[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 28 ทางสามแยก

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ไม่รู้ว่าข่าวรั่วไหลออกไปได้อย่างไร เมื่ออวิ๋นเยี่ยมาถึงจุดออกเดินทางที่เกาะเอ้อหลัง ที่นั่นก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย คนที่พกอาวุธครบครันกว่าหนึ่งพันคน พวกเขาเตรียมออกไปล่าสัตว์หรือไปก่อกบฏกันแน่? ขณะที่นายทะเบียนเขตหลานเถียนทำการอนุมัติให้เหล่าลูกเศรษฐีเข้าภูเขากลับตกใจจนแทบจะฉี่รดกางเกง เหงื่อแตกและขอร้องให้ทุกคนทำตามกฎ ทางที่ดีควรจะต้องจัดลำดับเข้าภูเขา อย่าเข้าไปอย่างชุลมุนวุ่นวาย 

 

 

สถานะของหลี่เค่อสูงส่งที่สุด เขาได้รับเลือกจากทุกคนให้เป็นหัวหน้าการเดินทางเข้าภูเขาฉินหลิ่ง ใช้งานกำลังคนและทรัพยากรอย่างเหมาะสม เฉิงฉู่มั่วเป็นแนวหน้า หลี่หวยเหรินและจั่งซุนชงเป็นองครักษ์ซ้ายขวา ส่วนอวิ๋นเยี่ยเป็นหัวหน้าแม่ทัพของกองทัพหลัง จัดตำแหน่งกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีตำแหน่งเป็นขุนนางนายพัน พวกเขาสาบานร่วมกันว่าหากไม่จับกระต่ายตัวสุดท้ายในภูเขาฉินหลิ่งกลับมาพวกเขาไม่มีทางสลายกองทัพ จากนั้นก็เหลาอาวุธคมเล็บต่างๆ นานาให้พร้อมสรรพ ร้องตะโกนกู่ก้องแล้วเข้าไปในภูเขาฉินหลิ่ง 

 

 

“เด็กสมัยนี้ฉลาดขึ้นทุกวัน เจ้าว่าหรือไม่ สหายฝางเสวียน” ตู้หรูฮุ่ยมองดูรายงานของนายทะเบียนเขตหลานเถียนที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาก็หันหน้าถามสมุหนายกที่อยู่ข้างๆ 

 

 

“ฉลาดหน่อยก็ดี อี๋อ้ายลูกของข้าก็ไปกับเขาด้วย อยู่ให้คนคอยเป็นกังวลในฉางอันที่แสนวุ่นวายไม่สู้ออกไปล่าสัตว์ดีกว่า ภูเขาที่รกร้าง คนอื่นคงจะจับจุดอ่อนของเขาไม่ได้กระมัง แต่การล่าสัตว์ยังจะนับว่าผิดกฎของตระกูลใดอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“เจ้าพูดถูก ลูกของข้าก็ไป เขายังบอกว่าจะเอาหนังเสือกลับมาให้ข้า เมื่อก่อนเขาไม่ใช่แบบนี้ เขามักจะไปแต่หอนางโลม เป็นเรื่องที่ทำให้ข้ากังวลมาตลอด สำนักศึกษาถือว่าเป็นสถานที่ที่ดีในการสั่งสอนคน หากรุ่นหลังของเราชาญฉลาดมันก็คือบุญบารมีของพวกเรานั่นแหละ สหายฝางเสวียน พรุ่งนี้เป็นวันพักผ่อน เราก็ออกไปเที่ยวที่เขาอวี้ซันดีหรือไม่ ได้ข่าวว่าชาของอาจารย์จ้าวเหยียนหลิงชงได้พิถีพิถันอย่างมาก เราไปต้อนรับเขาสักหน่อยดีหรือไม่” 

 

 

“คำพูดของเจ้าช่างถูกใจข้า ยุ่งอยู่กับฎีกาทั้งวันช่างน่ารําคาญ ตอนนี้สำเร็จลุล่วงไปแล้วครึ่งหนึ่ง เจ้าและข้าก็ควรที่จะพักผ่อนได้แล้ว เช่นนั้นพรุ่งนี้เราออกไปเที่ยวด้วยกัน” พูดจบทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาก่อนจะตรวจฎีกาต่อ 

