ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เขาอย่างเอือมระอา แล้วออกคำสั่งว่า “ทหาร เอามันออกไปจากเมืองหลวงเสีย”

 

 

ขันทีสองคนตอบรับ เดินเข้ามา แล้วลากหลินฉงเหวินออกไปเยี่ยงสุนัขตายอย่างใดอย่างนั้น

 

 

แล้วฮ่องเต้ก็พูดขึ้นอีกว่า “เซวียนเอ๋อร์ ตระกูลหลินมาถึงขั้นนี้แล้ว อวี้เอ๋อร์ไม่สมควรดองญาติกับพวกเขาอีก หลินหันเยียนนั้น ให้นางเป็นอนุภรรยาเถิด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนโค้งตัวลง “ขอน้อมรับคำสั่งเสด็จลุง ข้าจะกลับไปปรึกษาอวี้เอ๋อร์บัดเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาจากตำหนักหยางซิน แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่กล้าบอกฮ่องเต้เรื่องที่หลินหันเยียนโดนไล่ออกจากจวนแล้ว ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา ไม่เอาชีวิตคนของตระกูลหลิน ครานี้อวี้เอ๋อร์กับหลินหันเยียนต่างไม่ติดค้างซึ่งกันและกันจริงๆ แล้วสินะ

 

 

 

 

ณ จวนหลิน

 

 

ราชองครักษ์ได้ถอนไปหมดแล้ว ไม่มีใครมาห้ามปรามฮูหยินหลินได้อีกต่อไป นางได้ใจยิ่งนัก ออกคำสั่งกับคนรถในจวนให้เตรียมรถม้าไว้ให้พร้อม จะไปรอข่าวดีของหลินฉงเหวินที่หน้าประตูวัง แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูจวน กลับพบหลินหันเยียนนอนฟุบสลบอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ แต่บ่าวรับใช้ในจวนกลับทำเป็นมองไม่เห็น ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย จึงโกรธตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ไปเรียกพ่อบ้านมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

 

 

บ่าวรับใช้ก็รีบเข้าไปรายงานโดยทันที

 

 

พ่อบ้านรีบวิ่งเหยาะๆ มา ยังไม่ทันได้พูดอะไร ฮูหยินหลินก็พูดออกมาอย่างเจ็บแสบว่า “พ่อบ้าน ข้ายังไม่ทันตาย พวกเจ้าก็ละเลยหลินหันเยียนเยี่ยงนี้แล้วงั้นรึ แล้วถ้าหากว่าข้าตาย พวกเจ้าจะไม่เอานางไปโยนให้หมาข้างถนนกินเลยรึไง”

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฮูหยินหลินยังไม่รู้อีกว่าตนนั้นทำอะไรลงไป แล้วยังจะมาชี้นิ้วสั่งนั่นนี่อยู่ตรงนี้อีก พ่อบ้านอยากจะสวนนางกลับไปว่า ‘ไม่เพียงแต่จะเอาลูกสาวเจ้าไปโยน จะเอาเจ้าไปโยนให้เป็นอาหารหมาก่อนใครเสียด้วยซ้ำ’ แต่เขาไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น ไม่พูดอะไรทั้งนั้น

 

 

พ่อบ้านมีท่าทีเช่นนี้ ฮูหยินหลินก็เริ่มโมโหขึ้น “พวกโง่เอ้ย ไม่เข้าใจที่ข้าพูดอย่างนั้นรึ ยังไม่เรียกคนมาพยุงคุณหนูเข้าไปอีก”

 

 

พ่อบ้านไม่ได้มีทีท่านอบน้อมเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป แต่กลับตอบกลับไปด้วยความสุภาพ “ฮูหยิน นายน้อยออกคำสั่งไว้ ใครพยุงคุณหนูเข้าจวน จะตัดแขนขาของคนผู้นั้นให้หมด เหล่าบ่าวรับใช้ทั้งหลายต่างก็ไม่อยากพิการให้คนดูแลในบั้นปลายชีวิตขอรับ ขอฮูหยินโปรดเข้าใจด้วย”

 

 

ฮูหยินหลินก็ด่าออกมา “ลูกเนรคุณคนนั้นน่ะรึ ไม่เพียงแต่กุมตัวพ่อของตนเอง แล้วยังจะทำเช่นนี้กับน้องสาวของตนเองอีก เห็นทีคงไม่ต้องช่วยเขาออกมาแล้วล่ะ ให้เขาสำนึกผิดอยู่ในคุกนั่นแหละ”

