ตี้เสี่ยวอู๋ขับรถไปหาที่จอดในขณะที่หลิงหยุน หลิงซวี่ หลิงเฟิง และโม่วู๋เตาเดินนำเข้าไปด้านในก่อน
  สิ่งแรกที่เตะตาเมื่อเดินเข้าไปด้านในคือโรงยิมขนาดใหญ่แต่ไม่มีผู้คนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว..
  ประตูรั้วห่างจากโรงยิมขนาดใหญ่ด้านไปราวสิบเมตรได้ตลอดสองข้างทางมีต้นไม้ดอกไม้ปลูกเรียงรายอยู่ ทางด้านขวาเป็นพื้นที่โล่งสำหรับใช้ทำกิจกรรมต่างๆ แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่ามีเพียงรถบัส และรถของหลิงเสี่ยวจอดอยู่เท่านั้น
  ด้านหลังโรงริมขนาดใหญ่มีอาคารอยู่สองอาคารอาคารแรกเป็นอาคารเรียนทั่วไป ส่วนอีกหนึ่งอาคารคือหอพัก ตรงกลางระหว่างอาคารเรียนทั่วไปกับหอพักเป็นพื้นที่เปิดโล่ง สำหรับใช้วิ่ง หรือฝึกฝนกลางแจ้ง
  ระหว่างที่หลิงหยุนกับคนอื่นๆกำลังเดินเข้าไปนั้นหลิงเสี่ยวกับหลิงหย่งก็กำลังฝึกฝนวรยุทธให้กับศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คนอยู่พอดี เวลานี้ร่างกายของทุกคนต่างก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
  “อะไรกัน!แค่ไม่กี่วันพวกเขาก็สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-6 แล้วรึ?! บางคนเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 แล้วด้วย!”
  หลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจในขณะเดียวกันก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจด้วย..
  หลิงเฟิงซึ่งเดินอยู่ข้างๆจึงพูดขึ้นว่า“พี่สาม เหตุใดท่านต้องประหลาดใจถึงเพียงนั้น พี่ลืมไปแล้วรึว่าท่านอาสามมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเพียงใด? เรื่องนี้ผู้คนทั่วปักกิ่งต่างก็รู้ดี..”
  “ยังไม่นับพี่หลิงหย่งข้าได้ยินว่าเขามาฝึกให้ทุกคนเกือบจะทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว เด็กพวกนั้นถึงได้ก้าวหน้าเร็วแบบนี้ยังไงล่ะ!”
  หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่าหลิงหย่งใช้เวลาสงบจิตสงบใจไปหลายวันแล้ว ได้เวลาที่เขาจะต้องพูดจากับหลิงหย่งให้เข้าใจเสียที
  ……
  เวลานี้หลิงหย่งกำลังสอนเพลงหมัดให้แก่ศิษย์หมอสวรรค์ทั้งหกคนที่เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7แล้ว เสียงร้องตะโกนของเขาดุดันและแฝงไว้ด้วยพลัง
  “พวกเจ้าทั้งเจ็ดคนนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดในบรรดาศิษย์หมอสวรรค์ทั้ง72 คน!”
  หลิงหยุนยืนดูอยู่เงียบๆระหว่างนั้นตี้เสี่ยวอู๋ก็ตามเข้ามาสมทบด้านในแล้ว หลิงหยุนเดินนำตรงเข้าไปด้านในทันที
  “ท่านพ่อ..พี่หลิงหย่ง!”
  ทันทีที่เข้าไปด้านในหลิงหยุนก็เอ่ยทักทายหลิงเสี่ยวและหลิงหย่งด้วยท่าทีเป็นปกติ แต่หลังจากที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ หลิงหยุนจึงหันไปบอกกับหลิงเสี่ยวว่า
  “ท่านพ่อต้องลำบากท่านแล้ว!”
  หลิงเสี่ยวหันไปเห็นหลิงซวี่ยืนอยู่ข้างหลิงหยุนก็ถึงกับใจสั่นและเข้าใจได้ทันทีว่าเวลานี้เมฆหมอกที่เคยบดบังมาตลอดสิบแปดปีนั้น ได้สลายหายไปหมดแล้ว
  “ไม่ลำบากเลยดีเสียอีกข้าจะได้มีอะไรทำแก้เบื่อ!”