 

 

หลี่เฉิงเฉียนไม่มีที่ให้ไปแล้ว เขาซ่อนตัวนับเหรียญอยู่ในคลังเงิน คลังเงินในตอนนี้ได้กลายเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของต้าถังไปแล้ว ตอนที่หลี่เค่อจากไป เขาอธิบายบัญชีอย่างละเอียด ขอให้พี่ชายช่วยไปตรวจสอบคลังให้ที พฤติกรรมนี้ทำให้หลี่เฉิงเฉียนชอบใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เศร้าใจด้วยเช่นกัน นี่คือโอกาสที่น้องชายหามาให้เขาโดยเฉพาะ ให้เขาได้เข้าใจขั้นตอนการดำเนินงานของคลังเงินอย่างถี่ถ้วน ให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วคลังเงินมีเงินเท่าไหร่กันแน่ ตอนนี้ความสัมพันธ์พี่น้องของพวกเขาก็ห่างเหินกันไปแล้ว คงไม่มีการพูดตรงๆ อีกต่อไปแล้ว หรือว่านี่คือค่าตอบแทนของการเติบโตเช่นนั้นหรือ 

 

 

เมื่อวานเขาพึ่งลงโทษเสนาธิการที่ออกความคิดเห็นไปคนหนึ่ง บอกว่าเว่ยอ๋องเข้าไปในตำหนักอู่เต๋อ อยู่ห่างไปจากวังตะวันออกแค่ข้ามกำแพง ฝ่าบาทโปรดปรานเว่ยอ๋องเป็นอย่างมาก ต่อไปเขาอาจจะมีอำนาจไปถึงวังตะวันออกก็เป็นได้ จะต้องรีบสร้างกลยุทธ์ออกมารับมือ อย่างเช่นส่งสายลับไปรวบรวมหลักฐานที่ผิดกฎหมายของเว่ยอ๋อง จะได้เอาออกมาตอบโต้ในอนาคต 

 

 

เหตุใดหลี่ไท่เข้าไปในตำหนักอู่เต๋อ อวิ๋นเยี่ยได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว ที่นั่นได้กลายเป็นสถานที่ต้องห้าม หากไม่มีอะไรทำก็อยู่ให้ห่างจากที่นั่นเสีย หากเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะเป็นโศกนาฏกรรมที่ใหญ่กว่าตำหนักกันลู่เสียอีก สิ่งที่หลี่ไท่ดูแลอยู่ตอนนี้คือระเบิดยักษ์ และหากดูแลไม่ดีมันอาจจะระเบิดได้ ไม่มีอะไรทำก็อย่าไปหาฟังเรื่องราวที่นั่น 

 

 

พูดออกไปแบบนั้น แต่ว่าหลี่เฉิงเฉียนรู้อยู่แก่ใจ ที่นั่นคือสถานที่พัฒนาอาวุธลับของต้าถัง นิสัยของชิงเชวี่ยเหมาะสมที่สุดในการทำเรื่องแบบนี้ ดังนั้นการเข้าไปในตำหนักอู่เต๋อไม่ใช่เรื่องของการมีเกียรติ และก็ไม่ใช่การได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทด้วย แต่มันคือความรับผิดชอบที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งต่างหาก 

 

 

เสนาธิการที่ออกความคิดเห็นถูกเขาส่งตัวไปที่เขตโจวเซี่ยน และสั่งห้ามให้เขาออกความคิดเห็นอะไรอีกอย่างเคร่งครัด ไม่มีทางลดหย่อนโทษให้กับผู้กระทำความผิด ทันทีที่คำสั่งนี้ออกมา เสนาธิการที่ถูกลงโทษก็ถอนหายใจและพูดว่า “องค์ชาย ท่านจะต้องเสียใจกับคำสั่งวันนี้ของท่านแน่นอน” พูดจบก็ลากลาตัวหนึ่งเดินออกไปอย่างโดดเดี่ยว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหดหู่ที่ยากจะแสดงออกมา 

 

 

