เฮ่ออีตกใจจนตัวแข็งทื่อ ปากสั่น ตอบกลับไปว่า “คุณ คุณชายรองจะตามกลับมาทีหลังขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็หัวเราะออกมาดังกว่าเดิม “งั้นรึ”

 

 

เฮ่ออีก็พยักหน้าแทบไม่ทัน “ขอรับ คุณชายรองสั่งเช่นนี้ขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไปรอต้อนรับเขาที่หน้าประตูดีกว่า”

 

 

เฮ่ออีเหงื่อไหลตอบกลับว่า “ซื่อ ซื่อจื่อขอรับ คุณชายรองเขา……”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ชายตามองไปที่เขา แล้วพูดเสียงลากยาว “หืม……?”

 

 

เฮ่ออีตกใจจนแทบทรุด แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ประเดี๋ยวคุณชายรองก็มาถึงที่ประตูขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็หันกลับไป

 

 

เฮ่ออีก็รู้สึกแคลงใจในตนเอง เป็นองครักษ์เงามาแต่ไหนแต่ไร โดนอบรบมาตั้งแต่เด็กว่าให้ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย ถึงแม้ว่าหลังจากที่ไปลอบฆ่าซื่อจื่อเฟยแล้วโดนขังคุกเมื่อปีนั้น เขาจากที่เป็นองครักษ์เงาก็กลายเป็นองครักษ์ธรรมดา แต่ว่าความห้าวหาญของตนนั้นไม่ควรจะเปลี่ยนไป แล้วเหตุใดวันนี้เพียงได้ยินคำพูดของซื่อจื่อแค่คำเดียว ก็กลัวจนขายเจ้านายของตนเสียแล้วล่ะ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนถามด้วยความอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก “โยวเอ๋อร์ เจ้าชอบกินแบบค่อยๆ นึ่งหรือว่าค่อยๆ ตุ๋นกันล่ะ”

 

 

เฮ่ออีได้ยินดังนั้นก็เกาหัวเบาๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้ถึงความหมาย จึงยิ้มแล้วส่ายหัวว่า “สมองของเขานั้นกลวงนัก เกรงว่าจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”

 

 

เฮ่ออีก็เบิกตาโพลง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินออกไปด้านนอก

 

 

เฮ่ออีที่ขาแข้งอ่อนแรงก็เดินตามอยู่ด้านหลัง

 

 

ทั้งสามคนมาถึงประตู หวงฝู่อวี้ก็ลงมาจากรถม้าพอดี เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ที่ประตู ก็รีบเดินเข้ามาทันที แล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “พี่ใหญ่ เกิดเรื่องที่จวนหลิน หลิน… …”

 

 

เขายังพูดไม่ทันจบ เฮ่ออีก็ปิดตา ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา กอดเข้าไปที่หวงฝู่อี้เซวียนจากทางด้านหลัง แล้วตะโกนบอกหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรอง รีบหนีเร็วเข้าขอรับ ซื่อจื่ออยากจะกินสมองของท่าน”

 

 

โจวอันชะงักไป

 

 

หวงฝู่อวี้ก็อึ้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็โกรธ แล้วหัวเราะออกมา “ปล่อย”

 

 

เฮ่ออีไม่กล้าปล่อย แล้วตะโกนใส่หวงฝู่อวี้ที่ยังอ้ำอึ้งอยู่ว่า “คุณชายรอง รีบหนีไปสิ ที่ซื่อจื่อมารอก็เพื่อจัดการท่านน่ะขอรับ”

 

 

หวงฝู่อวี้ได้สติ เข้าใจในความหมายที่เขาพูด แต่ก็ร้อนรนทำอะไรไม่ถูก เลยเดินเข้าไปด้านใน

 

 

เฮ่ออีก็ร้องออกมาว่า “คุณชายรอง ไม่ใช่ขอรับ ท่านควรหนีออกไปสิ รอให้ซื่อจื่อหายโกรธก่อนแล้วค่อยกลับมาะเถอะขอรับ”

 

 

“โจวอัน!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียก

 

 

โจวอันถึงได้สติ ก้าวเท้าออกมานำตัวเฮ่ออีออก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เฮ่ออี แล้วเดินเข้าไปที่ด้านใน

 

 

เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้น เฮ่ออีก็รู้ตัวดีว่าจะพบจุดจบที่น่าอนาถอย่างแน่นอน ขาแข้งอ่อนแรงล้มลงกับพื้น

 

 

โจวอันชายตามองเขาเล็กน้อย แล้วจึงเดินตามหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปด้านใน

 

 

เฮ่ออีกัดฟันแล้วลุกขึ้น เดินตามเข้าไป อย่างไรเสียก็มาขนาดนี้แล้ว จะโดนซื่อจื่อทำโทษทั้งที ก็ขอให้ได้รักษาชีวิตเจ้านายไว้ได้ก่อนแล้วกัน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้รีบร้อน เดินตามทางที่หวงฝู่อวี้วิ่งหนีไปอย่างช้าๆ จวนอ๋องก็มีแค่นี้ ดูสิว่าเขาจะวิ่งไปได้แค่ไหนกันเชียว

 

 

หวงฝู่อวี้ก็รู้ตัวดีว่าตนนั้นทำเกินไป แต่ก็ลนลานจริงๆ เลยวิ่งมาตะโกนเรียกที่เรือนของพระชายาฉี “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ขอรับ ช่วยด้วยขอรับ”

 

 

ถ้าหากเป็นวันธรรมดา หวงฝู่อวี้มาขอความช่วยเหลือที่นี่นั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่น่าเสียดายที่วันนี้ดวงซวยจริงๆ เป็นเพราะเด็กน้อยทั้งสองคนกินอิ่มแล้วเพิ่งหลับไป เมื่อหวงฝู่อวี้มาตะโกนเรียก เลยทำให้เด็กน้อยทั้งสองตกใจสะดุ้งโหยง ลืมตาขึ้น แล้วเปิดปากร้อง อุแว้ๆๆ ออกมา

 

 

ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีก็เจ็บใจ อย่าว่าแต่ร้องไห้เสียงดังแบบนี้เลย ในวันปกติทั้งสองคนก็ไม่เคยอยากให้เด็กน้อยทั้งสองร้องไห้ออกมาสักแอะหนึ่ง

 

 

พระชายาฉีเลยโน้มตัวลงไปอุ้มเด็กขึ้นมาหนึ่งคน

 

 

แต่ท่านอ๋องฉีกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับหันหลังไป หยิบท่อนไม้ที่หน้าประตูที่เอาไว้ใช้สำหรับตีหวงฝู่อี้เซวียนที่คอยจะมาขโมยเด็กไป แล้วเดินควงไม้ออกมา ด่าว่า “เด็กเปรต บังอาจมาทำให้หลานรักของข้าตกใจ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่คิดว่าจะมาเจอสถานการณ์เช่นนี้ จึงชะงักไป ภาพที่หวงฝู่อี้เซวียนโดนไล่ตีจนวิ่งไปทั่วเรือนก็ลอยเข้ามา เลยขนลุกขึ้นโดยทันที หันหลังวิ่งออกไป วิ่งไปตะโกนไปว่า “พี่ใหญ่ขอรับ ช่วยด้วยขอรับ”

 

 

ดังนั้น ทั้งสามคนที่ยังเดินไม่ทันถึงเรือนของพระชายาฉีก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก แล้วก็เห็นหวงฝู่อวี้วิ่งกุมขมับหนีออกมาจากเรือน

 

 

แล้วหลังจากนั้น ก็เห็นอีกคนหนึ่งวิ่งออกมา ความเร็วพอๆ กับหวงฝู่อวี้ แล้วควงไม้ในมือไปมาจนเกิดเสียง แล้วตะโกนเรียกออกมาอย่างดุดันว่า “เด็กเปรต หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

 

 

หวงฝู่อวี้คนหน้าโง่ก็วิ่งไปพูดไปว่า “พี่ใหญ่ยังไม่หยุด แล้วเหตุใดข้าถึงต้องหยุดด้วยเล่า”

 

 

เฮ่ออีก็เกิดลนลานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

 

แต่โจวอันกลับทำตัวปกติ มองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มมองภาพตรงหน้าแล้ว ก็เดินเข้าไปที่ห้องของพระชายาฉี แล้วเข้าไปอุ้มเด็กน้อยที่หยุดร้องไห้แล้วอีกคนหนึ่งขึ้นมาอย่างชำนาญ พร้อมกับจูบลงไปที่หน้าผากของเขา มองดวงตากลมโตของนางที่มีความละม้ายคล้ายตน แล้วถามว่า “เมิ่งเอ๋อร์ อยากออกไปสนุกหรือไม่”

