หลินจ้งพาครอบครัวของตนมาที่ชายแดน หลังจากที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างพูดถึงเรื่องนี้กันสนุกปาก จากนั้นก็หมดความสนใจ และเรื่องนี้ก็ค่อยๆ เลือนลางหายไป แต่กลับมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างใหม่เกิดขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่งเมืองหลวง เมื่อจวนเจียงและจวนท่านอ๋องฉีรู้เรื่องเข้า ข่าวลือนั้นก็ยิ่งแพร่ขึ้นไปหนักขึ้นทุกที จนควบคุมไม่ได้  

 

 

เพล้ง ถ้วยชาในมือของหมอหลวงเจียงตกลงที่พื้น ตาทั้งสองข้างเบิกโพลง มองไปที่คนที่อยู่ในเรือน แล้วถามด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “พวกเจ้าบอกข้าทีสิ ว่ามีข่าวลือแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มีเจ้าโง่คนไหนในพวกเจ้าหรือไม่ที่เอาเรื่องนี้ออกไปพูด” 

 

 

คนทั้งหมดก็ได้แต่ก้มหัวลง ไม่มีใครกล้าตอบรับ  

 

 

หมอหลวงเจียงโกรธจนเดินไปมาในเรือนหลายต่อหลายรอบ แล้วกวักมือเรียกให้ลูกหลานของตนเองเข้ามา แล้วด่าทอว่า “ไม่ได้เรื่องกันเลยสักคน อยากหาเรื่องจวนอ๋องฉีหรือยังไง คนอย่างพวกเรา ถึงไปเป็นคนถือรองเท้าให้กับคุณชายรอง เขายังไม่เอาเลย แล้วยังคิดที่จะให้จิ่นเอ๋อร์แต่งเข้าไปในจวนอ๋อง ในสมองของพวกเจ้ามีแต่ขี้เรื่อยหรือยังไง คิดไม่เป็นหรือยังไง มีสมองไว้คั่นหูจริงๆ” 

 

 

หมอหลวงเจียงไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน ทุกคนต่างตกใจกลัว ไม่มีใครกล้าออกเสียงเลยสักนิด โดยเฉพาะแม่ของเจียงจิ่นที่ก้มหน้าก้มตาต่ำกว่าใครๆ ตัวค่อยๆ ขยับถอยออกไปอยู่ด้านหลังทุกคน กลัวหมอหลวงเจียงจะมองหาตนเจอ พอคิดถึงเรื่องที่นางเป็นคนพาจิ่นเอ๋อร์ไปที่จวนอ๋อง ก็กลัวว่าจะเข้าใจผิดว่าเรื่องนี้นางเป็นคนแพร่ออกไป สวรรค์ได้โปรดเถิด จิ่นเอ๋อร์เป็นลูกแท้ๆ ของนาง แม้นางจะอยากให้ลูกของนางมีชีวิตที่สุขสบายเพียงใด แต่ก็ไม่เคยคิดเอาชื่อเสียงศักดิ์ศรีของลูกสาวตนเองไปล้อเล่นแน่นอน เพราะรู้ว่านั่นเป็นเรื่องที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต 

 

 

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูด หมอหลวงเจียงก็โกรธเข้าไปใหญ่ แล้วออกคำสั่ง “นับแต่นี้ต่อไป หญิงในจวนห้ามออกจากจวนเด็ดขาด จะได้ไม่โดนใครใส่ร้ายป้ายสีได้” 

 

 

พูดจบ ก็ตะโกนเรียก “เจียงเยี่ยน! (พ่อของเจียงจิ่น)  

 

 

เจียงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น ตอบรับ “ท่านพ่อขอรับ” 

 

 

“ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ยังหาไม่เจอว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือล่ะก็ เจ้าต้องตามข้าไปขอขมาที่จวนอ๋อง” 

 

 

เจียงเยี่ยนได้แต่อ้าปาก ในขณะที่หมอหลวงเจียงกำลังโกรธอยู่นั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ก้มลงไปเอาหัวโขกพื้น แล้วตอบรับอย่างหมดกำลังว่า “ขอรับ ท่านพ่อ” 

 

 

หมอหลวงเจียงโบกมืออย่างหงุดหงิด “ออกไปให้หมด กลับไปคิดให้ดี ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือกันแน่ พวกเจ้าสารภาพตอนนี้ก็ยังทัน” 