เมื่อเมืองฉางอันขาดเหล่าลูกเศรษฐีไป แต่กลับเต็มไปด้วยนักบวชลัทธิเต๋าและพระภิกษุ นักบวชลัทธิเต๋าที่มีความกล้าหาญบางคนยังไปเยี่ยมชมหอเอี้ยนไหลโหลว ส่วนพระภิกษุที่ถือไม้อักขระและถือบาตรก็ช่างน่ารำคาญไม่ต่างกัน อยู่ในวัดไม่ค่อยได้แล้ว พระภิกษุเหล่านั้นก็พากันไปอาศัยอยู่ที่วัดของเหล่าตระกูลเศรษฐี วัดของตระกูลอวิ๋นก็มีพระภิกษุเฒ่าตั้งสี่สิบห้าสิบรูป หนึ่งในนั้นคือพ่อของซือซือ เขาก็อยู่ที่วัดของตระกูลอวิ๋นเช่นกัน พ่อลูกไม่ได้เจอกันง่ายๆ แต่เจอกันแล้วกลับรู้สึกไม่ค่อยสนิมสนมกันนัก 

 

 

ไม่ว่าอย่างไรเจวี๋ยหย่วนก็คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงร่ำรวยที่อยู่ตรงหน้าเขาคือซือซือลูกสาวของตัวเอง เห็นนางสวมรองเท้าหนังกวาง สวมเสื้อแขนสั้นสีฟ้าอ่อน และสวมกระโปรงสีเดียวกันมันช่างเหมาะสมเหลือเกิน สร้อยข้อมือที่ทำจากทองบนข้อมือ อัญมณีบนนั้นส่องแสงแวววาว ผมเผ้าก็ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนแต่ก่อนแล้ว เดินไปๆ มาๆ ช่างมีท่าทีของกุลสตรี สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังถือจีวรสีเทาและรองเท้าผ้าหนึ่งคู่มาด้วย ลูกสาวอุ้มมีดยาวอยู่ในอ้อมแขน นี่คือลูกของตัวเองที่เคยลำบากมาตั้งแต่เด็กจริงๆ หรือ 

 

 

เด็กผู้หญิงที่หน้าตางดงามตะโกนว่าพ่อ จึงทำให้เจวี๋ยหย่วนตื่นขึ้นมาจากความฝัน เด็กผู้หญิงกอดพ่อที่เป็นพระภิกษุของตัวเองแล้วร้องไห้ ขณะที่ไต้ซือเฒ่าถานอิ้นกำลังป่าวประกาศ จากนั้นก็เข้าไปในวัดของตระกูลอวิ๋น ไปพูดคุยเรื่องพุทธศาสนากับฮูหยินเฒ่า การออกบวชต้องละคลายกิเลสตัณหา ตอนนี้เจวี๋ยหย่วนยังคงมีกรรมก็ไม่อาจทราบได้เช่นกันว่าจะจบสิ้นเมื่อใด 

 

 

ซือซือปาดน้ำตาและเอาจีวรที่นางเย็บเองกับมือยื่นให้พ่อของนางอย่างมีความสุข จากนั้นก็นั่งยองๆ สวมรองเท้าผ้าที่นางทำเองกับมือให้พ่อของนาง เห็นว่าพ่อแต่งตัวเสร็จแล้วนางก็เอามีดยาวเล่มนั้นให้พ่อ 

 

 

“พ่อ นี่คือมีดที่ลูกเอาส่วนแบ่งของตัวเองไปซื้อมาให้ท่าน อาจารย์บอกว่านี่คือมีดชั้นดี เดิมทีอยากจะขอให้กลุ่มพ่อค้าของตระกูลอวิ๋นส่งไปให้ท่าน แต่ลูกไม่ยอม กลัวว่ามันจะหาย ครั้งนี้ท่านกลับมาแล้ว ท่านก็เอามีดเล่มนี้กลับไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ ท่านเป็นปรมาจารย์การต่อสู้ ควรจะมีอาวุธที่ดีติดตัว” 

 

 

“ซือซือ เจ้าอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่” เจวี๋ยหย่วนวางมีดยาวลงบนโต๊ะ เขาเป็นห่วงสถานการณ์ช่วงนี้ของลูกสาวมากกว่า 

