หลินจ้งพูดว่า “น้องเล็ก ถ้าหากเจ้าอยากอยู่กับคุณชายรองล่ะก็ พี่ใหญ่คนนี้จะบากหน้าไปขอร้องเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่ว่า… …” 

 

 

“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” เขายังไม่ทันพูดจบ หลินหันเยียนก็แทรกขึ้นมา แล้วเก็บสายตาเข้ามา เงยหน้าขึ้นไปมองเหม่อไปตรงหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่ข้าตกลงมาอยู่จุดนี้นั้นเป็นเพราะข้าทำตัวเอง พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นเพื่อข้าหรอก ท่านพี่กลับไปเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว” 

 

 

หลินจ้งอยากพูดอะไรเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นท่าทางของหลินหันเยียนแล้วนั้น ก็กลืนคำพูดของตนลงไป ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว ลุกขึ้นแล้วว่า “เอาเถอะ พี่จะไปจัดการเรื่องในจวนให้เสร็จ เจ้าก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากที่ไปชายแดนกับพี่แล้ว เจ้ายังเริ่มต้นใหม่ได้” 

 

 

หลินหันเยียนนิ่งไม่ได้มีการตอบสนองใดๆ ทั้งนั้น  

 

 

หลินจ้งถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วเดินออกจากห้องไป ออกคำสั่งกับหงเอ๋อร์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องว่า “คอยดูคุณหนูเอาไว้ตลอดเวลา” 

 

 

หงเอ๋อร์ตอบรับ  

 

 

เมื่อหลินจ้งเดินออกไปไกลแล้ว 

 

 

หลินหันเยียนยิ้มออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ น้ำตาเริ่มไหลออกมา 

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาที่จวน ก็ไปที่เรือนของพระชายาฉี แล้วรายงานเรื่องที่ฮ่องเต้ลงโทษหลินฉงเหวินและตระกูลหลินให้กับพวกเขาฟัง  

 

 

พระชายาฉีก็พูดออกมาด้วยความสงสาร “ชิงเตี๋ยคงคิดไม่ถึง นางอุตส่าห์วางแผนใช้เยียนเอ๋อร์กับชิงเยียน แต่กลับต้องมาพบจุดจบเยี่ยงนี้” 

 

 

ทุกคนต่างนิ่งเงียบไร้คำพูด 

 

 

ท่านอ๋องฉีเงียบไม่พูดอะไร  

 

 

พระชายาฉีเงยหน้าไปมองหวงฝู่อวี้ เห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ก็ถอนหายใจออกมาแล้วบอกว่า “อวี้เอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์นาง… …” 

 

 

“เสด็จแม่ ลูกไม่สามารถสู่ขอนางได้อีก ไม่ว่านางจะไปที่ใดทำอะไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับลูกอีก” หวงฝู่อวี้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่มีความลังเลเลยสักนิด  

 

 

พระชายาฉีก็ถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “แม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านมา เจ้ากับเยียนเอ๋อร์ก็ประสบอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นหญิงที่ไม่เคยแต่งงาน แต่กลับอยู่กับเจ้าโดยไม่มีสถานะได้ตั้งนาน ตอนนี้จวนหลินเกิดเรื่องขึ้น ถ้าหากว่าเจ้าไม่ดูแลนาง แล้วเจ้าจะให้นางยืนหยัดด้วยตนเองในเมืองหลวงนี้ได้อย่างไร” 

 

 

“เสด็จแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ลูกได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากว่านางยินยอม ลูกรับรองว่าชีวิตนี้ของนางจะไม่ขาดตกบกพร่อง เว้นเสียแต่เรื่องแต่งงานนั้นเป็นไปไม่ได้จริงๆ ขอรับ ลูกเองก็ไม่อยากเจอนางอีก” 

 

 

พระชายาฉีก็ยังคงโน้มน้าวต่อ “เยียนเอ๋อร์อายุยังน้อย เอาแต่ใจไปหน่อย แต่เนื้อแท้นั้นไม่เลวเลย เจ้า… …” 

 

 