  หลิงเสี่ยวตอบกลับพร้อมเอื้อมมือไปตบบ่าหลิงหยุน“จากนี้ไปข้าจะรับหน้าที่ดูเรื่องบ้านหลังใหม่ และฝึกฝนศิษย์ทั้ง 72 คนให้กับเจ้า แต่ละคนล้วนมีพรสวรรค์ทั้งสิ้น เชื่อว่าอีกไม่เกินครึ่งปีพวกเขาจะต้องเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้เป็นแน่!”
  “ขอบคุณท่านพ่อยิ่งนัก!”
  หลิงหยุนเอ่ยขอบคุณและถามต่อด้วยความเป็นห่วง “หากเป็นเช่นนี้ แล้วการฝึกฝนของท่านพ่อเองเล่า”
  “เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลใจไปข้าไม่ปล่อยให้ตนเองล่าช้าแน่!” หลิงเสี่ยวเข้าใจความเป็นห่วงของหลิงหยุนดี
  จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปพูดกับหลิงหย่งว่า“พี่หลิงหย่ง พวกเราสองคนไปคุยกันที่ทะเลสาบสักครู่จะได้หรือไม่”
  “ได้สิ!”
  ทั้งคู่เดินออกจากโรงยิมตรงไปที่ริมฝั่งทะเลสาบหลังจากยืนมองทิวทัศน์อยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลิงหยุนก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
  “พี่หลิงหย่งข้าทำให้ท่านต้องลำบาก!”
  แต่คำตอบของหลิงหย่งกลับเป็นคำตอบที่หลิงหยุนคาดไม่ถึง“หากไร้ซึ่งความเจ็บปวด ผู้คนจะเติบใหญ่ได้อย่างไรกัน นอกจากข้าจะเป็นทายาทตระกูลหลิงแล้ว ยังมีพ่อกับพี่ที่…”
  หลิงหยุนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า“พี่หลิงหย่ง ท่านตำหนิข้าหรือไม่ที่ทำเช่นนั้น”
  หลิงหย่งเอื้อมมือไปตบบ่าหลิงหยุนพร้อมตอบกลับไปทันที“น้องสาม เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้ เหตุการณ์ใหญ่โตที่เกิดขึ้นภายในตระกูลหลิงทั้งสองครั้ง ล้วนเกิดจากท่านพ่อกับพี่ใหญ่ พวกเขาต่างก็ทำผิดเอง..”
  “เป็นเพราะความโลภและความเห็นแก่ตัวของท่านพ่อคนตระกูลหลิงนับร้อยจึงต้องจบชีวิต อีกทั้งอาสามยังยังต้องอยู่อย่างเจ็บปวด รวมทั้งเจ้าที่ต้องออกไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกนานถึงสิบแปดปี!”
  หลิงหย่งพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันตนเอง“ความจริงต้องเป็นข้าต่างหากที่ควรจะถามเจ้าว่า เจ้าตำหนิข้าหรือไม่ ไฉนข้าจึงกล้าตำหนิเจ้าด้วยเล่า?”
  “หลิงหยุนเจ้าอย่าได้กังวลใจเรื่องของข้านัก เวลาก็ผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ข้าเองก็สามารถปรับสภาพจิตใจได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจของเจ้าหรือว่าท่านปู่ ข้าก็เห็นด้วยที่จะต้องสังหารหลิงเจิ้น!”
  “เพียงแต่เขาเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดข้าต่อให้เขาชั่วช้าสักเพียงใด ข้าเองก็ไม่อาจลงมือสังหารเขาได้ แต่ตระกูลหลิงจะจัดการกับเขาเช่นใด ข้าเองก็จะไม่สนใจเช่นเดียวกัน!”
  หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงหย่งก็ถึงกับสะท้อนใจดวงตาดุดั่งพยัคฆ์ที่รื้นไปด้วยน้ำตาหันไปจ้องมองหลิงหย่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “พี่หลิงหย่งหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเจ้า ข้ารับปากจะไม่สังหารหลิงเจิ้น ข้าจะไว้ชีวิตเขา!”
