ตลอดห้าปีที่ผ่านมา จวินชิงและคนอื่นๆได้เข้าร่วมด้วยเพราะพวกเขามีศัตรูเหมือนกัน จ้าววิญญาณได้เปิดทางเข้าพิเศษสำหรับคนในอาณาจักรล่าง แม้แต่ทหารของกองทัพโลหิตเหล็กและกองทัพรุ่ยหลินก็ได้รับโอกาสในการเข้าไปฝึกที่โลกวิญญาณ
“ฝ่าบาท ทำไมวันนี้เสด็จมาถึงที่นี่ได้พะย่ะค่ะ?” ทหารของกองทัพรุ่ยหลินมองฉูหลิงเย่ที่มีท่าทางแปลกๆ
หลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าแคว้นเหยียนจะไม่มีอยู่แล้ว แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างฉูหลิงเย่และจวินอู๋เสีย คนของกองทัพรุ่ยหลินจึงชินกับการเรียกนางว่าจักรพรรดินี
ฉูหลิงเย่สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น แม้ว่านางจะมีท่าทางเย็นชา แต่ก็มีร่องรอยของความสุขบนใบหน้าของนาง
“ข้าอยากจะเรียกพวกเขากลับมา มีเรื่องจะปรึกษา” “ต้องการเรียกใครพะย่ะค่ะ?” ทหารคนหนึ่งเดินไปด้านข้างและหยิบไพ่วิญญาณขึ้นมา ไพ่วิญญาณเป็นสิ่งที่จ้าววิญญาณสร้างขึ้นด้วยพลังของเขา คำที่เขียนลงบนนั้นจะถูกส่งไปยังโลกวิญญาณ นี่เป็นรูปแบบการสื่อสารที่สะดวกอย่างหนึ่ง
ฉูหลิงเย่ตอบว่า “ทุกคน”
ทหารคนนั้นอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา
ฉูหลิงเย่มองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รอยยิ้มที่ไม่เคยปรากฏมาห้าปีได้เบ่งบานขึ้นบนใบหน้าของนางอีกครั้ง
“บอกพวกเขาว่าคนที่พวกเขารอคอยจะกลับมาเร็วๆนี้”
……………….
ในเวลาเดียวกัน ที่อาณาจักรกลาง ใต้หน้าผาสูงชันที่ไม่มีใครเคยไปถึงถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ภายใต้หมอกหนานั้น หากมองลงมาจะไม่สามารถมองเห็นด้านล่างได้ มีข่าวลือว่าใต้หุบเหวนี้เป็นเหวลึกไร้ก้น แม้แต่นกยังหาที่ลงเกาะไม่ได้
แต่……
ด้านล่างหมอกลงไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร มีสถานที่ที่ปลูกฝังความกลัวลงในใจของคนอาณาจักรกลางซ่อนอยู่อย่างเงียบๆ
อาณาจักรแห่งความมืด
ในอาณาจักรแห่งความมืดไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้ มันน่าจะเป็นโลกที่มืดมิด แต่ก็ยังมีแสงส่องสว่างอยู่นับไม่ถ้วนในโลกที่ซ่อนเร้นนี้
ชายสวมชุดเกราะเบาสีดำเดินไปตามทางหลักอย่างเงียบๆ อาคารสีดำตั้งตระหง่านอยู่ทั้งสองด้าน
เย่ฉาพาคนของเขาไปยังวังที่สูงที่สุดในอาณาจักรแห่งความมืด เมื่อสมาชิกคนอื่นๆของกองทัพราตรีที่ยืนอยู่นอกวังเห็นเย่ฉาเดินเข้ามา พวกเขาก็พยักหน้าให้และก้าวเข้าไปเปิดประตูหนาหนักที่ปิดอยู่ ทันทีที่ประตูเปิดออก ในห้องโถงกว้าง ร่างที่คุ้นเคยสองร่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“เร็วดีนี่ วันนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ?” เย่เม่ยที่ยืนอยู่ตรงกลางเห็นเย่ฉาเดินเข้ามา ก็เลิกคิ้วถาม
เย่กูที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หันกลับไปมองเย่ฉาที่ตัวเปียกโชกไปด้วยเลือด
“เจ็ด” เย่ฉาพูดพร้อมกับจ้องกลับไปที่เย่เม่ย
“แปด” เย่เม่ยเชิดหน้าพร้อมกับชูนิ้วขึ้นมาแปดนิ้วเพื่อเน้นย้ำคำพูดของเขา
เย่ฉามองเขาอย่างเย็นชา
“สิบห้า” เย่กูพึมพำอยู่ด้านข้าง
“……..”
“……..”
เย่ฉาและเย่เม่ยหุบปากทันที เทียบกับเย่กูแล้ว ผลงานของพวกเขาก็ขี้ปะติ๋วจนไม่มีอะไรให้ภาคภูมิใจ “อะแฮ่ม ใครจะเปรียบเทียบเรื่องพวกนี้กับพวกเจ้า คุณหนูล่ะ?” เย่ฉากระแอมในลำคอและตัดสินใจจะไม่สร้างความอับอายให้ตัวเองต่อหน้าเย่กู
เมื่อพูดขึ้นมา เย่เม่ยก็หุบยิ้มทันที เขาหันกลับไปมองด้านหลังห้องโถงใหญ่และพยักเพยิดหน้าไปทางนั้น
“คุณหนูกำลังสวดภาวนาให้อาจารย์ปู่ของนางกับคนอื่นๆ”
ใจของเย่ฉาดิ่งลงทันที
วันนี้เมื่อห้าปีก่อน เหรินหวงได้เสียสละตัวเองแลกกับชีวิตของพวกเขา
ทั้งสามคนเหมือนจะเห็นพ้องต้องกัน และเดินตรงไปทางด้านหลังห้องโถงใหญ่
ที่ด้านหลังห้องโถงใหญ่ แสงเทียนส่องสว่างทั่วทั้งห้อง ด้านหลังที่เพรียวบางปรากฏสู่สายตาของพวกเขา