“บังอาจ!” หัวหน้าขันทีผู้ดูแลตะคอกใส่เขา “ที่นี่คือที่ใด ใช่ที่ๆ เจ้าจะมาโวยวายหรือไม่”

 

 

หลินฉงเหวินเหม่อมองไปที่หัวหน้าขันทีผู้ดูแล สายตาดูถูกเหยียดหยามนั้นถูกส่งออกมา พวกเศษสวะ ตอนนี้ตนนั้นเป็นดั่งเสือที่ตกลงมาให้พวกหมาขี้เรื้อนมันรังแกเท่านั้น รอก่อนเถอะ รอให้ข้าได้กราบทูลฝ่าบาทให้เรียบร้อยเสียก่อน ได้ตำแหน่งคืนเมื่อไร จะรอวันที่มีโอกาสกระตุกหางเปียของเจ้าให้ล้มจนเจ้าลุกไม่ขึ้นเลยทีเดียว

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลนั้นเป็นใคร คลุกคลีอยู่ในวังหลวงมาเป็นสิบปี ยกยอผู้สูงศักดิ์เหยียบย่ำผู้ต่ำต้อย เข้าข้างผู้ที่มีอำนาจมากกว่า ประจบประแจงสอพลอเก่งเป็นที่สุด รู้ว่าควรพูดอะไรกับใครอย่างไร เรื่องแบบนี้ทำมานักต่อนัก ดูสีหน้าท่าทางคนมาก็เยอะ แล้วจะมองไม่ออกถึงสายตาดูถูกของหลินฉงเหวินเลยหรือ เลยเบะปาก ยิ้มเยาะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนือกว่าว่า “หลินฉงเหวิน ฝ่าบาทมีรับสั่ง ถ้าหากเจ้าฟื้นแล้ว ให้กลิ้งเข้าไปข้างใน”

 

 

พูดจบ เห็นท่าทางของหลินฉงเหวินกำลังชะงักอยู่ เลยพูดย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงว่า “อย่าลืมล่ะ กลิ้งเข้าไป”

 

 

“เจ้า… …” หลินฉงเหวินรับคำดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ได้ที่ไหนกันเล่า ในดวงตาแสดงถึงความโกรธเป็นฟืนไฟ ท่าทางเกรี้ยวกราด อดไม่ได้ที่จะจัดการหัวหน้าขันทีเสียเดี๋ยวนี้

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ยิ้มเล็กน้อย ยืนตัวตรงแล้วรายงาน “กราบทูลฝ่าบาท หลินฉงเหวินฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้เขาเข้าไปได้หรือไม่”

 

 

“ให้เขาเข้ามา!” เสียงอันดุดันของฮ่องเต้ก็ดังออกมาจากตำหนักหยางซิน

 

 

หัวหน้าขันทีมองไปที่หลินฉงเหวินด้วยความสะใจ

 

 

หลินฉงเหวินก็มองจ้องไปที่เขาด้วยความโกรธแค้น กัดฟัน สงบสติ กุมขมับ แล้วมุ่งหน้ากลิ้งเข้าไปที่ด้านในตำหนักหยางซิน

 

 

หมอหลวงเจียงก็ตกใจจนตาเบิกโพลง เมื่อได้สติ หลินฉงเหวินก็กลิ้งเข้ามาที่หน้าประตูตำหนักหยางซินแล้ว

 

 

อยากจะเปิดปากเตือนเขา ว่าเป็นแค่คำพูดเพราะความโกรธชั่ววูบของฮ่องเต้เท่านั้น ไม่ได้จะให้เขากลิ้งเข้ามาจริงๆ สักหน่อย

 

 

แต่หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ห้ามหมอหลวงเจียงได้ทัน แล้วเตือนอย่างมีเลศนัยว่า “หมอหลวงเจียง รู้จักปกป้องตนด้วย”

 

 

หมอหลวงเจียงที่กำลังจะเปิดปากก็ปิดปากไป ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

 

ฮ่องเต้รออยู่ที่บัลลังก์ในตำหนักหยางซินจนหงุดหงิดไปเสียหมด มองไปที่ประตูตำหนักหยางซินด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก

 

 

หลินฉงเหวินกลิ้งเข้ามา ตึก ชนเข้ากับธรณีประตูของตำหนักหยางซิน

 

 

ผู้ดูแลทั้งหลายที่อยู่ด้านในหยางซินก็ตกใจ

 

 

พระพักตร์ของฮ่องเต้ขรึมเสียจนไม่ไหว ตะคอกไปว่า “หลินฉงเหวิน มันเหมาะสมหรือไม่ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”