“เสด็จแม่ขอรับ” ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนเป็นคนพูดแทรกขึ้นมา “อวี้เอ๋อร์ไม่กล้าบอกท่าน เหมือนว่าคุณหนูหลินจะไม่สามารถมีทายาทได้ขอรับ” 

 

 

คำพูดของพระชายาฉีที่ยังค้างอยู่ก็กลืนลงคอไป ได้แต่ชะงักอ้าปากค้าง มองไปที่หวงฝู่อวี้ แล้วใช้สายตาถามว่าจริงหรือไม่  

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้า “หมอหลวงเจียงเป็นคนพูดเองขอรับ” 

 

 

“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน” พระชายาฉีถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ 

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่ได้ตอบ  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็เงียบไม่พูดอะไร  

 

 

พระชายาฉีหมดซึ่งคำพูด เรื่องทายาทนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าหลินหันเยียนไม่สามารถมีลูกได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถขึ้นเป็นเจ้าบ้านได้ ถ้าหากให้นางเป็นอนุภรรยา ด้วยนิสัยหยิ่งยโสของนางแล้ว นางไม่ยอมอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจก่อเรื่องขึ้นได้ในอนาคต  

 

 

ในห้องเงียบสงัด  

 

 

เวลาผ่านไป พระชายาฉีก็พูดขึ้นอีกว่า “แต่ก็โทษเยียนเอ๋อร์ไม่ได้นะเรื่องนี้ เช่นนี้แล้วกัน เจ้าไปจวนหลินแล้วถามด้วยตนเอง ดูว่าเยียนเอ๋อร์คิดเห็นอย่างไร ถ้าหากว่านางยอมถอยก้าวหนึ่ง มาเป็นอนุภรรยา เมื่อหลินจ้งไปที่ชายแดนแล้ว พวกเราจะจัดงานแต่งให้พวกเจ้าโดยทันที” 

 

 

หวงฝู่อวี้กำลังจะบอกว่าตนไม่เห็นด้วย  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ยื่นเท้าออกมาเตะเข้าไปที่ขาของเขา  

 

 

หวงฝู่อวี้เจ็บจนพูดไม่ออก 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็บอกว่า “เสด็จแม่ วางใจเถิดขอรับ อวี้เอ๋อร์รู้ดีว่าควรทำอย่างไร” 

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า  

 

 

เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาจากเรือนของพระชายาฉีแล้ว 

 

 

หวงฝู่อวี้ก็เดินขากระเผลกตามหวงฝู่อี้เซวียนมาแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่าท่านจะให้ข้าไปจวนหลินแล้วเอาตัวหลินหันเยียนกลับมานะขอรับ” 

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนหันไปถามด้วยความยิ้มมุมปาก  

 

 

หวงฝู่อวี้ก็เริ่มไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่ ส่ายหน้า “ข้า ข้าไม่รู้” 

 

 

แล้วก็เตะเข้าไปที่ขาอีกข้างหนึ่ง 

 

 

หวงฝู่อวี้เจ็บจนต้องร้อง โอ้ย ออกมา ยกขาขึ้นมากอดแล้วเดินไปมา แล้วพูดออกมาว่า “พี่ใหญ่ ท่านเตะข้าแรงเกินไปแล้ว ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

“สมควร ใครใช้ให้เจ้าไม่มีสมองกันล่ะ อุตส่าห์ฝากฝังให้เจ้าจัดการเรื่องการค้าในจวนก็นานนม แต่สมองไม่ได้โตขึ้นเลย เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร เจ้าไม่คิดเอาไว้งั้นรึ” หวงฝู่อี้เซวียนด่าไปยิ้มเยาะไป 

 

 

หวงฝู่อวี้วางขาตนเองลง ยืนตรงแล้วพูดด้วยความไม่พอใจ “ข้าจะไม่คิดไว้ได้อย่างไร ข้าคิดไว้ตั้งนานแล้วขอรับ” 

 

 

แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็ยื่นมือออกไปทุบหัวของเขาอย่างรุนแรง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ทำตามแผนที่เจ้าวางไว้เถอะ” 