  หลิงหย่งส่ายหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกพร้อมตอบหลิงหยุนกลับไปว่า“ที่ข้าพูดไปเช่นนั้นก็เพื่อที่จะบอกกับเจ้าว่า จากนี้ไปข้ากับหลิงเจิ้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว!”
  หลิงหยุนจ้องมองท่าทีที่ไร้เฉยชาของหลิงหย่งและเข้าใจได้ว่าหลิงหย่งสามารถทำใจในเรื่องนี้ได้แล้ว และได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วเช่นกัน!
  จากนั้นทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่..
  “พี่หลิงหย่งมันคงเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับเจ้ามากสินะ!”
  หลิงหย่งส่ายหน้า“เจ้าผิดแล้ว! คนที่ลำบากใจมากที่สุดคือท่านอาสามพ่อของเจ้าต่างหาก ท่านอาสามรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว แต่กลับนิ่งเงียบไม่ยอมแพร่งพรายออกมา มิหนำซ้ำในวันที่ตระกูลหลิงเข้าทำลายตระกูลเฉิน เขายังห้ามเฉินจิ้งเทียนไม่ให้พูดเรื่องนี้..”
  “เช่นนี้แล้วหากแม้แต่อาสามยังสามารถข้ามผ่านเรื่องที่หนักหนาสาหัสนี้ไปได้สำหรับข้าก็ได้ยากอะไร!”
  ขณะที่หลิงหยุนทำท่าจะเอ่ยอะไรออกมาอีกหลิงหย่งจึงรีบขัดขึ้นทันที “หลิงหยุน ข้าตัดสินใจไปแล้ว เจ้าเองก็ไม่ควรพูดเรื่องนี้อีก ให้มันจบแต่เพียงเท่านี้เถิดนะ!”
  “ได้!นับจากนี้ไปพวกเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก!”
  ในเมื่อไม่คุยเรื่องหลิงเจิ้นหลิงหยุนจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน “พี่หลิงหย่ง จากนี้ไปเจ้าคิดจะทำเช่นใดต่อไป เจ้าต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในหน่วยนภาหรือไม่?”
  แต่หลิงหย่งกลับส่ายหน้า“ตระกูลหลิงมีเจ้าอยู่ทั้งคน เหตุใดยังต้องเป็นสมาชิกหน่วยนภาอีกเล่า ตลอดครึ่งเดือนมานี้ข้าคุยเรื่องของเจ้ากับท่านอาสามหลายครั้ง และรู้เรื่องทั้งหมดของเจ้าแล้ว ข้ายินดีกับเจ้าด้วย!”
  “ข้าคงไม่เข้าร่วมหน่วยนภาแต่ต้องการจะอยู่ที่นี่กับท่านอาสาม ข้าจะช่วยเขาฝึกศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คน อย่างน้อยภายในครึ่งปีพวกเขาจะต้องเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนเป็นแน่..”
  หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหย่งหลิงหยุนก็คุกเข่าลงกันพื้นทันที “น้องชายคนนี้ขอบคุณพี่ชายยิ่งนัก!”
  หลิงหย่งรีบเอื้อมมือทั้งสองข้างไปพยุงหลิงหยุนลุกขึ้นทันที“นี่เจ้าทำอะไร! พวกเราล้วนเป็นพี่น้องกันไม่ใช่รึ?!”
  หลังจากลุกขึ้นแล้วหลิงหยุนจึงเอ่ยถามหลิงหย่งว่า“พี่หลิงหย่ง เจ้าเองก็ออกมาจากบ้านนานแล้ว เมื่อไหร่จะกลับไปเสียที พวกเราทุกคนจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนเช่นเคย..”   หากหลิงหยุนสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องหลิงหย่งได้ก่อนที่จะออกเดินทางเขาคงจะสามารถไปตะลุยยุทธภพได้อย่างไร้กังวลมากกว่านี้
  “ท่านปู่เองก็บ่นกับข้าหลายต่อหลายครั้งท่านปู่คิดถึงพี่มาก อยากให้พี่กลับไปบ้านของเราโดยเร็ว!”
  หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบไปว่า“กลางเดือนนี้..”
  หลิงหยุนตอบกลับทันที“ช้าเกินไป! ข้าต้องออกเดินทางในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว!”
