ทุกคนชะงักไป เงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมๆ กัน
หมอหลวงเจียงกวาดสายตามองไปที่ทุกคน แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม รีบกินข้าวแล้วไปที่สำนักหมอหลวงทันที ทิ้งให้คนในบ้านนั่งมองหน้ากัน ตกใจไปตามๆ กัน
มาถึงสำนักหมอหลวงในยามเช้าตรู่ ฮ่องเต้ยังไม่ได้ออกว่าราชการชุมเช้า หมอหลวงเจียงก็เก็บของที่อยู่อยู่โต๊ะทำงานของตน จัดเรียงอย่างเรียบร้อย วางลงไปในกล่องใหญ่ที่ตนเตรียมมาอย่างเป็นระเบียบ
ทุกคนเห็นว่าท่าทางของเขานั้นแปลกประหลาดนัก คนที่สนิทกับเขาจึงเดินเข้ามาถาม
ยังไม่รู้เลยว่าฮ่องเต้จะมีรับสั่งเยี่ยงไร หมอหลวงเจียงจึงไม่กล้าพูดอะไรมากนัก จึงพูดบ่ายเบี่ยงไปว่า “วันนี้ไม่มีเรื่องอะไร เลยอยากจัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ”
เห็นท่าทางของเขาเคร่งขรึม เหมือนมีเรื่องอะไรในใจ แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าถามมาก หมอหลวงด้วยกันก็รู้มารยาทดีจึงไม่ได้ถามต่อ กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนเองเงียบๆ
ส่วนคนที่เหลือพอได้ยินถึงข่าวลือในเมืองหลวงบ้าง สายตาที่มองหมอหลวงเจียงนั้นก็เปลี่ยนไป ในใจต่างก็คาดเดาไปต่างๆ นาๆ ตอนนี้เขากำลังประจบจวนอ๋องฉีอยู่ ไม่เห็นคนอย่างพวกเขาอยู่ในสายตาหรอก ขนาดหมอหลวงที่เป็นเพื่อนกันมานานก็ยังโดนเมินเสียแล้ว
คนในสำนักหมอหลวงก็มีความเห็นแตกแยกกันออกไปในชั่วพริบตา
แต่หมอหลวงเจียงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น เก็บของๆ ตนไป เงยหน้ามองเวลา แล้วเดินไปถามข่าวที่ด้านนอก ได้ยินว่าฮ่องเต้ว่าราชการเสร็จแล้ว หลังจากที่รอไปอีกครึ่งชั่วยาม ก็ไปรอขอเข้าพบที่ห้องทรงพระอักษรโดยทันที
หลังจากฮ่องเต้ว่าราชการเช้าเสร็จ เสวยพระกายาหารเช้าเรียบร้อย หลังจากที่พักผ่อนแล้วนั้น ก็ไปอ่านฎีกาของวันนี้ที่ห้องทรงพระอักษร หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็เดินย่องเข้ามา แล้วรายงานเบาๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท หมอหลวงเจียงขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
มือของฮ่องเต้ที่กำลังถือฎีกาอยู่ก็หยุดลง แล้วถามว่า “เรื่องอันใด”
“เห็นบอกว่าอายุมากแล้ว อยากเกษียณกลับบ้านเกิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ก็เงยหน้าขึ้น วางฎีกาในมือลง แล้วออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เรียกตัวเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็โค้งตัวเดินออกไป ประกาศคำสั่ง
หมอหลวงเจียงก็เดินเข้ามาอย่างนอบน้อม หลังจากที่ทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ก็กราบทูลตามตรงว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว เริ่มดูแลสำนักหมอหลวงไม่ไหว อยากเกษียณกลับบ้านเกิด ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หรี่ตามอง มองเสียราวกับว่าเข้าใจแล้วทุกอย่างอย่างใดอย่างนั้น
หมอหลวงเจียงไม่กล้าเงยหน้า รู้สึกได้ถึงสายตาของฮ่องเต้ที่กำลังมองมา ที่หลังก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็เอ่ยปาก พยักหน้าอย่างเฉยชาแล้วพูดว่า “อนุญาต!”