 

 

เหมือนเด็กน้อยจะฟังที่เขาพูดออก จึงถีบเท้า หมายความว่าเห็นด้วย

 

 

“เสด็จแม่ขอรับ ข้าอุ้มออกไปนะขอรับ” หวงฝู่อี้เซวียนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

 

 

พระชายาฉีก็ยิ้มๆ แล้วส่ายหน้า “เจ้าก็ เดี๋ยวก็ได้โดนเสด็จพ่อของเจ้าไล่ฆ่าเสียหรอก”

 

 

“ไม่หรอกขอรับ ตอนนี้เขากำลังไล่ตามอวี้เอ๋อร์อยู่อย่างเมามัน ไม่มีเวลามาสนใจหรอกขอรับ”

 

 

พระชายาฉีก็หัวเราะออกมา ตั้งแต่เด็กสองคนนี้ครบหนึ่งร้อยวันก็สามารถอุ้มออกไปได้ พ่อลูกสองคนนี้ก็คอยแต่จะมาแย่งกันพาเด็กๆ ออกไปจนเป็นเรื่องเป็นราว เลยทำให้บรรยากาศของจวนแห่งนี้ดีขึ้นมามาก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเด็กออกมานอกเรือน เห็นเงาของสองคนนั้นที่กำลังไล่ล่ากันอยู่ ก็อุ้มเด็กไว้แน่น แล้ววิ่งตามไป

 

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กน้อยโดนอุ้มแล้ววิ่ง เลยรู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก เอาแต่หัวเราะอยู่ในอ้อมอกของหวงฝู่อี้เซวียน โบกมือไปมาอย่างมีความสุข

 

 

ไม่ง่ายเลยที่วันนี้จะสามารถอุ้มลูกได้อย่างสบายใจ ไม่โดนท่านอ๋องฉีไล่ตาม หวงฝู่อี้เซวียนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก จึงเร่งความเร็วขึ้นอีก

 

 

แล้วเรื่องก็เป็นเช่นนี้ บ่าวรับใช้ในจวนอ๋องเมื่อเห็นภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้ หวงฝู่อวี้อยู่ข้างหน้า กุมขมับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ท่านอ๋องฉีอยู่ตรงกลาง ถือท่อนไม้ควงไปมา ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนอุ้มลูกตามอยู่ด้านหลัง เด็กในอ้อมอกก็เอาแต่หัวเราะเพราะมีความสุข

 

 

ทุกคนก็อึ้ง แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น เจ้านายเช่นนี้สิถึงจะน่าประทับใจ

 

 

จะมีก็แต่เฮ่ออีที่มองภาพหวงฝู่อวี้วิ่งหลบท่อนไม้ของท่านอ๋องฉีอย่างซื่อบื้อทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ลุ้นตอนที่ท่อนไม้ในมือของท่านอ๋องฉีจะฟาดลงบนตัวของหวงฝู่อวี้ ก็จะร้องเรียกออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “คุณชายรองขอรับ รีบวิ่งสิขอรับ ท่อนไม้ของท่านอ๋องฉีจะตามท่านทันแล้ว”

 

 

ทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ ขนาดพระชายาฉีได้ยินเสียงนั้นยังอุ้มเด็กน้อยอีกหนึ่งคนออกมาดูอะไรน่าสนุกเลย

 

 

ท่านอ๋องฉีตามอยู่หลายรอบ แต่ก็ตามหวงฝู่อวี้ไม่ทัน ท่านอ๋องฉีจึงหยุดพักหายใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามา แล้วส่งเด็กน้อยให้กับเขา บอกว่า “เสด็จพ่อขอรับ อุ้มไว้ให้ดีนะขอรับ ข้าจะจัดการเขาแทนท่านเอง”

 

 

“ดี ตีให้หนักๆ ตีจนเขาต้องร้องขอชีวิต”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แอบยิ้มแล้วถือท่อนไม้ตามไป