  “สรุปคือไม่สะดวกเจ้าสินะ!ฮ่า.. ฮ่า..” หลิงหย่งบ่นอุบอิบ
  หลังจากสองพี่น้องปรับความเข้าใจกันแล้วจึงเดินกลับเข้าไปภายในโรงยิมพร้อมเสียงหัวเราะ ในที่สุดพี่ชายและน้องชายก็กลับมารักใคร่กันดังเดิม
  ทันทีที่หลิงหยุนกลับเข้าไปในโรงยิมเหล่าศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คน ต่างก็ตรงเข้ามาคุกเข่าคาราวะหลิงหยุนทันที
  “คาราวะท่านหัวหน้า!ศิษย์คาราวะท่านอาจารย์!”
  หลิงหยุนยังคงมีสถานะเป็นทั้งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวในขณะเดียวก็เป็นอาจารย์ของพวกเขาทั้ง 72 คน..
  หลิงหยุนก้มลงมองศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้งสิบสองคนพร้อมกับสั่งว่า“เอาล่ะลุกขึ้นได้! จากนี้ไปเรียกข้าว่าอาจารย์ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านหัวหน้าอีก!”
  “ศิษย์น้อมรับคำสั่งอาจารย์”
  ศิษย์ทั้ง72 คนร้องตะโกนตอบหลิงหยุนพร้อมกันเป็นเสียงเดียว..
  “ที่ข้าพาพวกเจ้าทั้ง72 คนมาปักกิ่ง ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้มาฝึกฝนวรยุทธที่นี่ หวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่ตำหนิข้าใช่หรือไม่”
  เชื่อว่าคงจะไม่ศิษย์สำนักหมอสวรรค์ผู้ใดจะกล้าตอบว่า‘ไม่’!
  หนึ่งในนั้นร้องตะโกนตอบเสียงดัง“ท่านอาจารย์ พวกเราอยู่ที่นี่กินอิ่ม นอนหลับ ฝึกหนัก แล้วก็มีความสุขมาก!”
  หลิงหยุนเหลือบมองไปทางต้นเสียงและพบว่าเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงกว่าหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตรนามว่าหลู่เหวินหลง เขาคือคนที่เคยเป็นลมเมื่อตอนคัดเลือก..
  “หลู่เหวินหลงก้าวออกมา!”
  “หลัวอวี้เฉิงเมิ่งเฉวียอี้ หม่าเชียนจวิน ฉวี่เซียงตง อู่เถิงเฟย พวกเจ้าทั้งหมดก้าวออกมาด้วย!”
  ทั้งหมดคือศิษย์ทั้งหกที่ได้เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7แล้ว..
  หลิงหยุนจ้องมองศิษย์ทั้งหกที่เวลานี้ดูแข็งแกร่งหนักแน่นราวกับพยัคฆ์ก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ
  “จากนี้ไปให้พวกเจ้าทั้ง72 คนแบ่งออกเป็นกลุ่มละ 6 คน ส่วนพวกเจ้าทั้งหกก็ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมของแต่ละกลุ่ม..”
  “พวกเจ้าทั้งหกที่เป็นหัวหน้ามีหน้าที่คอยดูแลคนในกลุ่มให้ขยัน และตั้งใจฝึกฝน เข้าใจหรือไม่”
  หลิงหยุนทำเช่นนี้เพื่อไม่ให้หลิงเสี่ยวกับหลิงหย่งต้องเหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไปจึงให้มีหัวหน้าทีมคอยดูแลลูกน้องของตนเองในแต่ละวัน อีกทั้งหลิงเสี่ยวกับหลิงหย่งก็ไม่สามารถอยู่กับพวกเขาทั้ง 72 คนตลอดทั้งวันทั้งคืนได้
  หลิงเสี่ยยิ้มออกมาอย่างพอใจก่อนหน้านี้หลิงเสี่ยวกับเหล่ากุ่ยก็เป็นผู้ฝึกเหล่านักรบตระกูลหลิง เขาย่อมมีวิธีบริหารจัดการการฝึกฝนที่มีประสิทธิผล เพียงแต่ยังไม่นำออกมาใช้เพราะเห็นว่าเพิ่งเริ่มต้น
  หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้หน้าหัวหน้าทีมทั้งหกคนพร้อมกำชับว่า“พวกเจ้าทั้งหกก็อย่างเพิ่งด่วนดีใจไป หากฝีมือของพวกเจ้าตกลง ข้าก็จะสลับสับเปลี่ยนให้ทั้ง 66 คนขึ้นมาแทนที่ได้เสมอ เข้าใจหรือไม่!”