 

 

“ท่านรู้อยู่แล้วว่าอาจารย์รักและเอ็นดูลูกมาตลอด ฮูหยินก็ดีกับลูก ท่านย่าก็เช่นกัน ต้ายา เสี่ยวยา เสี่ยวอู่ แล้วยังมีเสี่ยวเจี๋ยเพิ่มมาอีกคน ลูกอยู่ที่นี่สุขสบายดี ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงไป” 

 

 

เจวี๋ยหย่วนดื่มชาและฟังลูกสาวเล่าเรื่องตลกของตระกูลอวิ๋นให้เขาฟัง หมูอ้วนของเสี่ยวยาอ้วนจนเดินไม่ได้แล้ว วั่งไฉไม่ระวังไปกินเครื่องเทศฮวาเจียวเข้า อ้วกทั้งวัน เสี่ยวเจี๋ยบังเอิญไปเห็นเสี่ยวอู่อาบน้ำ ถูกไล่ฆ่าตั้งสามวัน เสี่ยวยาไม่ตั้งใจเรียนจึงถูกอาจารย์ตีเข้าที่ฝ่ามือ สรุปแล้วก็ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ 

 

 

แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ทำให้ความกังวลของเจวี๋ยหย่วนค่อยๆ หายไป เขาฟังออกว่าอวิ๋นเยี่ยรักและเอ็นดูลูกสาวของเขา เลี้ยงดูราวกับเป็นลูกของตัวเอง ทั้งกิริยาท่าทางลูกคุณหนูของซือซือและสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังก็ดูมีกฎระเบียบ นี่คือท่าทีของคนในตระกูลใหญ่ตระกูลโต 

 

 

ดูแล้วซือซือไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่การที่พุทธศาสนาอยากจะยืมประตูของตระกูลอวิ๋นนำความปรารถนาของตัวเองส่งไปให้สรวงสวรรค์ฟังในครั้งนี้ ดูเหมือนว่ามันคงจะเปล่าประโยชน์เสียแล้ว อวิ๋นเยี่ยไปตอนไหนไม่ไป แต่กลับออกจากฉางอันไปล่าสัตว์ที่ภูเขาฉินหลิ่งในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ เขากำลังหลบหน้าตัวเอง เขาไม่อยากมีส่วนร่วมในการต่อสู้ 

 

 

ซือซือตกอยู่ในความฝันอันแสนมีความสุขของตัวเอง นางอยากจะไปขอท่านย่าให้พ่อของนางอยู่ที่วัดของตระกูลอวิ๋นตลอดไป แต่ช่างน่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่าครั้งนี้พ่อของนางตัดสินใจมาสู้ที่นี่เพื่อโอกาสสุดท้ายของพุทธศาสนา 

 

 

หากครั้งนี้เขาไม่ได้รับโอกาสสุดท้าย มันจะต้องเกิดการนองเลือดขึ้นแน่นอน ฮ่องเต้นั่งมองดูสรรพสิ่งบนโลกอยู่บนบัลลังก์ ลัทธิเต๋าแข็งแกร่งหรือพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมันก็ไม่มีประโยชน์ต่อเขา ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ช่วยทั้งสองฝั่ง ราวกับหมาป่าหิวโหยที่อยู่ในคอกแกะ คอยเฝ้าดูฝูงแกะสองฝูงต่อสู้กัน คนที่อ่อนแอจะต้องเข้าไปในท้องของเขา กลายเป็นอาหารที่แสนอร่อย 

 

 

อวิ๋นเยี่ยคำนวณผิดไปเล็กน้อย ฉิวหรันเค่อไม่ได้นอนหลับไปสิบวัน เขานอนหลับไปเพียงแค่แปดวันก็ได้สติตื่นขึ้นมาแล้ว เห็นว่าแขนขาขยับได้เป็นปกติ เขาตะโกนเสียงดังลงมาจากเตียง เตรียมที่จะไปต่อสู้กับไอ้สารเลว แต่ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ทนต่อความหิวโหยแปดวันไม่ไหว ทุกวันกินได้แค่ข้าวต้ม แขนขาของเขาอ่อนแรงไปหมด เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นและมองหาไอ้สารเลว 