 

 

“แต่ว่าเสด็จแม่ท่าน… …” พูดถึงตรงนี้ ก็คิดได้ถึงบางอย่าง เลยเบิกตาโตถามว่า “ท่านพี่ ไม่ใช่ว่าท่านจะให้ข้าตระบัดสัตย์ต่อท่านแม่หรอกนะ” 

 

 

ตุบ ครั้งนี้ลงมือหนักกว่าครั้งที่แล้ว 

 

 

หวงฝู่อวี้กุมขมับร้อง โอ้ยๆ ออกมา  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้สนใจเขา แล้วหัวเราะเดินออกไป 

 

 

เมื่อเห็นว่าเขาเดินออกไปไกลแล้ว หวงฝู่อวี้ก็ปล่อยมือออก แล้วยิ้มมุมปากขึ้นมา เงยหน้ามองฟ้า ดวงตาเปล่งประกาย สบายใจยิ่งนัก แล้วเก็บสายตา ก้าวเท้ากลับไปที่เรือนของตน ไปหยิบโฉนดและตั๋วเงินสองแสนตำลึงที่หลินหันเยียนไม่ได้เอาไปใส่ที่หน้าอก แล้วเดินออกมาสั่งเฮ่ออีว่า “รีบไปเอารถม้ามา พวกเราจะไปจวนหลินกัน” 

 

 

เฮ่ออีตอบรับ ไม่นานก็เอารถม้ามา หวงฝู่อวี้ขึ้นนั่ง แล้วก็มาถึงที่จวนหลิน  

 

 

จวนหลินรกไม่เป็นระเบียบ นอกจากนายบัญชีกับพ่อบ้านแล้ว คนที่เหลือก็โดนขายออกไปจนหมด หลินจ้งก็ไม่ได้ขายเปล่า ยังแจกเงินให้คนละสิบตำลึง พวกเขาจึงถือถุงเงินออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วเดินออกไปกับนายหน้า  

 

 

พ่อบ้านเงยหน้าขึ้น เห็นหวงฝู่อวี้เข้า ก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที “คุณชายรองขอรับ” 

 

 

“หลินจ้งอยู่หรือไม่” เมื่อตัดขาดความสัมพันธ์กับหลินหันเยียนแล้ว คำพูดที่ใช้เรียกหลินจ้งของหวงฝู่อวี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน  

 

 

“นายน้อยอยู่ขอรับ คุณชายรองโปรดตามข้ามา” 

 

 

พ่อบ้านก็นำเขาเข้ามาที่ห้องรับแขกอย่างดี ในขณะที่กำลังจะสั่งให้คนไปชงชา ก็นึกขึ้นได้ว่าขายบ่าวรับใช้ออกไปหมดแล้ว จึงยิ้มออกมาว่า “วันนี้จวนค่อนข้างวุ่นวาย คุณชายรองโปรดให้อภัย ข้าจะไปชงชาให้ท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ” 

 

 

“ไม่ต้องหรอก ไปเรียกคุณชายของพวกเจ้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา แล้วจะรีบไป” 

 

 

พ่อบ้านพยักหน้า แล้วไปรายงานที่เรือนของหลินจ้ง  

 

 

เมื่อหลินจ้งได้ยินดังนั้น ก็รีบวางทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในมือแล้วรีบมาที่ห้องรับแขกทันที ประสานมือทำความเคารพแล้วพูดว่า “คุณชายรองขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้รอช้า ควักโฉนดและตั๋วเงินออกมาวางบนโต๊ะแล้วพูดว่า “นี่เป็นสิ่งที่ข้าเตรียมไว้ให้กับคุณหนูหลิน บ้านที่หนานเฉิงและเงินอีกหนึ่งแสนตำลึง ส่วนอีกหนึ่งแสนตำลึงนั่นเป็นเงินที่ท่านให้ไว้กับพี่ใหญ่ของข้าในตอนแรก ขอให้ท่านนำไปมอบให้กับนางด้วย” 

 

 

พูดจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที 

 

 