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ร้องออกมา หันหลังกลับมาแล้ววิ่งเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ขอรับ ไม่เล่นแบบนี้สิขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แล้วท่อนไม้ในมือก็ได้ตกลงไปที่ตัวของหวงฝู่อวี้

 

 

หวงฝู่อวี้ร้องออกมาเสียงดัง ขนาดคนด้านนอกที่เดินผ่านยังได้ยิน

 

 

พระชายาฉีก็สงสาร จึงตะโกนบอกทั้งสองคนว่า “เซวียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว อวี้เอ๋อร์สำนึกผิดแล้ว”

 

 

ในที่สุดก็มีคนสงสารตนแล้ว หวงฝู่อวี้หันตัววิ่งไปหลบที่หลังของพระชายาฉี

 

 

การแกล้งเขาในครั้งนี้ ความกลัดกลุ้มภายในใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ระบายออกมาไม่น้อย กระนั้นจึงหยุดแล้วเดินกลับมาอย่างช้าๆ

 

 

“อวี้เอ๋อร์ทำอะไรงั้นรึ ถึงได้ทำให้เจ้าโมโหได้ขนาดนี้” พระชายาฉีนั้นเข้าใจลูกของตนเป็นอย่างดี เห็นสีหน้าของเขาที่ยังไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก็รู้ทันทีว่าหวงฝู่อวี้จะต้องทำอะไรผิดเป็นแน่

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่หวงฝู่อวี้

 

 

หวงฝู่อวี้ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ

 

 

ท่านอ๋องฉีก็พอจะรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ปกติ จึงพูดว่า “ไปพูดในเรือนเถิด” พูดจบ ก็อุ้มเด็กน้อยเข้าไปในเรือน

 

 

พระชายาฉีก็อุ้มเด็กน้อยเดินตามหลังเข้าไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตามไป และคนสุดท้ายก็คือหวงฝู่อวี้

 

 

เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ก็เรียกแม่นมเข้ามา สั่งให้พวกนางพาเด็กออกไป ท่านอ๋องฉีก็ถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็มองไปที่หวงฝู่อวี้

 

 

หวงฝู่อวี้ก็เล่าเรื่องที่หลินหันเยียนหลอกใช้ตนให้นัดพบกับกูกูผู้ดูแล แล้วพาไปที่จวนหลินให้ฟัง

 

 

ท่านอ๋องฉีก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ตอนนี้จวนหลินเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“เมื่อข้าได้ยินข่าวก็รีบกลับมาหาท่านพี่ใหญ่ ยังไม่ทันได้ส่งคนไปดูสถานการณ์เลยขอรับ” หวงฝู่อวี้บอก

 

 

“ไม่ต้องไปแล้ว ถ้าคำนวณเวลาดู เสด็จลุงน่าจะส่งราชองครักษ์ไปล้อมจวนหลินไว้แล้ว ถึงจะส่งคนไปตอนนี้ ก็ตรวจสอบอะไรไม่ได้หรอก” หวงฝู่อี้เซวียนพูด

 

 

พระชายาฉีก็บอกว่า “เตี๋ยชิงเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถึงได้ใช้ให้ชิงเยียนมาช่วยเหลือตนเอง นางไม่คิดบ้างหรือ ว่าถ้าหากฮ่องเต้รู้เรื่องหลินฉงเหวินตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่คืนตำแหน่งให้กับเขา พลอยหลินจ้งยังจะโดนข้อกล่าวหาหลอกลวงฮ่องเต้ไปด้วย คราวนี้จวนหลินไม่รอดแน่”

 

 

“ฮูหยินหลินวางแผนเก่งเสียเหลือเกิน นางคงไม่ได้บอกกูกูชิงเยียนว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนเสนอแนะ มิเช่นนั้นแล้วกูกูชิงเยียนจะไม่ช่วยนางง่ายๆ เช่นนี้แน่ แต่ว่า นางเหมือนกับแบกหินทับเท้าตนเอง ทำเองรับผลเอง เกรงว่าตอนนี้คงกำลังเสียใจอยู่เป็นแน่ น่าเสียดาย เสียใจตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดได้ถูกต้อง ตอนนี้ฮูหยินหลินกำลังเสียใจ เพราะว่าบ่าวรับใช้รายงานกับนางว่า หลินจ้งถูกองครักษ์กุมตัวไปแล้ว