หมอหลวงเจียงก้มกระแทกศีรษะลงขอบคุณอีกครั้ง แล้วถอยออกไปจากห้องทรงพระอักษร ถอนหายใจออกมาเบาๆ มั่นใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ดองญาติกับจวนอ๋องฉีเด็ดขาด แล้วจึงรีบกลับมาที่สำนักหมอหลวง สั่งให้ผู้ติดตามของตนนำของเก็บขึ้นรถม้า ในขณะที่ทุกคนกำลังอึ้ง มองด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ เขาก็ขึ้นรถม้า แล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปที่จวนเจียงโดยทันที
เมื่อเขาไปแล้ว ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเขาลาออก สำนักหมอหลวงก็เกิดข้อถกเถียงกันขึ้นมาในทันที บ้างก็สงสาร บ้างก็ใจหาย บ้างก็แอบมองไปที่โต๊ะหัวหน้าสำนักหมอหลวง แล้วคิดว่าตนนั้นควรหาเส้นสายหน่อยหรือไม่ เผื่อจะได้นั่งที่โต๊ะหัวหน้าหมอหลวงตรงนั้นบ้าง
ไม่ว่าคนในสำนักหมอหลวงจะคิดอย่างไร หลังจากที่หมอหลวงเจียงกลับมาที่จวนเจียงแล้ว เห็นคนในจวนของตนปฏิบัติตามคำสั่งของตน กำลังเก็บของที่จะเอาติดตัวไปด้วย ในใจก็นึกโล่งอก พูดว่า “อะไรที่เอาไปได้ก็เอาไป อะไรที่เอาไปไม่ได้ก็ทิ้งไว้ พยายามเก็บให้เสร็จภายในสองวันนี้ เพราะหลังจากนี้สองวันพวกเราจะออกเดินทาง”
ทุกคนก็ตอบรับ
หมอหลวงเจียงกลับไปที่เรือนของตน เจียงจิ่นก็เดินเข้ามาอย่างช้าๆ กับดวงตาที่แดงก่ำ แล้วคุกเข่าต่อหน้าหมอหลวงเจียง “ท่านปู่เจ้าคะ หลานผิดเองเจ้าค่ะ หลานทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน”
“ลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก ในขณะที่เจ้ากำลังตกใจ แล้วมีท่าทางเช่นนั้นออกมานั้นเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ จะโทษก็แต่มีคนเอาเรื่องนี้ไปแพร่เสียๆ หายๆ ก็เท่านั้น” หมอหลวงเจียงพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ไม่มีความโกรธเลยสักนิดเดียว
เจียงจิ่นลุกขึ้น
มองหลานสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าของตน หมอหลวงเจียงก็ถอนหายใจออกมา เจียงจิ่นฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่น้อย เขาเองก็รักนางมาก ถ่ายทอดวิชาแพทย์ของตนให้นางจนเกือบหมด เพียงหวังให้นางได้พบเจอคนที่ดี คนที่เหมาะสมกับนาง เมื่อแต่งออกไปแล้ว อย่างน้อยก็มีวิชาแพทย์นี้ทำให้บ้านสามีเห็นค่าของนางเสียหน่อย ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตอนนี้ชื่อเสียงของจิ่นเอ๋อร์นั้นได้โดนทำลายไปแล้ว เมืองหลวงแห่งนี้จะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้แล้ว ยังดี คนที่บ้านเกิดนั้นจริงใจ ไม่มีใครคิดร้ายอะไรหรอก ถึงตอนนั้นก็หาคนที่เหมาะสมกับนางมาแต่งงาน ก็ไม่แย่นัก
เรื่องที่หมอหลวงเจียงปลดเกษียณกลับบ้านเกิด ก็ได้ยินมาจนถึงจวนอ๋องได้หนึ่งชั่วยามแล้ว หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้ว ก็นิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “ที่หมอหลวงเจียงทำเช่นนี้ ไม่ได้เป็นเพราะว่าข่าวลือของคุณหนูเจียงกับอวี้เอ๋อร์หรอกนะ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็เม้มปากเล็กน้อย แล้วพยักหน้าด้วยความมั่นใจว่า “น่าจะใช่”