 

 

ประตูเปิดออก ผู้หญิงสวมชุดสีแดงเดินเข้ามา รู้สึกคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะเรียกออกมา “ซานเม่ย เจ้าถูกฆ่าแล้วไม่ใช่หรือ ไอ้สารเลวคนนั้นอยู่ที่ไหน ข้าจะฉีกมันให้เป็นชิ้นๆ” 

 

 

“พี่ใหญ่ มีสารเลวที่ไหนกัน ยอดฝีมือที่ต่อสู้กับเจ้าวันนั้นคือคนที่ท่านพี่เชิญเขามาช่วยเจ้าฟื้นความทรงจำ เจ้าจำข้าได้แล้ว ดีจังเลย ท่านพี่ไปราชสำนักแล้ว หากเขารู้ว่าท่านหายดีแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะดีใจมากแค่ไหน” 

 

 

“ไม่มีไอ้สารเลวหรือ เจ้าต้องถูกไอ้สารเลวหลอกแล้วแน่ๆ เขามาฆ่าคน กินเนื้อคนอยู่ที่นี่ เขาต้องเป็นไอ้สารเลวอันดับหนึ่งของโลกอย่างแน่นอน ให้ข้าพักผ่อนสักหน่อยแล้วข้าจะไปคิดบัญชีกับเขา แขนของเด็กผู้หญิงคนนั้นถูกเขาตัดขาดทั้งเป็น ข้าเห็นกับตา จะไม่ใช่ได้เช่นไร” 

 

 

พูดจบก็หยิบถ้วยขาวต้มจากมือของธิดาแส้แดงมากิน เงยหน้าเทเข้าปากไปทันที จากนั้นก็พูดกับธิดาแส้แดงว่า “เอาแกะมาให้ข้าตัวหนึ่ง ท้องข้าหิวมาก” 

 

 

หลังจากพูดจบเขาก็ก้าวออกจากห้องไป ทันใดนั้นเขาก็ตกใจ ที่ลานมีเด็กสองสามคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ หนึ่งในนั้นคือเด็กผู้หญิงที่สวมชุดสีแดง นางคือคนที่แขนขาดวันนั้นไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังถือสาลี่ลูกใหญ่มาแทะได้ 

 

 

“นี่มันอะไรกัน” คนรับใช้ที่ถูกฟันคอขาดคนสุดท้ายกำลังยกถังน้ำเดินผ่านมา เจอกับฉิวหรันเค่อยังโค้งคำนับ จากนั้นก็ยกถังน้ำเดินไปลานข้างหลังต่อ 

 

 

ยื่นแขนสองข้างออกมา จากนั้นก็จับไปที่คอของตัวเอง ผิวตรงนั้นยังคงเป็นปกติ ดูไม่เหมือนพึ่งได้รับบาดเจ็บมา แต่ทำไมบาดแผลที่ขาของเขาถึงได้ดูเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน 

 

 

“เสี่ยวเม่ย ข้านอนหลับไปกี่วัน” 

 

 

“ท่านนอนหลับไปสิบสี่ชั่วโมงเต็ม หมอบอกว่าร่างกายและจิตใจของท่านเหน็ดเหนื่อยเกินไป ต้องนอนหลับไปสักสามวัน นี่พึ่งจะผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งท่านก็ตื่นเสียแล้ว ไม่ต้องคิดมาก ท่านตะโกนว่าไอ้สารเลวในความฝันไม่หยุด แต่ขอแค่ท่านตื่นขึ้นมาข้าก็สบายใจแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ ข้าไปเอาอะไรมาให้ท่านกินดีกว่า หมอไม่ให้ท่านกินเนื้อ บอกว่ามันไม่ดีต่อกระเพาะ” 

 

 

ธิดาแส้แดงปิดปากหัวเราะเบาๆ เรียกสาวใช้ไปเตรียมอาหารมาให้เขา จากนั้นนางก็พยุงฉิวหรันเค่อไปนั่งที่ห้องโถง อยู่คุยเป็นเพื่อนกับฉิวหรันเค่อ กลัวว่าเขาจะลืมอดีตไปอีกครั้ง