 

 

พ่อบ้านเงียบ

 

 

ด่าไปก็แล้ว ยังไม่มีใครเข้ามาช่วยพยุงขึ้นอีก ไม่มีทางเลือก ฮูหยินหลินก็สั่งหงเอ๋อร์ “ช่วยข้าพยุงเยียนเอ๋อร์เข้าไปที”

 

 

หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วทุบลงไปที่ขาที่ชาของตน ยืนขึ้นอย่างโซเซ เดินไปที่ด้านหน้าหลินหันเยียน โค้งตัวลง แล้วช่วยฮูหยินหลินพยุงนางขึ้นมา ดูเหมือนจะลากนางไปที่จวนอ๋อง

 

 

แล้วก็มีบ่าวรับใช้ในจวนวิ่งกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นพ่อบ้านยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็ตะโกนออกมาอย่างร้อนรนว่า “พ่อบ้านขอรับ แย่แล้วขอรับ นายท่านโดนเนรเทศออกนอกเมืองไปแล้วขอรับ”

 

 

“อะไรนะ” ฮูหยินหลินหยุด หันกลับมาถามด้วยเสียงตกใจ

 

 

บ่าวรับใช้ก็ตกใจ แล้วพูดอีกรอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นาย นายท่าน โดนเนรเทศออกจากเมืองหลวงแล้วขอรับ เห็นว่าเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ นายท่านไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้อีกตลอดชีวิตขอรับ”

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร” ฮูหยินหลินร้องออกมาอย่างเสียสติ จนแก้วหูของพ่อบ้านแทบแตก หลินหันเยียนก็ฟื้นขึ้นมาเพราะเสียงของนาง มองฮูหยินหลินอย่างงุนงง

 

 

ฮูหยินหลินร้อนรน ปล่อยนางลง แล้วเดินไปที่บ่าวรับใช้ แล้วตะคอกออกมาว่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดฮ่องเต้ต้องลงโทษท่านพี่ด้วย”

 

 

บ่าวรับใช้ได้แต่ส่ายหน้า ถอยห่างออกไป “บ่าวไม่ทราบขอรับ บ่าวได้แต่รออยู่ที่นอกประตูวัง เมื่อเห็นพวกเขาลากนายท่านออกมา ก็เลยตามไปดู จนถึงประตูเมืองขอรับ ถึงได้วางนายท่านลง เมื่อถามคนที่ตามมาดูเหตุการณ์ พวกเขาบอกมาเช่นนี้ ส่วนความจริงเป็นเช่นไร บ่าวไม่รู้เรื่องเลยขอรับ”

 

 

“ข้าไม่เชื่อ ฮ่องเต้ไม่ทำเช่นนี้แน่ ไป เจ้าพาข้าไปดู ถ้าหากว่าเจ้าโกหกล่ะก็ ข้าจะถลกหนังหัวเจ้าเลยคอยดู” พูดจบ ก็รีบเดินออกไปจากจวนทันที ขึ้นบนรถม้าที่เตรียมเอาไว้เพื่อจะไปวังหลวง แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมือง

 

 

มองไปที่รถม้าที่มุ่งหน้าออกไป พ่อบ้านก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ครานี้จวนหลินจบสิ้นแล้วจริงๆ ส่วนบ่าวรับใช้อย่างพวกเขานั้นไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป

 

 

หลินหันเยียนฟื้นขึ้น หันไปถามหงเอ๋อร์ที่เหงื่อท่วมตัวว่า “ที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ คือจะบอกว่าท่านพ่อของข้าโดนเนรเทศออกจากเมืองหลวงงั้นรึ ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่”

 

 

หงเอ๋อร์ไม่กล้ามองตาของนาง ได้แต่ก้มหน้าพยักเบาๆ

 

 

ขาของหลินหันเยียนก็อ่อนแรงลงทันที หงเอ๋อร์รับไม่ไหว ทั้งสองคนเลยล้มลงกับพื้นพร้อมกัน

 

 

“คุณหนู คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ” หงเอ๋อร์รีบลุกขึ้นมา ถามอย่างร้อนรน

 

 

หลินหันเยียนก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาเหม่อลอย นางไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องมันจะมาถึงขั้นนี้ ในใจนึกเสียใจ ร้อนรน แล้วก็วูบสลบลงไปอีกรอบ

 

 