 

 

ในขณะที่กำลังโกรธอยู่ ลืมคิดไปเลยว่าตำหนักหยางซินนั้นมีธรณีประตู หัวของหลินฉงเหวินชนเข้ากับธรณีประตู สมองเลยเบลอไปชั่วขณะ หน้ามืดหูบอดไปชั่วขณะ แม้ว่าจะได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ชัดเจน แต่ก็ใช้เวลานานกว่าจะได้สติกลับมา ดังนั้นจึงไม่ได้ลุกขึ้น

 

 

ฮ่องเต้ก็โกรธเข้าไปใหญ่ จึงรับสั่งกับขันทีที่หน้าประตูตำหนักหยางซิน “พวกเจ้า กุมตัวมันเข้ามาให้ข้า”

 

 

ขันทีทั้งสองคนตอบรับ ก้าวขึ้นไปพยุงแขนคนละข้าง ลากหลินฉงเหวินเข้ามาที่ตำหนักหยางซิน แล้วโยนลงกับพื้น

 

 

หลินฉงเหวินได้สติ จึงก้มคำนับลงกับพื้นอย่างรีบรน “ข้าน้อยหลินฉงเหวินขอคารวะฮ่องเต้”

 

 

ฮ่องเต้ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที

 

 

หลินฉงเหวินถึงนึกขึ้นได้ว่าหลินจ้งใช้เหตุผลว่าตนเองป่วยเลยขอลาไปพักรักษา ขอราชโองการลาตำแหน่ง ตอนนี้ตนไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย จึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “กระหม่อมขอคารวะฮ่องเต้”

 

 

ฮ่องเต้ก็ไม่ได้รีรอ ถามเขาตรงๆ ว่า “หลินฉงเหวิน เจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าเป็นอะไรกันแน่”

 

 

เมื่อได้ยินฮ่องเต้ถามเช่นนั้น หลินฉงเหวินก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก และมีหยดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาที่พร่ามัวของเขา ตอบกลับไปว่า “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องจัดการเรื่องนี้ให้กระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ หวงฝู่ซื่อจื่อคนนั้นอยากใช้เรื่องราชการมาแก้แค้นกระหม่อม เลยข่มขู่หลินจ้งลูกอกตัญญูของกระหม่อมให้กุมตัวกระหม่อมเอาไว้ในจวน แถมยังหลอกลวงฮ่องเต้อีกว่ากระหม่อมป่วย ขอราชโองการถอนตำแหน่งแทนกระหม่อมไปเสียแล้ว”

 

 

นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเซวียนเอ๋อร์ ฮ่องเต้เลยสงบลง เซวียนเอ๋อร์ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนั้น ในเมื่อเขาแต่งงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว แม้จวนหลินจะเป็นอุปสรรคก็ไม่น่าใช่เรื่อง เขาไม่จำเป็นต้องลงมือจัดการหลินฉงเหวินเองเลย นอกเสียจากหลินฉงเหวินจะทำเรื่องอะไรไปยั่วโมโหเขาก็เท่านั้น

 

 

คิดได้เช่นนี้ ก็เก็บความโกรธไว้ก่อน แล้วกลับมาอารมณ์ปกติ ทำตัวสบายๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “ที่เจ้าพูดเป็นความจริงรึ”

 

 

“ที่กระหม่อมทูลเป็นความจริงทุกประการ ถ้าหากว่าฮ่องเต้ไม่เชื่อ ก็เรียกซื่อจื่อมาเข้าเฝ้าได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ทหาร ออกคำสั่งไปที่จวนอ๋องฉี ให้ซื่อจื่อมาเข้าเฝ้าบัดเดี๋ยวนี้”

 

 

ขันทีส่งมอบราชโองการก็ตอบรับ แล้วรีบเดินออกจากวังหลวงไป

 

 

หลินฉงเหวินคิดว่าเรื่องที่ตนโดนกุมตัวนั้นเป็นความจริง คิดว่าฮ่องเต้จะต้องช่วยตนเองอย่างแน่นอน อีกทั้งยังอยากแก้แค้นหวงฝู่อี้เซวียนอีกด้วย แม้เขาจะเป็นซื่อจื่อ อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็จะต้องลงโทษเขาอย่างแน่นอน นี่ก็ถือเสียว่าเป็นการแก้แค้นแบบน้ำจิ้มๆ ก่อนก็แล้วกัน

 