“นี่มัน…” เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดี เรื่องนี้บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าใครทำให้ใครเดือดร้อนกันแน่ หวงฝู่อวี้ช่วยคนนั้นเป็นเรื่องจริง ส่วนคุณหนูเจียงทำแบบนั้นก็เป็นการตอบสนองของคนปกติ แต่เมื่อมีคนฉวยโอกาสเอาเรื่องนี้ออกไปแพร่ในทางเสียหาย จากเรื่องดีกลายเป็นเรื่องแย่ จวนเจียงและจวนอ๋องต่างก็โดนมรสุมนี้จู่โจมด้วยกันทั้งคู่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกเราส่งคนออกไปตรวจสอบได้สักพักหนึ่งแล้ว ก็ยังหาไม่เจอว่าใครเป็นเบื้องหลังข่าวลือนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังหลบซ่อนตัวได้ดีขนาดนี้ สรุปแล้วทำไปเพื่ออะไรกันแน่”
หวงฝู่อี้เซวียนสีหน้าเคร่งขรึม ส่ายหน้า “นี่เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ตก จะว่าไปคนที่ปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ อยากเล่นงานในเรื่องใด แต่ว่าผ่านไปหลายวันแล้ว นอกจากที่ข่าวลือจะแพร่สะพัดไปมากขึ้น ก็ไม่มีคนมาหาเรื่องแต่อย่างใด ประหนึ่งเพียงต้องการปล่อยข่าวลือก็เท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ
ในขณะเดียวกัน หวงฝู่อวี้ก็ได้ข่าวเรื่องนี้แล้วเช่นกัน จึงเสียใจเป็นอย่างมาก เป็นเพราะตนแท้ๆ ที่มีเจตนาดีเข้าไปช่วยเจียงจิ่นเอาไว้ แต่วันนี้กลับทำให้หมอหลวงเจียงต้องเดือดร้อนจนกระทั่งต้องปลดเกษียณกลับบ้านเกิดไป
หลังจากที่ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีได้ยินข่าวนี้ ก็นิ่งอึ้งไปเช่นเดียวกัน
พระชายาฉีเข้าใจในเจตนาของหมอหลวงเจียงทันที มีความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที หันหน้าไปถามท่านอ๋องฉีว่า “ท่านอ๋องเพคะ ท่านว่าพวกเราไปสู่ขอที่จวนเจียงตอนนี้ มันจะทำให้หมอหลวงเจียงอยู่ต่อได้หรือไม่เพคะ”
เมื่อหลายปีนั้น นางร่างกายไม่แข็งแรงนัก กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ก็เป็นหมอหลวงเจียงที่เรียกเมื่อใดก็มาเมื่อนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของหมอหลวงเจียงก็จริง แต่พระชายาฉีก็รู้สึกซาบซึ้งในตัวเขาเป็นอย่างมาก เพราะเขาแท้ๆ ที่ช่วยต่อชีวิตของตนเองมาได้ นางถึงได้โชคดีที่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญ นางเองก็ถูกชะตากับหลานสาวของหมอหลวงเจียงด้วยเช่นกัน น่ารักน่าเอ็นดู สุภาพเรียบร้อย
เด็กน้อยทั้งสองคนเพิ่งจะเริ่มตั้งไข่ ทำให้ท่านอ๋องฉีดีใจเป็นที่สุด จะไปมีเวลาสนใจเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน จึงบอกว่า “เรื่องสู่ขอนั้น เจ้าตัดสินใจเองก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ท่านอ๋องฉีมีหลานสาวก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พระชายาฉีจึงได้แต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า ถ้าเป็นแต่ก่อนนางคงไม่คิดไม่ฝันว่าท่านอ๋องฉีจะเอ็นดูเด็กน้อยสองคนนี้ยิ่งกว่าตนเสียอีก จึงมองภาพนั้นอย่างปลื้มปริ่มใจ
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ แน่นอนพระชายาฉีก็นั่งไม่ติด เลยบอกกับท่านอ๋องฉีที่ไม่ได้สนใจนางเลยให้เขาดูเด็กทั้งสองคนให้ดี ส่วนตนนั้นเดินมาที่เรือนของหวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อได้ยินเสียงของพระชายาฉี หวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นมาเปิดม่านตรงหน้าต่างออก แต่ก็ไม่ได้ทักทายพระชายาฉี กลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