หลินจ้งก็หันไปกันเขาเอาไว้ “คุณชายรองขอรับ เดี๋ยวก่อนขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อวี้ขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร” 

 

 

หลินจ้งโค้งตัวลงไปมากกว่าเดิม แสดงท่าทางเคารพมากไปยิ่งกว่าเดิมแล้วพูดว่า “คุณชายรอง ท่านให้โอกาสคุณหนูหลินอีกครั้งได้หรือไม่ขอรับ หลินจ้งคนนี้จะสำนึกบุญคุณของท่านไปชั่วชีวิตขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า แล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ไม่สามารถ” 

 

 

หลินจ้งก็ชะงักไป 

 

 

แล้วหวงฝู่อวี้เดินออกไป 

 

 

หลินจ้งยืนตรง อ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้พูด คุณชายรองพื้นเพเป็นคนใจดี ดีกับเยียนเอ๋อร์เสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าหากว่าเยียนเอ๋อร์ไม่ทำเรื่องที่เขาเกินจะรับได้ล่ะก็ เขาจะไม่มีวันตัดสินใจยุติความสัมพันธ์นี้เด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาขอร้องอ้อนวอนเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์ 

 

 

ออกจากจวนหลินมา หวงฝู่อวี้ก็ถอนหายใจเบาๆ เดินขึ้นรถม้า สั่งเฮ่ออีว่า “ไป ไปตรวจตราร้านค้ากัน” 

 

 

รถม้าเคลื่อนห่างออกไปจากจวนหลิน จนกระทั่งมองไม่เห็น  

 

 

หลินจ้งหยิบโฉนดและตั๋วเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งสิ่งที่อยู่ในมือให้กับพ่อบ้าน “เอาของเหล่านี้ไปมอบให้กับคุณหนูหลินเสีย” 

 

 

พ่อบ้านรับไป แล้วมาที่เรือนของคุณหนูหลิน เมื่อบอกกล่าวเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้ามาที่ด้านใน แล้วยื่นโฉนดกับตั๋วเงินนั้นให้อย่างนอบน้อม “คุณหนูขอรับ ของเหล่านี้เป็นของที่คุณชายรองเพิ่งจะเอามาให้ นายน้อยเลยสั่งให้ข้านำมาส่งให้ขอรับ” 

 

 

หลินหันเยียนขยับไปมองของที่อยู่ในมือ แล้วหันกลับไป บอกว่า “วางไว้บนโต๊ะเถอะ” 

 

 

พ่อบ้านตอบรับ แล้ววางไว้บนโต๊ะ  

 

 

“เขาได้พูดอะไรหรือไม่” หลินหันเยียนถามอย่างไม่ได้คาดหวังอะไร  

 

 

พ่อบ้านก็ชะงักไป หลังจากนั้นก็คิดได้ว่านางคงถามถึงหวงฝู่อวี้ จึงส่ายหน้า “คุณชายรองไม่ได้บอกอะไรกับบ่าวขอรับ” 

 

 

หลินหันเยียนก็เงียบไป 

 

 

พ่อบ้านก็ถอยออกไป 

 

 

แล้วหลินหันเยียนก็ยังคงมองเหม่อไปตรงหน้าเช่นเดิม  

 

 

ส่วนหงเอ๋อร์นั้นก็ได้แต่มองนางด้วยความเป็นห่วง 

 

 

เรื่องที่หลินฉงเหวินถูกสั่งให้คนนำไปโยนไว้ที่นอกเมืองนั้น ไม่นานก็ข่าวก็ลือกันไปทั่วเมืองหลวง ชาวบ้านต่างก็เอาเรื่องนี้ไปเป็นเรื่องพูดเล่าสนุกๆ เมื่อพูดเสร็จ ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ส่วนขุนนางสำนักต่างๆ นั้น ต่างก็ตกใจจนชะงักไปตามๆ กัน 

 

 

