[ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน] ตอนที่ 29 เข้าไปในภูเขาสมบัติแต่กลับออกมามือเปล่า

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ฉิวหรันเค่อครุ่นคิดอยู่นาน ว่าหลังจากที่ตัวเองออกมาจากดินแดนรกร้างแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาครุ่นคิดตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกดินก็ยังคิดไม่ออก ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ เขาคือผู้กล้าคนหนึ่ง ไม่กลัวเลือดตกยางออก แต่ตอนนี้ความคิดที่ละเอียดอ่อนพวกนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด ไม่ว่าจะคิดเช่นไร เขาก็จำไม่ได้ว่าเขาไปที่ดินแดนรกร้างทำไม 

 

 

คิดไม่ถึงว่าจากจุดเริ่มต้นของความคิด เขาก็ถูกอวิ๋นเยี่ยพาเข้าไปในบ่อโคลน อย่างแรกแน่ใจแล้วว่าตัวเองเคยไปที่ดินแดนรกร้างจริงๆ ส่วนความคิดอื่นๆ ก็เป็นแค่ความคิดที่ทำให้ความคิดผิดๆ นี้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เรื่องที่ไม่มีอยู่จริง เขาจะคิดออกมาได้เช่นไร 

 

 

วิธีจัดการเรื่องราวของผู้กล้านั้นช่างเรียบง่าย คิดไม่ออกก็ไม่คิด ขอแค่ข้ามีมีดเหล็กอยู่ในมือ ถึงตอนนั้นไล่ฆ่าเขาเอาก็ได้ 

 

 

ฉิวหรันเค่อคิดแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงเอาแต่กิน เติมพลังให้ตัวเอง ขอแค่ท้องอิ่มมีแรง แผนการกลยุทธ์อะไรที่อยู่ต่อหน้าพลังที่อันน่าเกรงขามมันก็เป็นแค่เรื่องตลก หลี่หวยเหรินนะหลี่หวยเหริน ไม่ว่าเจ้ามีเจตนาดีหรือร้าย แต่การที่เจ้าโหดเ**้ยมกับข้า ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องเอาคืน 

 

 

กลิ่นอายความโกรธแค้นที่รุนแรง ทันใดนั้นมันก็มาถึงภูเขาฉินหลิ่งทันที หลี่หวยเหรินที่กำลังแข่งยืนฉี่อยู่บนยอดจู่ๆ เขาก็ตัวสั่น ชัยชนะที่อยู่ในมือของเขาก็หายไปทันที 

 

 

ผู้คนมักว่ากันว่าเอาไหเหล้ามาวางไว้ท่ามกลางดอกไม้ ดื่มคนเดียวไม่มีสหายไม่มีญาติพี่น้อง ดื่มเหล้าท่ามกลางดอกไม้ แล้วในเมื่อมาถึงป่าสนจะไม่ให้ฉี่ได้เช่นไร โดยเฉพาะการยืนมองออกไปจากบนยอดเขา เมืองฉางอันที่คดเคี้ยวราวกับมังกร แม่น้ำเว่ยสุ่ยอันสดใสไหลผ่านที่ราบ ในทุ่งหญ้าที่โปร่งโล่ง หลงเหลือเพียงข้าวฟ่างสีแดงเป็นหย่อมๆ คนที่ยืนอยู่ที่สูงก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองใหญ่โต เห็นอะไรก็เล็กไปหมด ชายหนุ่มเจ็ดสิบแปดสิบคนรู้สึกว่าแค่ยืนฉี่ก็สามารถจะชะล้างที่ราบกวงจงได้ 

 

 

สุดท้ายแล้วเฉิงฉู่มั่วก็เป็นผู้ชนะ เขาได้ฉายาว่าเป็นเหนี่ยวอ๋อง ได้รับจี้หยกเจ็ดสิบแปดสิบจี้มาห้อยไว้ที่เอว เขาตะโกนใส่ภูเขาที่กว้างใหญ่ ทำให้เกิดเสียงสะท้อนกลับมา ทันใดนั้นเขาก็ดูสูงส่งขึ้นมาทันที 

 

 

“หวยเหริน เจ้าออกเดินทางจำเป็นต้องพาทหารแปดสิบนายมาด้วยเลยหรือ!” เฉิงฉู่มั่วถามหลี่หวยเหรินด้วยความแปลกใจ ทุกคนพาทหารองครักษ์มาด้วยสักสิบกว่านายก็โอ่อ่ามากแล้ว แต่หลี่หวยเหรินกลับพามาด้วยแปดสิบนาย ตระกูลของเขาก็มีทหารทั้งหมดไม่ถึงสองร้อยนายด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำแบบนี้ไปทำไม 

 

 