 

 

ทุกคนตอบรับ แล้วออกไปจนหมด 

 

 

กลับมาที่ห้อง เจียงเยี่ยนก็ให้บ่าวในเรือนของตนออกไปจนหมด แล้วถามภรรยาของตนว่า “ฮูหยิน เจ้าเป็นคนปล่อยข่าวงั้นรึ” 

 

 

ฮูหยินเจียงกลัวก็แต่ตรงนี้ จึงรีบอธิบายว่า “ท่านพี่ จิ่นเอ๋อร์เป็นลูกสาวของเรา แล้วข้าจะเอาเกียรติของลูกไปล้อเล่นได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ” 

 

 

เจียงเยี่ยนใช้สายตาตรวจสอบนาง เห็นว่าท่าทางของนางนั้นไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ก็ขมวดคิ้วสงสัย “แล้วเป็นใครกัน เรื่องนี้ข้าบอกแค่เจ้าเท่านั้น” 

 

 

ฮูหยินเจียงคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าจิ่นเอ๋อร์นั้นไปทำอะไรให้ใคร ถึงได้โดนทำลายชื่อเสียงเช่นนี้  

 

 

ในขณะเดียวกัน หวงฝู่อวี้เพิ่งจะกลับเข้าจวนมา ก็พบอะไรผิดสังเกต เท้าที่กำลังสาวเข้าไปในจวนก็ช้าลง หลังจากนั้น ก็ยื่นคอออกมา ดูไปที่ด้านในจวนก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ตนกลับรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง 

 

 

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ลองหยั่งเชิงก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าว พบว่าไม่มีอะไร เลยถอนหายใจ เดินเข้าไปต่อ ก็ไม่มีอะไรอีก แล้วจึงหยุดยืน ถอนหายใจ แล้วเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตรงหน้าผาก จัดท่าจัดทางให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าไปในจวนอย่างสบายใจ  

 

 

เดินมาได้ประมาณสิบจั้ง ก็มีท่อนไม้ลอยมาตรงหน้าพร้อมกับเสียงลม อีกนิดเดียวก็เกือบทำเขาหัวแตกแล้ว 

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจจนเหงื่อไหลท่วม หดตัวและหัวลงหลบท่อนไม้นั้นได้ ยังไม่ทันได้ยืนดีๆ ก็มีท่อนไม้อีกท่อนลอยมา ครั้งนี้กระแทกลงไปที่ขาของเขา  

 

 

หวงฝู่อวี้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้วร่างกายของเขาก็ค่อยๆ เอนไปทางด้านหลัง 

 

 

บ่าวรับใช้ในเรือนต่างหลับตาปี๋ 

 

 

มีเสียงดัง ตุบ หวงฝู่อวี้นอนล้มลงไปกับพื้น ร้องลั่นไปทั่วจวนอ๋อง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินออกมาจากในที่มืด เสียงฝีเท้าหนัก หนักเสียจนหวงฝู่อวี้หยุดร้อง รีบลุกขึ้นนั่งทันที มองไปที่ใบหน้าอันโกรธาของเขา กลืนน้ำลาย แล้วพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “พี่ พี่ใหญ่ขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาตรงหน้าเขา ไม่ได้พูดอะไร เอาแต่จ้องมองเขา  

 

 

หวงฝู่อวี้ถูกมองจนขนลุกไปทั้งตัว กลืนน้ำลายไปสองสามอึก แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พี่ พี่ใหญ่ ข้าทำผิดอะไรอีกแล้วงั้นหรือขอรับ” 

 

 

คำพูดของเขา ทำให้หน้าของหวงฝู่อี้เซวียนไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร โค้งตัวลงไป หยิบท่อนไม้นั้นขึ้นมา  

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจจนขนลุกไปหมด ลุกขึ้นมาวิ่งอย่างสุดชีวิต แล้วเรียก “พี่สะใภ้ใหญ่ ช่วยด้วยขอรับ พี่ใหญ่เป็นบ้าไปแล้วขอรับ” 

 

 

เสียงตะโกนดังมาก ดังก้องไปทั่วทั้งทางเดิน เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งอยู่ในห้องของตนก็ได้ยิน จึงส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนกลับมาจากข้างนอก สีหน้าไม่สู้ดีนัก หลังจากที่นางถามไถ่ ถึงได้รู้ว่าในเมืองหลวงมีข่าวลือว่าหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นหลานสาวของหมอหลวงเจียงนั้นได้เสียกันแล้ว 