พระชายาฉีแปลกใจ จึงมองตามไปด้วย แต่ก็ไม่พบอะไร ยิ้มถามว่า “เซวียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังมองอะไรหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนทำท่าทางจริงจัง “ข้ากำลังดูว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือเปล่าน่ะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวแทบจะหลุดขำออกมา
ก็เพราะตั้งแต่พระชายาฉีอุ้มเด็กทั้งสองไปนั้น หลายเดือนผ่านไป พระชายาฉีก็ไม่เคยมาเรือนของตนอีกเลย
พระชายาฉีชะงักไป แล้วถึงรู้สึกได้ว่าที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร จึงหยอกตีเขาแก้เขินพร้อมด่าว่า “ยังจะมาพูดล้อแม่อีกนะ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเห็นหน้าลูกเจ้าแล้วล่ะ”
คดีขโมยเด็กของหวงฝู่อี้เซวียนนั้นต้องโทษหลายกระทงเหลือเกิน ท่านอ๋องฉีกันเขาราวกับกันโจรอย่างใดอย่างนั้น นี่ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนยิ่งเจอลูกยากเข้าไปใหญ่ เป็นเพราะพระชายาฉีที่คอยแอบเอาลูกมาให้เลี้ยงบ้าง มิเช่นนั้นล่ะก็ เขาอาจจะไม่ได้เจอลูกของเขาอีกเลยก็เป็นได้
คำพูดของนาง ทำให้ท่าทางของหวงฝู่อี้เซวียนเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มปกติ เดินออกมาเปิดม่านประตูให้กับพระชายาฉี “เสด็จแม่ เชิญขอรับ”
พระชายาฉียิ้มเดินเข้าไปในเรือน
ชิงหลวนและจูหลีทั้งสองคนใกล้คลอดแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้พวกนางหยุดพัก กลับไปรอคลอด ในเรือนมีแต่หวงฝู่อี้และโจวอันคอยเฝ้าอยู่เท่านั้น
หวงฝู่อี้ก็รู้หน้าที่รีบไปยกชามาทันที วางลงตรงหน้าพระชายาฉี แล้วออกไป
พระชายาฉีก็พูดกับทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าคงได้ยินเรื่องที่หมอหลวงเจียงปลดเกษียณกลับบ้านเกิดแล้ว จะว่าไปพวกเขาก็เดือดร้อนไปด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ดังนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพื่อจะปรึกษาพวกเจ้า ถ้าหากว่าพวกเราจะไปสู่ขอที่จวนเจียงตอนนี้ เหมาะสมหรือไม่”
ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มออกมา พยักหน้า “ความคิดของเสด็จแม่นั้นดีเลิศเจ้าค่ะ ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ข่าวลือนั้นหายไป ยังจะช่วยให้หมอหลวงเจียงตัดสินใจอยู่เมืองหลวงต่อไปด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าอวี้เอ๋อร์จะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้…”
พระชายาฉีก็ไม่สาวความ แต่พูดอย่างแน่วแน่ว่า “เรื่องแต่งงานนั้นเรื่องใหญ่ จะต้องมีพ่อแม่คอยจัดการ ข้าได้ตามใจเขาไปแล้วรอบหนึ่ง จะไม่มีรอบที่สองเด็ดขาด ข้าเคยพูดกับพวกเจ้าเอาไว้แล้ว คุณหนูเจียงนั้นเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในสายตาข้า ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีที่ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้พวกเขา เลือกวันมงคลจัดงานแต่งงานให้กับพวกเขาเรียบร้อย ทีนี้ข้าก็จะได้ยกภูเขาออกจากอกเสียที”
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีความเห็นอย่างไร เรื่องหวงฝู่อวี้กับหลินหันเยียนนั้น ก่อความวุ่นวายเป็นอย่างมาก ใครๆ ก็รู้ วันนี้ตระกูลหลินได้หายไปอยู่ชายแดนกันทั้งตระกูล ส่วนจวนอ๋องนั้นก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด อีกทั้งหลินหันเยียนเองก็ไปด้วย สิ่งนี้ทำให้ขุนนางชั้นสูงมองจวนอ๋องฉีไปอีกแบบ โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ คนที่บอกว่าเขานั้นทรยศก็มีไม่น้อย ในช่วงเวลานี้คงไม่มีใครอยากส่งลูกสาวมาแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งอายุของหวงฝู่อวี้ก็ไม่น้อยแล้ว ถ้าหากยังดึงดันต่อไปคงเป็นที่น่าขันเป็นแน่ ในเมื่อผู้คนต่างเอาหวงฝู่อวี้กับเจียงจิ่นมัดเข้าด้วยกันแล้ว เช่นนั้นก็พอดีเลย ให้ทั้งสองคนแต่งงานกันเสียก็สิ้นเรื่อง