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าฮ่องเต้จะเชื่อหวงฝู่อี้เซวียนเสียยิ่งกว่าอะไร ส่วนเขาน่ะหรือ ตั้งแต่เอาหวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าได้ถึงความโชคร้ายแล้ว

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนรับราชโองการ ก็รีบขี่ม้าตามขันทีที่มาส่งราชโองการมาที่ตำหนักหยางซิน แล้วทำความเคารพ “ขอคารวะเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หลินฉงเหวินบอกว่าเจ้าใช้งานราชการเพื่อแก้แค้นเขา ข่มขู่หลินจ้งให้กุมตัวเขาเอาไว้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่” ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ก็ยังคงความน่าเกรงขรามอยู่

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนท่าทางนิ่งสงบ ยอมรับอย่างผ่าเผยว่า “ทูลเสด็จลุง เรื่องที่ปรึกษากับหลินจ้งให้กุมตัวเขานั้นเป็นเรื่องจริง แต่หลานไม่ได้มีความคิดใช้งานราชการไปแก้แค้นส่วนตัวแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ได้ยินเขาพูดดังนี้ ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากุมตัวขุนนางด้วยเหตุผลส่วนตัวนั้นเป็นโทษประหาร แม้เจ้าจะเป็นหลานของข้าก็ไม่ละเว้น”

 

 

“หลานทราบดีพ่ะย่ะค่ะ เลยให้หลินจ้งมาทูลรายงานขอราชโองการให้ท่านปลดตำแหน่งของหลินฉงเหวินเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หลอกลวงองค์จักรพรรดิ ยิ่งเป็นโทษสถานหนัก” น้ำเสียงของฮ่องเต้ก็ดุดันยิ่งขึ้น

 

 

แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็มองจ้องไปกลับไปที่ฮ่องเต้อย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว “เสด็จลุง ใช่ว่าหลานกับหลินจ้งจะร่วมมือกันหลอกท่าน แต่เพื่อเกียรติของท่านและคนอีกมากมายของตระกูลหลินต่างหาก หลานจึงทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หืม ข้าเกี่ยวข้องด้วยงั้นรึ” ฮ่องเต้หรี่ตามอง ถามด้วยน้ำเสียงน่าสนใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “หลานมิกล้าพูดปดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ว่ามาสิ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็หันไปมองหลินฉงเหวิน แล้วบอกว่า “ให้เจ้าตัวพูดเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นคนทำน่าจะรู้ดีที่สุด”

 

 

ฮ่องเต้หันไปมองหลินฉงเหวิน “พูดสิ ข้ากำลังรอฟังอยู่”

 

 

หน้าผากของหลินฉงเหวินก็เหงื่อออก กัดฟันไปมา “เอ่อ… …”

 

 

แล้วฮ่องเต้ก็พูดด้วยเสียงที่เริ่มโกรธ “เอ่ออะไร ยังไม่รีบพูดความจริงออกมาอีก”

 

 

หลินฉงเหวินก็ก้มกราบลงไปกับพื้น ตัวสั่นไปทั้งตัว ด้านหลังเสื้อก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ยังไม่ทันเล่าเรื่องราว ก็เอ่ยปากร้องขอก่อนว่า “ฮ่องเต้ไว้ชีวิตด้วยเถิด กระหม่อมไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ก็หมดซึ่งความอดทน ทุบลงไปที่โต๊ะอย่างแรง พูดด้วยความโกรธว่า “ยังไม่พูดความจริงอีกงั้นรึ”

 

 

หลินฉงเหวินก็ตัวสั่นระรัว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็เสนอขึ้นว่า “ฝ่าบาท สู้สั่งให้คนนำตัวหลินจ้งมาที่นี่ แล้วให้เขาบอกความจริงกับท่านไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้กำลังจะเอ่ยปากเรียกตัวหลินจ้งเข้ามา หลินฉงเหวินก็เกิดโมโหขึ้นมาทันที “อย่าไปพูดถึงลูกเนรคุณนั่น อกตัญญูสิ้นดี ข้าล่ะอยากจะสับเป็นชิ้นๆ ไม่อยากเจอหน้าเขาอีก”

 

 

พูดจบ ก็มองไปที่ฮ่องเต้อย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว “ฝ่าบาท ท่านไม่ได้อยากรู้หรอกหรือว่ากระหม่อมทำอะไร กระหม่อมจะทูลให้ฝ่าบาททราบ กระหม่อมอยากจะฆ่าพวกที่มารังแกกระหม่อมให้หมด ไม่เหลือไว้แม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ตะเบ็งเสียงใส่เขาว่า “หลินฉงเหวิน เจ้าช่างบังอาจนัก ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้เจ้ายังกล้าสามหาวเช่นนี้เลยรึ”