 

 

หลินหันเยียนเพิ่งจะไปได้ไม่ทันไร หวงฝู่อวี้ก็มีเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาอีก ความโกรธของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นใครๆ ก็รู้ ถ้าหากว่าไม่ให้เขาระบายความโกรธนี้ออกมา ก็อย่าหวังว่าคนในจวนนี้จะได้อยู่อย่างสงบเลย ดังนั้น แม้ว่าจะได้ยินเสียงของหวงฝู่อวี้ก็เถอะ นางก็จะทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วนั่งคำนวณบัญชีที่ร้านบะหมี่ฝรั่งที่ส่งมาจากทั่วรัฐอู่ต่อไป 

 

 

วิทยายุทธ์ของหวงฝู่อวี้นั้นยังห่างไกลกับหวงฝู่อี้เซวียนมากนัก แม้เขาจะทุ่มสุดตัว ก็ทำได้แค่ต่อยเขาไม่กี่ทีเท่านั้น  

 

 

ครั้งนี้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธแล้วจริงๆ ลงมือหนักยิ่งนัก หวงฝู่อวี้เจ็บเป็นอย่างมาก ร้องเสียงเจ็บจนน้ำตาไหล 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินแล้ว ท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว ทั้งสองคนมองตากัน แล้วก็อุ้มเด็กทั้งสองออกมาดูอะไรสนุกๆ  

 

 

เห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้ไล่กวดกัน แล้วยังร้องออกมาเป็นระยะๆ เด็กทั้งสองคนที่อยู่ในอ้อมอกก็ดีใจโบกไม้โบกมือ โน้มตัวไปข้างหน้า อยากจะไปไล่จับด้วย 

 

 

ท่านอ๋องฉีรู้สึกได้ถึงความโกรธของหวงฝู่อี้เซวียน ก็หรี่ตามองทั้งสองคน ในขณะที่หวงฝู่อวี้กำลังจะโดนอีกที ท่านอ๋องฉีก็ตะโกนออกมาว่า “เซวียนเอ๋อร์ พอได้แล้ว” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจึงจะหยุด  

 

 

หวงฝู่อวี้ก็หยุดลงสูดหายใจเข้าออกลึกๆ รู้สึกได้ว่าตัวของตนเจ็บไปทั้งตัว จึงเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้ แล้วเดินไปหาพระชายาฉี เดินไปก็ฟ้องไปว่า “เสด็จแม่ขอรับ ท่านพี่ตีข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกแล้วขอรับ” 

 

 

นิสัยของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นพระชายาฉีเข้าใจเป็นอย่างดี จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะโกรธจริงๆ แล้วสิ หรือว่าเจ้าไปก่อเรื่องอะไรมาอีกหรือไม่” 

 

 

หวงฝู่อวี้ส่ายหน้า แล้วพูดยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีขอรับ ไม่มีจริงๆ ข้ายุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องกิจการของจวนทุกวัน จะมีเวลาก่อเรื่องอะไรที่ไหนกันเล่าขอรับ” 

 

 

พระชายาฉีมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนที่ยังคงสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดว่า “มีเรื่องอะไรเข้ามาคุยกันด้านในเถิด” 

 

 

แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าห้องไป 

 

 

เอาเด็กน้อยทั้งสองวางลงบนรถเข็นเด็ก แล้วสั่งให้แม่นมมารับเข้าไปที่ห้องของเด็กน้อย พระชายาฉีก็ถามว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าไล่ตีน้องเพราะอะไรกันแน่” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็มองไปที่หวงฝู่อวี้ด้วยสายตาเยือกเย็น แต่เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้หดตัวลงก็เก็บสายตากลับมา แล้วเล่าเรื่องข่าวลือที่ได้ยินมาวันนี้ให้ฟัง 

 

 

ท่านอ๋องฉีก็ขมวดคิ้ว  

 

 

พระชายาฉีชะงักไป 

 

 

หวงฝู่อวี้ตกใจถึงขั้นกระโดดโหยง โวยวายถามว่า “เรื่องนี้มันตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเหลือบตามองเขา  

 

 

แล้วหวงฝู่อวี้เก็บท่าทางลงทันที พร้อมอธิบายว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องเชื่อข้านะ ข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้นอย่างแน่นอน” 