ทั้งสามคนปรึกษาหารือกันเรียบร้อย งานแต่งงานของหวงฝู่อวี้ก็ได้ถูกกำหนดขึ้นไปโดยปริยาย
ส่วนเจ้าตัวนั้นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เอาแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานกิจการของจวน
คืนนั้น หวงฝู่อวี้กลับมาที่จวน ตรงไปหาท่านอ๋องฉีกับพระชายาฉีก่อน พระชายาฉีจึงบอกเรื่องนี้กับหวงฝู่อวี้
เมื่อผ่านเรื่องของหลินหันเยียนมาแล้ว หวงฝู่อวี้ก็กลัวเป็นอย่างมาก ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานอีกเลย แต่เมื่อเห็นว่าพระชายาฉีทำเพื่อตนถึงขนาดนี้ ก็ไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่พูดบ่ายเบี่ยงไปว่า “เสด็จแม่ขอรับ เรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ขอเวลาให้ลูกได้คิดสักวันสองวันได้หรือไม่ขอรับ”
ตอนที่พระชายาฉีพูดก็แน่วแน่เป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นหน้าหวงฝู่อวี้ก็ไม่บังคับเขาอยู่ดี จึงพูดว่า “แม่ได้เจอกับคุณหนูเจียงแล้ว นางก็เหมาะสมกับเจ้าดี เจ้าคิดให้ถี่ถ้วนเถอะ แล้วรีบมาให้คำตอบกับแม่โดยเร็ว”
หวงฝู่อวี้โค้งคำนับตอบรับ แต่หลังจากที่เดินออกมาจากเรือนของพระชายาฉีแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้มีความคิดที่จะแต่งงานจริงๆ แต่ว่าอายุของตนก็ไม่น้อยแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่แต่งงานล่ะก็จะกลายเป็นตัวตลกให้คนในเมืองหลวงว่ากล่าวเสียๆ หายๆ ได้ ท้ายที่สุดก็จะทำให้จวนอ๋องต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอีก
คิดได้ดังนั้น จึงถอนหายใจ เฮือกกกก ออกมา ในหัวมีภาพของหลินหันเยียนผุดขึ้นมา เขารีบส่ายหับเพื่อลบภาพของหลินหันเยียนออก แล้วเดินกลับไปที่เรือนของตน
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน
หวงฝู่อวี้ที่ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ลากสังขารที่เหนื่อยล้าของตนกลับมาที่จวน กำลังจะเดินเข้าเรือน ก็มีเงาคนเคลื่อนผ่านมาจากด้านข้าง ยืนขวางเขาไว้
หวงฝู่อวี้เงยหน้าขึ้น มองหน้าคนตรงหน้าให้ชัด แล้วหรี่ตา “หงเอ๋อร์เองหรือ”
หงเอ๋อร์ย่อเข่าลงคำนับหวงฝู่อวี้ “คุณชายรอง”
หวงฝู่อวี้มองไปที่โดยรอบอย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้เห็นหลินหันเยียน จิตใจของเขากระวนกระวาย แต่ก็ยังถามด้วยท่าทางนิ่งเฉยว่า “เจ้าไม่ได้ตามคุณหนูของเจ้าไปที่ชายแดนอย่างนั้นรึ”
“หลังจากที่บ่าวได้ตามคุณหนูออกจาประตูเมืองไปแล้ว คุณหนูก็คืนสัญญาซื้อตัวของบ่าวกับซุนเต๋อมา บอกว่านี่เป็นการชดเชยสิ่งที่ทำเอาไว้กับบ่าวเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ก็โล่งอก
หงเอ๋อร์ควักจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมายื่นให้กับหวงฝู่อวี้ “คุณชายรองเจ้าคะ นี่เป็นสิ่งที่คุณหนูหลินให้บ่าวนำมามอบให้กับท่าน อยากขอร้องท่านให้ช่วยจัดการเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”