เป็นเช่นนี้ติดกันสองรอบ หงเอ๋อร์เริ่มรู้สึกชินเสียแล้ว ไม่ได้มีเสียงร้องเรียกออกมา แล้วยื่นหัวแม่โป้งออกมากดลงไปที่ใต้จมูกของนาง “คุณหนู ฟื้นสิ”

 

 

หลินฉงเหวินถูกโยนออกไปที่นอกเมือง หลินจ้งติดอยู่ในคุก ตอนนี้พ่อบ้านไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี ได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว แล้วกวักมือเรียกสาวใช้ที่ยืนนิ่งไม่รู้จะทำอะไรมา ออกคำสั่งว่า “พวกเจ้า ไปส่งคุณหนูที่เรือนของนางเสีย”

 

 

เหล่าสาวใช้ก็ตอบรับ ก้าวเท้าออกไป แล้วรีบพยุงหลินหันเยียนไปที่เรือนของนาง

 

 

พ่อบ้านก็ถอนหายใจออกมาเฮือกยาวอีกหนึ่งครั้ง แล้วก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปที่เรือนของสะใภ้ใหญ่ตระกูลหลิน เพื่อถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

 

 

แล้วเสียงของนายประตูก็ดังขึ้น “นายน้อยกลับมาแล้ว นายน้อยกลับมาแล้วขอรับ”

 

 

พ่อบ้านก็หยุดเดิน หลังจากนั้นก็เกิดอาการดีใจเป็นอย่างมาก นายน้อยกลับมาแล้ว แสดงว่าไม่มีอะไรแล้ว เลยหันหลังกลับรีบเดินไปที่นอกจวน รีบเดินเสียจนแทบจะหัวชนกับหลินจ้ง แล้วหยุดพูดว่า “นายน้อยขอรับ ท่านกลับมาแล้ว จวนหลินของเรารอดแล้วใช่ไหมขอรับ”

 

 

หลินจ้งสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมสั่งว่า “พ่อบ้าน ท่านไปบอกให้ฝ่ายบัญชีเอาเล่มบัญชีของตระกูลหลินออกมาให้กับฮูหยินของข้า แล้วเอาสัญญาการซื้อตัวทาสรับใช้ในจวนทั้งหมดมาด้วย”

 

 

“เอ่อะ… ขอรับ” พ่อบ้านชะงักไป ก่อนจะรีบตอบรับ

 

 

หลินจ้งกลับไปที่เรือนของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินนั่งซับน้ำตาอยู่ที่เก้าอี้ เด็กไร้เดียงสาทั้งสองคนก็อยู่ในอ้อมอกของนาง เมื่อเห็นหลินจ้งเดินเข้ามา ก็ตะโกนเรียกออกมาด้วยความดีใจ “ท่านพ่อ!” แล้วพุ่งตัวเข้าไปกอดเขาแน่น

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่เชื่อ น้ำตาก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า ลุกยืนขึ้น แล้วรีบเดินไปที่ด้านหน้าเขา ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว”

 

 

โค้งตัวลงไปกอดลูกทั้งสอง หลินจ้งก็พยักหน้าด้วยความอึดอัด “ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ข้าไปเป็นทหารชายแดน ออกเดินทางภายในสามวัน เจ้าช่วยข้าจัดการด้วย แล้วก็ข้าได้ให้ฝ่ายบัญชีนำบัญชีทั้งหมดมา เจ้าดูสิว่ายังพอมีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ ส่งไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ให้เจ้ากับลูกเอาไว้กินใช้ ส่วนพวกบ่าวรับใช้ ข้าได้ให้พ่อบ้านเอาสัญญาการซื้อตัวมาแล้ว เจ้าเลือกคนที่ใช้งานได้ ส่วนที่เหลือก็ขายทิ้งไปเสีย ต่อไปนี้จวนของเราจะมีรายได้น้อยลง เลี้ยงบ่าวรับใช้ทั้งหมดไม่ไหวหรอก”

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินส่ายหน้า เด็กทั้งสองคนก็จับแขนเสื้อของหลินจ้งเอาไว้แน่น ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ ท่านพี่ ข้าจะไม่อยู่ในเมืองหลวง ข้าจะตามไปอยู่ชายแดนกับท่าน แล้วเอาลูกของพวกเราไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวของเราสี่คนจะต้องไม่แยกจากกัน”

 

 

“ชายแดนมีแต่พายุทราย สภาพการเป็นอยู่ก็ยากลำบาก ถ้าเจ้ากับลูกไปล่ะก็ ทนความลำบากไม่ไหวแน่ ฟังข้าเถิด เจ้าสามคนแม่ลูกอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ข้าจะหาทางกลับมาเยี่ยมพวกเจ้าทุกปี”