 

 

“ข้าไม่ได้สามหาว ข้าพูดความจริง พวกเศษสวะพวกนั้น ในเมื่อกล้ารวมหัวกันหลอกข้า ทำให้ข้าเป็นตัวตลกของคนทั่วใต้หล้า เป็นขุนนางผู้น่าอับอาย ข้าทนไม่ได้จริงๆ ข้าอยากจะฆ่าพวกมัน เพื่อระบายความคับแค้นที่อยู่ในใจของข้า” พูดถึงตรงนี้ ก็ใช้มือชี้ไปที่หวงฝู่อี้เซวียน “แต่กลับ…กลับโดนเขาห้ามเอาไว้ มิเช่นนั้นล่ะก็​ ข้าก็ได้ส่งพวกเศษสวะพวกนั้นลงไปหายมบาลตั้งนานแล้ว”

 

 

คำพูดของเขา ทำให้ตำหนักหยางซินเงียบสงัด

 

 

ฮ่องเต้ยังคงชะงักอยู่ หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ไม่รู้จะพูดเช่นไรถึงจะดี เมื่อไม่ได้มีคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจะเตะคนสักทีสองทีคงเป็นไปไม่ได้

 

 

แล้วเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น ทำให้ความเงียบสงัดนั้นหายไป “เสด็จลุงได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ วันนั้นหลานจับได้เสียก่อน เลยให้คนจับตัวเหล่าจอมยุทธ์เข้าคุกผู้ตรวจการไปก่อน มิเช่นนั้นหลายเดือนก่อนหน้านี้คงมีคดีฆาตกรรมที่น่าสยดสยองเกิดขึ้นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ไม่ต้องพูดต่อ ฮ่องเต้ก็เข้าใจแล้ว หลินฉงเหวินเคยเป็นราชเลขากรมทหาร ถ้าหากว่าก่อคดีใหญ่เช่นนี้ จะเป็นการแปดเปื้อนฮ่องเต้และทั้งราชสำนัก

 

 

คิดได้เช่นนี้ ก็ทรงพิโรธขึ้นมาทันที แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็พูดต่อ “หลานและโยวเอ๋อร์ก็พอมีวิชาแพทย์อยู่บ้าง วันนั้นที่ห้ามเขา ก็รู้สึกได้ว่าสติของเขาไม่ปกติ เลยใช้วิธีให้หลินจ้งกุมตัวของเขาเอาไว้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ทำความผิดไปมากกว่านี้ มันจะทำให้คนทั้งจวนหลินเดือดร้อนไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ และที่หลานจะต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ก็มีเหตุผลส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนั้นคุณหนูหลินจะแต่งงานกับอวี้เอ๋อร์ หลานไม่อยากให้คุณหนูหลินกลายเป็นคนที่มีปมเรื่องโดนประหารล้างตระกูลพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อพูดถึงหลินหันเยียน หลินฉงเหวินก็โมโหเป็นอย่างมาก ตะโกนพูดออกมาจนสุดเสียง “อย่าพูดถึงนังลูกอกตัญญูคนนั้น ข้าไม่ได้มีลูกสาวไร้ยางอายเช่นนั้น เกียรติของข้าโดนนางทำลายจนหมดสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้เยี่ยงไร!”​

 

 

ผู้คนที่อยู่ในตำหนักหยางซินก็เห็นได้ว่าเขาไม่ปกติ หลินฉงเหวินเคยเป็นราชเลขากรมทหาร กับเรื่องมารยาทต่างๆ นั้นย่อมรู้ดี อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ไม่สามารถตะโกนโวยวาย เป็นสิ่งที่ทุกคนจำขึ้นใจ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ไม่สามารถละเลยได้ แต่ตอนนี้ เขาไม่เพียงแต่ตะโกนโวยวายถึงสองรอบ อีกทั้งสายตาของเขาก็สื่อถึงความอาฆาตแค้น เหมือนกับคนบ้าอย่างใดอย่างนั้น

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็เอาตัวเองเข้าไปกันที่ด้านหน้าของฮ่องเต้โดยทันที

 

 

“ถอยไป!” ฮ่องเต้ออกคำสั่งด้วยเสียงเย็นชา

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ไม่ถอย พูดว่า “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ หลินฉงเหวินเขา… …”

 

 

“ถอยไป มันจะกล้าฆ่าข้าเลยงั้นรึ” ฮ่องเต้พูดด้วยความโกรธ

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ถอยออก

 