 

 

ฮูหยินหลินถึงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง แต่ว่า นางก็ยังคงคิดว่าเมื่อฮ่องเต้ได้พบหลินฉงเหวินแล้ว คงเห็นแก่คุณงามความดีที่เขามีต่อราชสำนัก ก็คงจะคืนตำแหน่งให้กับเขา ถึงตอนนั้น พวกเขาสองสามีภรรยาก็คงจะขอร้องให้ปล่อยตัวหลินจ้งได้ บอกว่าเป็นเพียงแค่ความคิดชั่ววูบของเขา เลยทำให้ผิดพลาด ให้ฮ่องเต้อภัยให้กับความผิดของเขาก็เพียงพอแล้ว

 

 

แต่น่าเสียดาย ว่าต่อให้นางคำนวณแผนการไว้ละเอียดเท่าใด ก็มีช่องโหว่อยู่ดี

 

 

หลินฉงเหวินถูกองครักษ์กุมตัวไปที่พระราชวังทันที

 

 

ฮ่องเต้นั่งอยู่ที่เก้าอี้ในตำหนักหยางซินด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก แล้วมองไปที่หลินฉงเหวินที่กำลังมึนงงนั่งอยูที่พื้น ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ย “เรียกตัวหัวหน้าหมอหลวงมาทำให้เขาได้สติเสีย”

 

 

เมื่อหมอหลวงเจียงได้รับราชโองการ ก็ถือกระเป๋ายามาทันที เห็นหลินฉงเหวินที่นอนอยู่กับพื้น ก็มีสีหน้าแปลกใจ แล้วถึงจะทำหน้าปกติเดินเข้าไป คารวะฮ่องเต้

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ ไปตรวจดูสิว่าเหตุใดเขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้

 

 

เหตุใดหลินฉงเหวินถึงกลายเป็นเช่นนี้ หมอหลวงเจียงย่อมรู้ดี เพราะว่ายาระงับสตินี้เป็นเขาเองที่ออกให้ แต่เขากล้าพูดซะที่ไหน จึงแกล้งเป็นไม่รู้เดินเข้าไป จับชีพจรหลินฉงเหวินอยู่นาน จึงลุกขึ้นตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท หลินฉงเหวินใช้ยาระงับสติถึงได้เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“จะทำอย่างไรเขาถึงได้สติ”

 

 

“เอ่อ กระหม่อมก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ ทำได้เพียงแต่รอให้ฤทธิ์ยาของเขาหมดเองพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเจียงปาดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง ตอบกลับไปด้วยความกระอักกระอ่วน

 

 

ฮ่องเต้หรี่ตามอง

 

 

หมอหลวงเจียงก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

ในตำหนักหยางซินเงียบสงัด เงียบเสียจนได้ยินแต่เสียงร้องอันบาดหูของหลินฉงเหวิน

 

 

ไม่นาน ฮ่องเต้จึงกล่าวว่า “เอามันออกไป รอให้ได้สติแล้วค่อยให้เข้ามาเอง”

 

 

ขันทีทั้งสองก็ตอบรับ แล้วเดินเข้าไปลากหลินฉงเหวินออกไปด้านนอก ราวกับลากหมาตายอย่างใดอย่างนั้น

 

 

ฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งกับหมอหลวงเจียงอีกครั้ง “เจ้าก็ออกไปรอด้านนอกด้วย”

 

 

หมอหลวงเจียงรีบตอบรับ หลังจากที่ออกมาจากตำหนักหยางซินแล้ว ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มองไปที่หลินฉงเหวินที่โดนโยนกองอยู่กับพื้น แล้วมองไปที่ท้องฟ้า รู้สึกว่าแสงอาทิตย์วันนี้ช่างจ้าตาเสียเหลือเกิน

 

 

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลินฉงเหวินก็ยังไม่ฟื้น

 

 

หมอหลวงเจียงก็ถอนหายใจออกมา

 

 

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่อยู่ในตำหนักหยางซินก็ยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่

 

 

และแล้วก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หลินฉงเหวินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นชัดบรรยากาศรอบข้างตน ก็สะดุ้งลุกขึ้นนั่งทันที แล้วร้องเรียก “ฮ่องเต้ ช่วยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ซื่อจื่อจะฆ่ากระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”