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจ้องมองศิลปะเพลงหอกอันงดงามอย่างที่ตัวเขาไม่มีวันเข้าถึงได้ในชั่วชีวิตนี้ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างละอายใจ “เขาเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตัวเราจะเป็นได้ เพื่อมวลมนุษย์ ความขัดแย้งส่วนตัวไม่มีความหมายอะไรกับเขา เรามองเขาผิดไป”

เพื่อสวัสดิภาพของมวลมนุษย์ อีกฝ่ายยอมแบกรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวโลก และแกล้งตายเพื่อจะได้ลักลอบเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจและขจัดภัยคุกคามจนเบ็ดเสร็จราบคาบ สิ่งนี้บ่งบอกชัดถึงนิสัยและบุคลิกของเขา

บุคคลที่สูงส่งอย่างจางเซวียนจะปล่อยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์คับขันได้อย่างไร?

ขณะที่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกำลังรำพึงรำพันถึงความเข้าใจผิดของตัวเอง ขงซือเหยากับคนอื่นๆก็จังงังกับการโจมตีของจางเซวียน พวกเขาไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาบรรยายความทรงพลังของศิลปะเพลงหอกนั้นได้ มันเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทุกกระบวนท่าลื่นไหลอย่างน่าทึ่ง ในชั่วพริบตานั้น ความเจ็บปวดและความอ่อนล้าของทุกคนดูจะหายวับไป สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือความงดงามของศิลปะเพลงหอก

เทพเจ้าที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก็อึ้งตะลึงไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าจะมีคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในมิติเบื้องล่าง ในช่วงเวลาที่กำลังลังเล หอกนั้นก็มาจ่อที่คอหอยของเขา

ฉึกกกก!

เลือดสดๆทะลักออกมาขณะที่หอกแทงเข้าสู่ผิวหนัง แต่หลังจากเข้าไปได้เพียงนิ้วเดียว จางเซวียนก็รู้สึกเหมือนกำลังจ้วงแทงแผ่นโลหะ ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหนก็ดันหอกเข้าไปไม่ได้ลึกกว่านั้น

“ไม่นึกเลยว่าสภาพแวดล้อมแห้งแล้งทุรกันดารแบบนี้จะสร้างผู้เชี่ยวชาญระดับคุณได้ ไม่เลว, ไม่เลวเลย ผมจะพาคุณไปกับผมด้วย…” เทพเจ้าคำรามและยึดหอกที่ปักลำคอของเขาไว้แน่น

จางเซวียนสะบัดหอกเป็นการโต้ตอบ หอกนั้นแปรสภาพกลายเป็นมังกรสีดำที่รัดร่างของเทพเจ้าไว้อย่างแน่นหนา

เทพเจ้าถึงกับชะงัก เขาจังงังไปครู่หนึ่งก่อนจะโมโหเดือด

ตัวเขาซึ่งเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญจากมิติเบื้องบนจะมาติดกับดักของสิ่งมีชีวิตจากมิติเบื้องล่างได้อย่างไร? นี่มันหยามหน้ากันอย่างแรง!

“คุณรนหาที่เองนะ!”

กล้ามเนื้อของเทพเจ้าปูดโปนขณะที่สำแดงพลังเข้าสู่ท่อนแขนทั้งสองข้าง เขาตั้งใจจะเล่นงาน มังกรสีดำให้ร่วง ก็พอดีกับที่อิฐก้อนมหึมาตกลงมาจากกลางอากาศและกระแทกเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างจัง

พลั่ก!

ก่อนหน้านี้ จางเซวียนได้หลอมหม้อต้นกำเนิดทองคำให้กลายเป็นของล้ำค่าที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก และตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาปล่อยให้หม้อต้นกำเนิดทองคำซึมซับนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณภายในภาพวาด ซึ่งไม่ช้าไม่นานมันก็ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ แม้จะยังห่างไกลกับการสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ แต่ด้วยน้ำหนักมหาศาลของมันและความทนทานอย่างน่าทึ่งของวัสดุที่ใช้ มันก็ยังสามารถสร้างความบอบช้ำให้กับเทพเจ้าได้ด้วยการเล่นงานอีกฝ่ายเข้าที่ศีรษะอย่างจัง

แรงปะทะทำให้เทพเจ้ามึนงงไปครู่หนึ่งขณะที่เสียงโลหะดังกึกก้องอยู่ในหู

ขณะที่เทพเจ้ากำลังโมโหเดือด อิฐก้อนนั้นก็โพล่งออกมา “บอกไว้ให้เข้าใจตรงกันนะ ผมไม่ใช่ก้อนอิฐ แต่เป็นหม้อ ไอ้ที่ตะบันหน้าคุณเมื่อกี้น่ะคือก้นของผม!”