หลายปีมานี้ที่หลินฉงเหวินดูแลการทหาร ถึงไม่มีผลงานแต่ก็เห็นถึงความตั้งใจ อะไรกันแน่ที่ทำให้ฮ่องเต้โกรธถึงขั้นรับสั่งลงโทษขั้นรุนแรงขนาดนั้น หลังจากที่ตกตะลึงกันนั้น ก็ส่งคนในจวนให้ออกไปสืบข่าวมา เมื่อได้ยินถึงเรื่องราว ก็ตกใจจนไม่รู้ว่าจะทำเยี่ยงไรดี ถึงขั้นจ้างจอมยุทธ์ไปทำลายล้างครอบครัวของคนอื่นนั้น หลินฉงเหวินนั้นหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ถ้าหากว่าไม่เห็นแก่หน้าของจวนท่านอ๋องฉีล่ะก็ หลินฉงเหวินคงไม่ได้แค่ถูกเนรเทศออกนอกเมืองง่ายๆ เช่นนั้นแน่ 

 

 

ไม่ว่าข้างนอกจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรก็ตาม หลินจ้งไม่มีเวลาไปสนใจ เหลือบ้านทิ้งเอาไว้ ส่วนร้านรวงที่นาที่เหลือก็ขายไปเสียหมด เก็บของเตรียมไว้เรียบร้อย อีกสองวันก็จะออกเดินทางแล้ว วันสุดท้าย ก็สั่งให้คนจัดเตรียมของที่ต้องใช้ระหว่างทางให้เรียบร้อย จนเต็มทั้งสองคนรถม้า หลินจ้งก็มาที่เรือนของฮูหยินหลิน แล้วพูดกับฮูหยินหลินที่สองวันนี้ครุ่นคิดจนผมบนหัวกลายเป็นสีขาวโพลนว่า “ท่านแม่ ใกล้ถึงกำหนดแล้ว จะต้องออกเดินทางแล้วขอรับ” 

 

 

ฮูหยินหลินก็มองไปที่เขา ด้วยดวงตาที่แดงกร่ำ แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกผิดหวัง แล้วพูดว่า “จ้งเอ๋อร์ แม่เองที่ทำร้ายเจ้า” 

 

 

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ขอแค่ครอบครัวเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จ้งเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว” 

 

 

ฮูหยินหลินสะอื้น สุดท้ายก็อดไม่ไหวร้องไห้โฮออกมา  

 

 

หลินจ้งไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไรดี ทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งอยู่เคียงข้าง รอให้นางระบายออกมาหมด แล้วค่อยบอกว่า “ท่านแม่ขอรับ ร้องไห้มากไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านพ่อยังต้องการให้ท่านดูแลนะขอรับ ท่านต้องรักษาตนให้ดีนะขอรับ” 

 

 

ฮูหยินหลินก็เช็ดน้ำตา พยักหน้า แล้วยืนขึ้น เดินออกไป 

 

 

หลินจ้งเดินตามหลังมา  

 

 

ทั้งสองคนก็เดินมาที่ห้องของหลินหันเยียน  

 

 

หลินหันเยียนก็ยังคงเหม่อมองไปที่เพดานบ้าน ไม่พูดอะไรทั้งนั้น  

 

 

ฮูหยินหลินก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เดินมานั่งที่หัวเตียงของนาง ลูบเบาๆ ไปที่หัวพูดว่า “เยียนเอ๋อร์ เรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ลุกขึ้นมาเก็บของเถิด แล้วไปชายแดนกับพวกเรา” 

 

 

หลินหันเยียนถึงได้รู้สึกตัว หันมามองที่พวกเขา แล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ผ่านไปสามวันแล้วงั้นหรือเจ้าคะ” 

 

 

“วันนี้เป็นวันที่สาม ฮ่องเต้สั่งให้พวกเราออกเดินทางในสามวัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว” 

 

 

“อ่อ” หลินหันเยียนพูดออกมาเบาๆ แล้วตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นนั่ง แต่เนื่องจากสองวันที่ผ่านมาไม่มีข้าวตกถึงท้องนางเลยสักเม็ด นางจึงไม่มีแรง  

 

 

หงเอ๋อร์ก็เข้า ช่วยฮูหยินหลินพยุงนางลุกขึ้นมา  

 

 