 

 

“หากเจ้าไม่เคยทำ แล้วเหตุใดในเมืองหลวงถึงมีข่าวลือเช่นนั้นกันเล่า” หวงฝู่อี้เซวียนถามกลับ  

 

 

หวงฝู่อวี้ยกมือขวาขึ้นมาสาบานว่า “พี่ใหญ่ ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ ข้าไม่เคยมีอะไรกับคุณหนูเจียง… …” พูดถึงตรงนี้ ก็มีภาพๆ หนึ่งลอยเข้ามาในสมอง แล้วหลุดพูดออกมาว่า “หรือว่าจะเป็นครั้งนั้น” 

 

 

อุณหภูมิในห้องก็ลดลงอย่างรวดเร็ว  

 

 

รู้สึกได้ถึงสายตาอันอำมหิตของท่านอ๋องฉี พระชายาฉีและหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังมองจ้องเขาอยู่ หวงฝู่อวี้ก็ก้มหัวลง แล้วค่อยๆ อธิบายออกมาว่า “ครั้งนั้น รถม้าของคุณหนูเจียงเกิดพยศ นางกระเด็นออกมาจากรถม้า ด้วยสถานการณ์คับขันข้าเลยกระโจนเข้าไปช่วยนางขอรับ” 

 

 

“แค่ครั้งนั้นงั้นรึ” พระชายาฉีถามด้วยความสงสัย  

 

 

หวงฝู่อวี้รีบพยักหน้า “แค่ครั้งนั้นขอรับ ก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้น ข้าก็ไม่ได้พบคุณหนูเจียงอีกเลย” 

 

 

เหมือนว่าเขาจะพูดความจริง พระชายาฉีขมวดคิ้ว “จะว่าไป ก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ถ้าหากว่ามันจะมีข่าวลือ มันควรมีตั้งนานแล้ว แล้วเหตุใดพวกเราถึงเพิ่งจะได้ยินล่ะ” 

 

 

ประเด็นนี้เป็นเหตุให้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธเป็นอย่างมาก ตอนนั้นที่หวงฝู่อวี้ช่วยคน คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็เห็นชัดเจน แม้ว่าหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นจะมีการแตะเนื้อต้องตัวกัน ชาวบ้านก็ไม่ได้พูดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น แต่หลังจากที่ผ่านมาแล้วตั้งนาน กลับเกิดข่าวลือเช่นนี้ขึ้นมา เขานึกว่าหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นนั้นจะไปมีอะไรกันจริงๆ 

 

 

คิดได้เช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนก็ถาม “หลังจากนั้นเจ้าก็ไม่ได้พบคุณหนูเจียงเลยจริงๆ งั้นรึ” 

 

 

หวงฝู่อวี้ก็รีบตอบกลับไปโดยทันที เกรงว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เชื่อตนอย่างใดอย่างนั้น “พี่ใหญ่ขอรับ ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ ว่าช่วงนั้นข้ามีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นที่ไหนกัน กว่าจะสะสางเรื่องที่ผ่านมาก็ไม่ง่ายเลย ข้าจะกล้าไปทำเรื่องเช่นนี้กับหญิงอื่นได้อย่างไรกัน ข้าแทบอยากจะหนีให้พ้นหน้าสตรีอยู่แล้ว” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็คงจะต้องไปตรวจสอบให้แน่ชัดเสียหน่อย ดูสิว่ามันผู้ไหนช่างกล้าเอาจวนอ๋องไปล้อเล่น” 

 

 

“ตรวจ เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด” ท่านอ๋องฉีที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้น ในน้ำเสียงมีความอำมหิตซ่อนอยู่ “ถ้าหากว่าตรวจแล้วจับได้ว่ามีคนตั้งใจปล่อยข่าวลือนี้ ประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน ไม่ต้องสนใจพิธีรีตองทั้งนั้น ข้าอยากเชือดไก่ให้ลิงมันดู ให้ไอ้พวกที่ฉวยโอกาสสร้างเรื่องเพื่อมาทำลายชื่อเสียงจวนอ๋องมันได้รับรู้ถึงจุดจบของพวกมัน” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้เก็บสีหน้า แล้วตอบรับพร้อมกัน “ขอรับ เสด็จพ่อ” 

 

 

กลับมาที่เรือน หวงฝู่อี้เซวียนออกคำสั่งให้โจวอันและองครักษ์ลับไปตรวจสอบเรื่องนี้ทันที 