จากนั้น หม้อต้นกำเนิดทองคำก็ไม่ลืมที่จะส่ายก้นของมันไปมาบนใบหน้าของเทพเจ้าเพื่อย้ำประเด็นนั้น

ขงซือเหยากับคนอื่นๆอึ้งตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น

ทำไมผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังระดับนี้ถึงมีของล้ำค่าที่ดูเซอะซะไม่เอาไหน?

แถมเจ้านั่นยังบอกว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเองเป็นหม้อ…

บ้าที่สุดรู้ไหมว่าหม้อคืออะไร?คุณน่ะก้อนอิฐชัดๆ!

ไม่มีส่วนไหนของคุณที่ดูเหมือนหม้อเลย*!*

หรือว่าพวกเราตามแฟชั่นไม่ทัน*?*

“อ๊ากกกกก!” เมื่อรู้สึกได้ถึงก้นหม้อที่ถูไถอยู่บนใบหน้า เทพเจ้าถึงกับปรี๊ดแตก “ไปให้พ้น!”

บึ้มมมม!

คลื่นความสั่นสะเทือนอันทรงพลังระเบิดออกจากร่างของเขา ทำให้หม้อต้นกำเนิดทองคำกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรกระเด็นไป หอกสวรรค์กระดูกมังกรรีบแปรสภาพกลับเป็นหอกก่อนจะลอยละลิ่วเข้าสู่มือของจางเซวียน

พลั่ก!

เทพเจ้าที่กำลังโกรธเกรี้ยวปล่อยหมัดเข้าใส่หม้อต้นกำเนิดทองคำ

“ก้นผมมมมม!” หม้อต้นกำเนิดทองคำตะโกนลั่นขณะกลิ้งไปมาอย่างร้อนใจอยู่กับพื้น ราวกับกำลังพยายามรักษาสภาพเดิมของก้นนั้นไว้

“แก ไอ้สารเลว ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะฆ่าแกซะ!”

เทพเจ้าหน้าตาบิดเบี้ยวขณะจ้องหน้าจางเซวียนเขม็ง เขาเงื้อกำปั้นและปล่อยพลังใส่จางเซวียนโดยไม่ลังเล

ส่วนจางเซวียนก็รีบเปิดใช้งานสายเลือดตระกูลจาง เขาหลบไปเป็นระยะทางหลายร้อยเมตรได้ในชั่วพริบตา จากนั้นก็เงื้อหอกขึ้นและพุ่งเข้าใส่เทพเจ้าอีกครั้ง

“แก่นสารของเวลา?”

เห็นวิธีการที่ชายหนุ่มทะลุมิติไปเพื่อหลบหลีกการโจมตีของเขา เทพเจ้าคำรามเยาะ เขาเงื้อมือขึ้น ตั้งใจจะคว้าชายหนุ่มไว้ในกำมือเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย แต่แล้วก็เกิดเสียงเคร้งดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ เทพเจ้าเงยหน้า จากนั้นก็หรี่ตาด้วยความหวาดระแวง

ในตอนนั้น อาวุธมากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่ ค้อน หอก…รวมแล้วก็ตกหลายร้อยชิ้น

ฟิ้ววววว!

อาวุธเหล่านั้นพุ่งเข้าโจมตีเทพเจ้าอย่างบ้าคลั่ง

“คุณคิดว่าอาวุธสั่วๆพวกนี้จะทำอันตรายผมได้หรือ?” เทพเจ้าพ่นลมอย่างดูแคลน

ด้วยการชำเลืองเพียงแวบเดียว เขาก็ดูออกว่าอาวุธเหล่านั้นล้วนแต่เป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีสักชิ้นที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ อย่าว่าแต่จะเอาชนะเขาเลย ไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียวด้วยซ้ำที่แทงทะลุผิวหนังของเขาได้!