 

แล้วฮ่องเต้ก็มองจ้องไปที่หลินฉงเหวินที่กำลังจะเป็นบ้า

 

 

หลินฉงเหวินก็ใช้ดวงตาที่อาฆาตจ้องมองกลับไป ไม่มีหลบสายตาเลยสักนิด

 

 

แล้วฮ่องเต้ก็หยิบถ้วยชาที่อยู่ด้านข้างปาไปที่หลินฉงเหวิน “เจ้าคนอันธพาล ขนาดข้ายังไม่อยู่ในสายตาเจ้าเลยงั้นรึ”

 

 

หลินฉงเหวินก็เอี้ยวหัวหลบ

 

 

แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็สกัดจุดเขาโดยทันที

 

 

หลินฉงเหวินจึงนิ่งอยู่กับที่

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

 

 

ท่าทางของฮ่องเต้ก็ผ่อนลงเช่นกัน แต่แล้วก็โกรธขึ้นมา ในเมื่อหลินฉงเหวินไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แล้วจ้องไปที่หลินฉงเหวินด้วยความดุดัน กำลังจะเอ่ยปาก

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนก็ดังขึ้น “เสด็จลุง นี่ไม่ใช่หลินฉงเหวิน เขาเจอเรื่องร้ายๆ ติดๆ กันมาหลายเรื่อง สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่นัก เลยทำให้กลายเป็นคนที่เหมือนจะบ้า เรื่องนี้สามารถให้หมอหลวงเจียงเข้ามาตรวจเพื่อยืนยันได้พ่ะย่ะค่ะ ดังนั้น ขอให้เสด็จลุงเห็นแก่ความดีความชอบของเขาที่เคยทำมาแต่ปางก่อน ไว้ชีวิตเขาด้วยเถิด ไว้ชีวิตคนตระกูลหลินด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ความโกรธของฮ่องเต้บรรเทาลง แล้วจึงตรัสสั่ง “เรียกตัวหมอหลวงเจียงเข้ามาตรวจหลินฉงเหวิน”

 

 

หมอหลวงเจียงรับคำสั่ง เดินก้มหน้าเข้ามา คุกเข่าลงคารวะ แล้วเดินไปที่หลินฉงเหวิน นั่งคุกเข่าลงแล้วจับชีพจรของเขา

 

 

ความเงียบสงบกลับมาเยือนตำหนักหยางซินอีกครั้ง

 

 

สักพักหมอหลวงเจียงก็ลุกขึ้น แล้วโค้งตัวพูดว่า “กราบทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมตรวจดูแล้ว อาการบ้าคลั่งของหลินฉงเหวินนั้นกำเริบรุนแรงนัก ถ้าหากว่าไม่รีบรักษา จะทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้เงียบ ไม่ได้ตรัสอะไร

 

 

ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายในตำหนักหยางซินต่างก็ควบคุมลมหายใจของตนเอง กลัวว่าเสียงจะไปรบกวนฮ่องเต้ แล้วตนจะโดนลากไปประหาร

 

 

มีก็แต่หลินฉงเหวินที่ตาเบิกโพลง มองด้วยความโกรธ

 

 

จนกระทั่งคนทั้งหลายต่างก็ลุ้นตัวโก่ง เสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น “ประกาศราชโองการออกไป นับแต่นี้ต่อไปเนรเทศหลินฉงเหวินออกจากเมืองหลวง ไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้อีกตลอดชีวิต”

 

 

ดวงตาของหลินฉงเหวินก็เบิกโตขึ้นยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกนึกคิดที่กำลังคุ้มคลั่งดูเหมือนจะกลับมา มีเสียงดังขึ้นในลำคอ ดูเหมือนอยากจะพูดอะไร

 

 

แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา

 

 

แล้วเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หลินจ้งกุมตัวหลินฉงเหวินโดยพลกาล ทำเรื่องอกตัญญูใหญ่หลวงเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุจำเป็น แต่ก็เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม ปลดตำแหน่งทางทหารทั้งหมด ลงโทษให้ไปรักษาชายแดน ออกเดินทางภายในสามวัน”

 

 

เมื่อราชโองการประกาศออกไป ถือวาจาสัตย์ ไม่มีหวนคืน หลินฉงเหวินก็ได้สติกลับมาโดยทันที รู้ว่าอำนาจของตระกูลหลินนั้นหายวับไปกับตา มิอาจหวนคืนได้อีก…ในที่สุดจึงเป็นลมล้มไป