 

 

หวงฝู่อวี้ก็สั่งให้องครักษ์ของตนออกไปตรวจสอบด้วยเช่นกัน  

 

 

ตรวจสอบอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ในขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้กำลังเกรี้ยวกราดอยู่นั้น หมอหลวงเจียงก็พาเจียงเยี่ยนลูกชายของตนเองมาขออภัยโทษ 

 

 

เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียน หมอหลวงเจียงก็ประสานมือ เจียงเยี่ยนก็โค้งตัวลงจนแทบถึงพื้น แล้วพูดว่า “ขอคาะวะซื่อจื่อ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “หมอหลวงเจียงนี่ท่าน… …” 

 

 

“ข่าวลือที่แพร่สะพัดในเมืองหลวงนั้นซื่อจื่อคงรู้แล้ว วันนี้ที่ข้าพาเจ้าหมาตัวนี้มาก็เพื่อขออภัยโทษขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดด้วยน้ำเสียงขึงขังขึ้นมาทันที “หมอหลวงเจียงพูดเช่นนี้ หรือว่าข่าวลือนี้มาจากจวนของท่านอย่างนั้นหรอกรึ” 

 

 

หมอหลวงเจียงรีบอธิบายทันที “ซื่อจื่อเข้าใจผิดแล้วขอรับ ไม่ว่าจะลูกเล็กเด็กแดงหรือคนผมหงอกผมดำในจวน ข้าล้วนสอบปากคำมาหมดแล้ว ไม่มีใครพูดเช่นนี้เลยขอรับ” 

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็คลายลง “แล้ววันนี้ที่พวกท่านมาขอโทษหมายความว่าอย่างไร” 

 

 

“ตอนนั้นที่คุณชายรองเจตนาดี ช่วยจิ่นเอ๋อร์เอาไว้ แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวพันกับข่าวลือเช่นนี้ด้วย ข้าน้อยรู้สึกไม่สบายใจ เลยเอาหมาตัวนี้มาขอโทษ ขอคุณชายรองอย่าได้ขุ่นเคืองใจขอรับ” 

 

 

“หมอหลวงเจียงพูดเกินไปแล้ว ในเมื่อข่าวลือนั่นไม่ได้มาจากจวนของท่าน แสดงว่ามีคนเจตนากุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายชื่อเสียงจวนอ๋อง ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน ท่านไม่ต้องไปใส่ใจ ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอก็จะได้คำตอบ” 

 

 

เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ขุ่นเคืองตนแต่อย่างใด หมอหลวงเจียงและเจียงเยี่ยนก็โล่งอก หลายวันมานี้ เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้คนในจวนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวว่าอ๋องฉีจะโกรธแล้วมาฆ่าคนถึงที่จวนเสียจนวุ่นวายไปกันใหญ่ แล้วตระกูลเจียงจะไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงได้อีกต่อไป ยังดี ยังดี สวรรค์ยังเมตตา ดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกเขากังวลนั้นจะไม่เกิดขึ้นแล้ว 

 

 

ต่อจากนั้นหลายวัน องครักษ์ลับหลายพันคนก็แทบจะพลิกแผ่นดินตรวจสอบเสียจนทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่พบต้นตอของข่าวลือ อีกทั้งข่าวลือก็ยิ่งแพร่สะพัดไปมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวว่า คุณหนูแห่งตระกูลเจียงกับหวงฝู่อวี้นั้นได้มีการพูดคุยกันแล้ว แต่ว่าทางฝั่งท่านอ๋องฉีได้ปฏิเสธ เลยทำให้คุณหนูแห่งตระกูลเจียงเศร้าโศกเป็นอย่างมากจนล้มป่วยไป 

 

 

หลังจากที่หมอหลวงเจียงได้ฟังข่าวลือนั้นแล้ว ก็ปาถ้วยแก้วใบแล้วใบเล่า โกรธจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยทั้งคืน จึงตัดสินใจ ประกาศในขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวเช้าอยู่ว่า “วันนี้หลังจากที่ข้าได้เข้าวังไปกราบทูลฝ่าบาท ข้าจะขอปลดเกษียณกลับบ้านเกิด พวกเจ้าจงเก็บข้าวของให้เรียบร้อย เตรียมกลับบ้านเกิดไปกับข้า”