“นั่นสิ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะใช้พวกมันทำอันตรายคุณเหมือนกัน” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย

เขารวบรวมอาวุธเหล่านี้มาจากบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เขาได้สังหารเมื่อตอนอยู่ที่วิหารแห่งขงจื๊อ หากนำไปวางขาย ก็ล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่ขายได้ราคาดี แต่ก็ไม่แข็งแกร่งพอจะเล่นงานได้แม้แต่นักปราชญ์โบราณทั่วไป นับประสาอะไรกับผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ

“ไม่ได้คิดจะใช้พวกมัน?” เทพเจ้าชะงัก

เขาไม่เข้าใจว่าจางเซวียนคิดอะไรอยู่

ในตอนนั้นเอง เทพเจ้าพลันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่อยู่ด้านล่าง เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นหอกเล่มเมื่อครู่แปรสภาพเป็นมังกรสีดำที่รัดเขาไว้แน่นอีกครั้งและสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเขาไว้อย่างสิ้นเชิง

“คุณ…” เทพเจ้าคำรามลอดไรฟัน

สุดท้าย การโจมตีของอาวุธพวกนั้นก็เป็นแค่การเบี่ยงเบนความสนใจของเขาไปจากหอก

แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ต่อให้เขาติดกับ อีกฝ่ายก็ทำอะไรเขาไม่ได้

ขอแค่เขาสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด ก็สามารถเป็นอิสระจากพันธนาการนี้ได้อย่างง่ายดาย คงเจ๋งดีที่จะได้เห็นว่ามังกรสีดำตัวนี้จะแปรสภาพได้อีกกี่ครั้งกี่หนก่อนจะแหลกเป็นชิ้นๆ

แม้หอกจะได้รับการบ่มเพาะมาแล้วหลายครั้ง แต่วรยุทธของมันก็ยังอ่อนด้อยกว่าเขา ทุกครั้งที่มันถูกสลัดกระเด็นไป ก็จะได้รับความบอบช้ำสาหัส ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้ของเทพเจ้า เขาดูออกว่าหอกน่าจะทำแบบนี้ได้อย่างมากที่สุดก็อีก 5 ครั้ง

ขณะที่เขากำลังจะสอยหอกให้กระเด็นไปอีกรอบ จู่ๆชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงและพูดว่า “คุณคือขงซือเหยาใช่ไหม? ขอผมยืมดาบของคุณหน่อย”

“ดาบของฉัน?” ขงซือเหยาชะงัก

แต่เพราะรู้ว่าสถานการณ์เร่งด่วนแค่ไหน เธอจึงยื่นดาบให้จางเซวียนโดยไม่ลังเล

เห็นชายหนุ่มตั้งใจจะใช้ดาบของเธอเพื่อการต่อสู้ ขงซือเหยาละล่ำละลัก “ดาบของฉันเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่ตกทอดกันมาในตระกูลขงของเรา ผู้ที่ไม่มีสายเลือดตระกูลขงจะไม่สามารถซึมซับมันได้ ถ้าคุณอยากใช้มันล่ะก็ ฉันให้คุณยืมเลือดของฉันหยดหนึ่งได้นะ…”

ดาบเล่มนี้หลอมโดยหนึ่งในช่างตีเหล็กฝีมือดีที่สุดของร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ มันสําเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึก อีกเพียงก้าวเดียวก็จะมีวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติแล้ว ใครก็ตามที่มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์พอจะไม่สามารถควบคุมดาบหรือทำให้มันเคลื่อนไหวได้

เธอใช้เวลาเกือบ 3 ปีกว่าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับดาบและใช้เศษเสี้ยวหนึ่งของประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันได้สำเร็จ

ถ้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอต้องการใช้มัน เขาก็จะต้องมีหยดเลือดของเธอเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำให้ดาบยอมจำนนชั่วคราว

“เราไม่มีเวลาแล้ว!” จางเซวียนตอบขณะสะบัดข้อมืออย่างแรง

เคร้งงงง!

ดาบส่งเสียงกึกก้อง ครู่ต่อมา มันก็โค้งคำนับให้จางเซวียนราวกับสุนัขแสนจงรักภักดีที่เขาเลี้ยงไว้

“คะ-คุณทำให้มันยอมจำนนได้แล้วหรือ?” ขงซือเหยาอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