  “น้อมรับคำสั่งอาจารย์”หัวหน้าทีมทั้งหกร้องตะโกนออกไปอย่างพร้อมเพรียง  จากนั้นหลิงหยุนจึงไปบอกกับหลิงเสี่ยวว่า“ท่านพ่อ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 อย่าได้มอบโอสถใดๆให้แก่พวกเขาเป็นอันขาด!”
  หลิงเสี่ยวเข้าใจดีจึงรีบตอบกลับไปว่า“หลิงหยุนข้าเข้าใจดี แต่เจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนี้ไปเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้เกิดแก่เหล่าบรรดาศิษย์หมอสวรรค์หลิงหยุนจึงเรียกกระบี่เหินเงาธนูออกมาแสดงพลังจิตในการควบคุมให้ดู เขาสั่งให้กระบี่ที่มีขนาดหนึ่งฟุตนี้ขยายยาวออกถึงสองเมตร และบังคับควบคุมให้พุ่งฉวัดเฉวียนไปมา ก่อนจะขึ้นไปยืนบนตัวกระบี่ และพาตนเองให้เหินไปกลางอากาศสูงขึ้นจากพื้นดินสองเมตร
  ศิษย์สำนักหมอสรรค์ทั้ง72 คนได้แต่ยืนตกตะลึง แม้แต่หลิงซวี่เองก็เช่นกัน นางกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ หลิงหยุนบังคับกระบี่ให้เข้าไปใกล้พร้อมบอกกับนางว่า  “หากเจ้าไม่ย่อท้อต่อการฝึกฝนที่หนักหน่วงสักวันเจ้าก็จะสามารถแข็งแกร่งเช่นเดียวกับข้า และเหาะได้เหมือนกับข้า!”
  คำพูดของหลิงหยุนนั้นไม่เพียงฝังแน่นลงไปในจิตใจของหลิงซวี่แต่ยังฝังแน่นลงไปในจิตใจของทุกคนที่อยู่ในโรงยิมด้วย ศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คนต่างมีจิตใจที่ฮึกเหิม แล้วทั้ง 72 คนก็ร้องตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
  “ท่านอาจารย์พวกเราไม่หวาดกลัวต่อความลำบาก!”
  หลิงหยุนพยักหน้าอย่างพอใจจากนั้นจึงประกาศกับเหล่าศิษย์ทั้ง 72 คนว่า “เอาล่ะ อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว พวกเจ้ามีใครอยากจะกลับไปเยี่ยมบ้านที่จิงฉูบ้างหรือไม่ หากใครต้องการก็ก้าวออกมาได้เลย ข้าจะจัดให้พวกเจ้าได้มีวันหยุด..”
  แต่หลังจากที่หลิงหยุนได้สร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่าศิษย์ของตนแล้วหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มจึงร้องบอกลูกน้องของตนว่า  “ฟังให้ดี!พวกเจ้าทั้งหกคนหากเลือกที่จะกลับไปเยี่ยมบ้าน กลับมาก็อย่าได้มาเข้ากลุ่มของข้าอีก!”
  “กลุ่มของข้า..ผู้ใดก้าวออกไป ข้าจะหักข้าทิ้งซะ!”
  “เอาล่ะ..หากไม่มีผู้ใดต้องการกลับไปเยี่ยมบ้าน ในคืนวันไหว้พระจันทร์ ข้าจะมาร่วมฉลองกับพวกเจ้าที่นี่!”
  คำพูดประโยคนี้สร้างความอบอุ่นใจให้แก่เหล่าศิษย์สำนักหมอสวรรค์ยิ่งนักแต่ไม่ทันไรหลิงหยุนก็ประกาศต่อว่า
  “แต่ในวันถัดไปข้าจะต้องออกเดินทางแล้ว!”