หลินหันเยียนก็หายใจไม่ทันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับมาหายใจปกติ พูดว่า “รบกวนท่านพี่ใหญ่ไปจัดเตรียมให้ข้าก่อน ข้าขออาบน้ำเสียหน่อยแล้วจะรีบออกไปเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินจ้งเดินออกไป 

 

 

หลินหันเยียนลงจากเตียงอย่างช้าๆ สั่งให้หงเอ๋อร์ไปเตรียมน้ำมา แล้วอาบน้ำทำความสะอาดตนเองอย่างช้าๆ ถอดเสื้อผ้าที่สกปรกของตนออก แล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อที่ตนเองชอบเป็นประจำ หลังจากนั้น ก็มานั่งหน้ากระจก ให้หงเอ๋อร์สานผมให้ แล้วหันไปพูดกับหงเอ๋อร์ว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยสิ” 

 

 

หงเอ๋อร์พยักหน้า “คุณหนูรับสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหันเยียนกวักมือ หงเอ๋อร์ก้มลงไป แล้วหลินหันเยียนก็กระซิบข้างหูนาง บอกนางอย่างเบาเสียง เมื่อหงเอ๋อร์ฟังจบ ก็ตาโต แล้วหลุดร้องออกมาว่า “คุณ คุณหนูเจ้าคะ” 

 

 

หลินหันเยียนก็นั่งตัวตรง แล้วโบกมือ “ไปเถอะ ข้าจะไปรอเจ้าที่ประตูเมือง” 

 

 

หงเอ๋อร์ตอบรับ แล้วเดินออกไป 

 

 

หลินหันเยียนลุกขึ้น “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่ เดี๋ยวท่านพี่ใหญ่จะรอนาน” 

 

 

ฮูหยินหลินก็ลุกขึ้น สองแม่ลูกช่วยกันประคับประคองกันเดินออกมาจากจวน 

 

 

รถม้าได้เตรียมพร้อมแล้ว หลินจ้งและภรรยาอีกทั้งลูกทั้งสองต่างรออยู่ที่นอกจวนแล้ว  

 

 

เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกมา สะใภ้ใหญ่ตระกูลหลินก็เข้าไปรับ ช่วยพยุงหลินหันเยียนอีกแรง “น้องเล็ก ค่อยๆ หน่อย” 

 

 

“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” 

 

 

เมื่อขึ้นนั่งเรียบร้อย หลินจ้งก็สั่ง รถม้าห้าหกคันก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ  

 

 

มองไปที่ประตูจวนที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป ฮูหยินหลินก็อดไม่ได้ร้องไห้ออกมา  

 

 

แต่หลินหันเยียนกลับปลอบใจนางด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ท่านแม่ ให้พวกเราอยู่ที่เมืองหลวงต่อไป ก็จะเป็นแต่ขี้ปากของพวกชาวบ้านเปล่าๆ สู้ไปที่ชายแดน เริ่มต้นชีวิตใหม่เถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

รถม้าเคลื่อนออกมาจากประตูเมืองแล้ว พ่อบ้านพร้อมหลินฉงเหวินก็ได้ขึ้นรถม้ารออยู่ที่นอกประตูเมืองตั้งนานแล้ว 

 

 

หลินจ้งก็สั่งให้หยุดรถ ลงจากรถม้า เดินมาที่รถม้าของหลินฉงเหวิน เปิดม่านหน้าต่างออก แล้วเห็นหลินฉงเหวินที่กินยาระงับสติเข้าไปนอนนิ่งอยู่ ก็สบายใจ แล้วเดินกลับไปที่รถม้าของตน แล้วสั่งให้รถม้าทั้งหมดเดินทางต่อได้  

 

 

หงเอ๋อร์ก็รีบวิ่งออกมาจากในเมืองอย่างร้อนรน แล้วพยักหน้าให้กับหลินหันเยียน  

 

 

หลินหันเยียนมองไปในทิศทางของจวนอ๋อง แล้วพูดพึมพำว่า “พี่อวี้ หวังว่าครั้งนี้ข้าจะช่วยท่านได้”