 

 

ภรรยาหลินจ้งเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้าของนาง ท่าทางยืนกราน แล้วยังยืนยันคำเดิม “ขอแค่ครอบครัวของเราได้อยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนข้าก็ไม่กลัว ชายแดนนั้น พวกเราสามคนจะต้องไปกับท่านเจ้าค่ะ”

 

 

“เจ้า… …” เมื่อเห็นสายตาที่แน่วแน่ของนาง คำพูดที่หลินจ้งจะพูดก็กลืนกลับเข้าไป ถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่า “ยังมีเวลาอีกหลายวัน เจ้าลองคิดดูให้ดีเถิด ข้าทนเห็นให้เจ้าสามแม่ลูกต้องลำบากไม่ได้จริงๆ”

 

 

“ท่านพี่ไม่อยู่เมืองหลวงต่างหากล่ะ พวกเราสามแม่ลูกถึงลำบาก”

 

 

ลูกทั้งสองคนได้แต่กอดหลินจ้ง ไม่พูดอะไร หลินจ้งก็รู้สึกได้ถึงเยื่อใยนั้น จึงกัดฟันพยักหน้า “ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งสี่คนก็ไปชายแดนด้วยกัน ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเจ้าด้วย”

 

 

ภรรยาหลินจ้งก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “เจ้าค่ะ ข้าจะพาลูกๆ ไปเก็บของ ส่วนท่านจัดการเรื่องในจวนเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

พูดจบ ก็จูงเด็กทั้งสองเข้าห้องไป

 

 

ฝ่ายบัญชีและพ่อบ้านก็นำบัญชีและสัญญาการซื้อขายบ่าวรับใช้มา

 

 

หลังจากที่หลินจ้งบอกกับพวกเขาเรื่องที่ฮ่องเต้ลงโทษเขาแล้วนั้น ก็บอกว่า “พวกเจ้าอยู่ที่จวนนี้มาก็หลายปีแล้ว ทำงานให้กับตระกูลหลินอย่างเต็มที่ ดังนั้น ข้าอยากจะถามความเห็นของพวกเจ้า ว่าจะไปชายแดนกับข้า หรือว่าจะไปมีชีวิตใหม่” และแน่นอนมีชีวิตใหม่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้พวกเขาหางานใหม่ทำแน่ แต่หมายถึงขายพวกเขาออกไปต่างหาก

 

 

ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เป็นคนรับใช้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นครอบครัวของตนต่างก็อยู่ที่จวนหลิน ถ้าหากว่าไปจากตระกูลหลิน ก็ไม่รู้ว่าจะได้ขายไปที่ใด เมื่อคิดได้ดังนั้น ทั้งสองคนก็โค้งตัวลงพร้อมกันแล้วบอกว่า “บ่าวยินดีตามนายน้อยไปอยู่ที่ชายแดนขอรับ”

 

 

หลินจ้งพยักหน้า “ดี ในเมื่อพวกเจ้ายินยอม นอกจากครอบครัวของพวกเจ้าแล้ว ที่เหลือก็ขายออกไปเสีย”

 

 

นายบัญชีและพ่อบ้านก็ตอบรับ

 

 

เพิ่งจะจัดการเสร็จ ฮูหยินหลินก็ร้องไห้จะเป็นจะตายเดินเข้ามาจากนอกจวน “จ้งเอ๋อร์ จ้งเอ๋อร์เอ๋ย พ่อของเจ้าถูกฮ่องเต้สั่งให้โยนออกไปนอกเมืองจริงๆ แล้วจะทำเช่นไรดีลูก”

 

 

หลินจ้งก็ออกไปรับ “ท่านแม่ขอรับ”

 

 

ราวกับเป็นโอกาสที่ฟ้าประทานอย่างใดอย่างนั้น ฮูหยินหลินรีบเข้าไปดึงแขนของหลินจ้ง “จ้งเอ๋อร์ เจ้ารีบคิดหาทางสิ พ่อของเจ้ายังนอนอยู่ที่นอกเมืองอยู่เลย”

 

 

“ท่านแม่ขอรับ” น้ำเสียงของหลินจ้งนั้นทั้งขึงขังและเศร้าโศก “เมื่อมีรับสั่งจากองค์ฮ่องเต้แล้ว ลูกก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกขอรับ”

 

 

แล้วฮูหยินหลินก็ทุบเขาอย่างบ้าคลั่ง “เป็นเพราะเจ้าๆ ถ้าหากว่าเจ้าไม่เชื่อคำข่มขู่ของหวงฝู่อี้เซวียนนั่น แล้วกุมตัวพ่อของเจ้าล่ะก็ เขาจะเป็นเช่นนี้รึ เป็นเพราะลูกเนรคุณอย่างเจ้า ถ้าหากรู้ว่าเจ้าจะอกตัญญูเช่นนี้ล่ะก็ น่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากเจ้าให้ตายๆ ไปเลยตั้งแต่ทีแรกก็ดี”

 

 

หลินจ้งยืนนิ่งไม่ขยับ ทนฟังคำด่าของฮูหยินหลิน

 

 

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฮูหยินหลินตีจนเหนื่อย แล้วจึงหยุดนั่งกองลงไปกับพื้น พูดพึมพำว่า “จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว”

 

 

หลินจ้งก็โค้งตัวลงไปพยุงนางขึ้นมา แล้วบอกว่า “ท่านแม่ ฮ่องเต้ลงโทษให้ข้าไปรักษาชายแดน ท่านกับท่านพ่อไปกับข้าเถิดขอรับ ชายแดนนั้นอยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นพันลี้ ไม่มีใครรู้อดีตของพวกเรา พวกเราสามารถเริ่มต้นใหม่กันได้นะขอรับ”

 

 

ฮูหยินหลินใช้สายตาที่ว่างเปล่ามองมาที่เขา แล้วถามเบาๆ “ไปชายแดนงั้นรึ”

 

 

หลินจ้งพยักหน้า “บางทีอยู่ที่นั่น อาการของท่านพ่อก็อาจจะดีขึ้นนะขอรับ”

 

 

ฮูหยินหลินก็หันหลับไป เหมือนกับกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของหลินจ้ง

 

 

“พ่อบ้าน!” หลินจ้งตะโกนเรียก

 

 

พ่อบ้านเดินเข้ามาตอบรับ “นายน้อยขอรับ”

 

 

“เจ้าไปที่นอกเมืองด้วยตนเอง เตรียมการทางฝั่งนายท่านให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาวันที่พวกเราออกเดินทาง เราจะไปรับเขาไปด้วยกัน”

 

 

พ่อบ้านตอบรับ ออกคำสั่งกับคนรถให้ไปที่นอกเมืองอย่างรวดเร็ว

 

 

ส่วนฮูหยินหลินนั้นก็ยังคงคิดหนักไม่หยุด หลินจ้งก็ไม่ได้กดดันอะไร บอกว่า “ท่านแม่ขอรับ ข้าจะจัดการทางเรื่องท่านพ่ออย่างดี ท่านกลับไปพักผ่อนที่เรือนก่อนเถิด ข้าจะไปดูน้องเล็ก”

 

 

ฮูหยินหลินก็พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แล้วสาวใช้ก็พยุงกลับไปที่เรือนอย่างโดยดี

 

 

เมื่อเห็นนางเดินเข้าไปแล้ว หลินจ้งถึงได้เดินมาที่ห้องของหลินหันเยียน

 

 

หลินหันเยียนฟื้นแล้ว ได้แต่มองเหม่อไปด้านหน้า

 

 

หลินจ้งก็โบกมือให้สาวใช้ในเรือนนั้นออกไปก่อน แล้วลากเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียง บอกว่า “น้องเล็ก”

 

 

หลินหันเยียนก็หันมามองที่เขา

 

 

“ฮ่องเต้มีรับสั่ง ท่านพ่อไม่สามารถเข้าเมืองหลวงได้ไปตลอดชีวิต ส่วนข้าก็โดนทำโทษให้ไปรักษาชายแดน พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ากับหลานๆ ก็ไปด้วย พี่อยากจะมาถามเจ้า ว่าเจ้าอยากจะอยู่ที่นี่ หรือว่าจะไปชายแดนกับข้า”

 

 

“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนเอ่ยปาก ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ข้าทำผิดอะไรหรือไม่”

 

 

หลินจ้งเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร

 

 

หลินหันเยียนก็ยิ้มเยาะตนเอง พูดว่า “ข้าคิดว่าตนเองนั้นฉลาด อยากเล่นงานพี่ใหญ่ แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะเป็นการทำลายครอบครัวของตนเอง ที่ข้าตกมาอยู่จุดนี้ เป็นเพราะกรรมของข้าแท้ๆ”