“เดิมทีข้าจะไม่พาทหารมาด้วย พาคนรับใช้มาด้วยแค่สองคนข้ายังรู้สึกรำคาญ แต่ตั้งแต่ที่เราทรยศใครบางคนที่หอนางโลม ข้าก็มักจะรู้สึกว่าทหารที่บ้านของข้าไม่ค่อยเพียงพอ ข้ามักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะมีหายนะ พาทหารมาด้วยเยอะๆ ก็เพื่อที่จะได้กันไว้ดีกว่าแก้” 

 

 

เฉิงฉู่มั่วพยักหน้าเบาๆ และพูดกับหลี่หวยเหรินว่า “ข้าได้ยินมาว่าเดิมทีหลี่จิ้งเลิกหาทางแก้แค้นแล้ว แต่ต่อมาถูกคนทำร้าย ถูกเป่าหู จากนั้นพวกเราก็จะซวย ปัญหาของข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่คนแรกที่ทรยศเขาคนนั้นก็คือเจ้า เจ้าต้องระวังให้มากๆ รู้จักเขามาตั้งหลายปี เป็นสหายกันมาตั้งหลายปี เขาไม่เคยยอมใคร เจ้าระวังตัวไว้บ้างก็ดี ฉิวหรันเค่อแข็งแกร่งขนาดนั้น พวกเราสองสามคนสู้เขาไม่ได้แน่นอน” 

 

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าสองคนนี้กำลังพูดให้ตัวเองฟัง บางทีพวกเขาอาจจะมีแผนการอยู่แล้ว แต่อวิ๋นเยี่ยก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ตอนที่ใส่ร้ายผู้อื่นมีความสุข ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องลิ้มรสชาติของการถูกใส่ร้ายบ้างแล้ว เมื่อการใส่ร้ายกลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง บางทีต่อไปพวกเขาอาจจะทำเรื่องอื่นๆ ตามกฎระเบียบ จะให้พวกเขามีนิสัยแบบนี้ไม่ได้ ต้องกำจัดให้ถึงรากถึงโคน 

 

 

ถึงตอนนี้ฉิวหรันเค่อคงจะตื่นขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่ เขาคงจะรู้ว่าการที่ทรมานเขาคือการรักษาอาการป่วยให้เขา แต่ผู้กล้าที่ดื้อรั้นอย่างเขา เมื่อแสดงความอ่อนแอของตัวเองต่อหน้าผู้อื่นไปแล้ว มันคือความอัปยศอดสูอย่างมาก หากเป็นเฉาอาหม่าน เขาจะต้องฆ่าคนที่ช่วยรักษาเขาให้ตายแน่นอน ฉิวหรันเค่อไม่ได้โหดเ**้ยมขนาดนั้น แต่ถูกต่อยสักหมัดคงหนีไม่พ้น แล้วจะให้ยอมถูกต่อยงั้นหรือ เพื่ออะไรกัน ให้หลี่หวยเหรินไปถูกต่อยย่อมดีกว่าอยู่แล้ว 

 

 

ภูเขาฉินหลิ่งในฤดูใบไม้ร่วงเต็มไปด้วยบรรยากาศของความสนุกสนาน มีผลไม้ป่ามากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะต้นซันจาที่ดึงดูดความพอใจของอวิ๋นเยี่ย ซินเย่วชอบกินขนมปิงถังหูลู่เป็นที่สุด ปีก่อนทำให้นางกินนิดหน่อย กินจนฟันหมดแรงเคี้ยวก็แล้วแต่ไม่ยอมแบ่งให้น่ารื่อมู่กิน 

 

 

เก็บซันจาที่ตกบนพื้นใส่ตะกร้า เลือกอันที่ใหญ่ที่สุดเอากลับไปด้วย ทำให้นางกินอีกสักหน่อย ถั่วซงจื่อก็เป็นส่วนสำคัญ บนภูเขามีถั่วชนิดนี้มากมายแปลกๆ อย่างไรชอบกล หลิวจิ้นเป่าพึมพำแล้วเก็บถั่วซงจื่อบ้าง นี่คืองานที่พวกผู้หญิงควรทำ แท้จริงแล้วลูกผู้ชายอย่างเขาควรออกไปล่าสัตว์กับคนอื่นต่างหาก 

 

 

วันนี้พึ่งจะรู้ว่าลานล่าสัตว์มีตั้งมากมาย จั่งซุนชงเลือกหุบเขาที่มีขนาดพอเหมาะทำเป็นที่ซุ่มยิง ส่วนคนอื่นๆ ก็ถือฆ้องและกลองพากันออกไปล่าสัตว์ 

 

 

ผ่านไปสักพัก เสียงเป๊งเป๊งก็ดังขึ้นมา นกน้อยในป่าบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มีไก่ฟ้าหลากหลายสีสันสองสามตัว พวกมันก็บินออกไปพร้อมกัน 

 

 

อวิ๋นเยี่ยลุกยืนขึ้นมา เห็นว่าไก่ฟ้าที่กำลังบินขึ้นมานั้นปีกของมันยังไม่ทันได้ขยับเลยสักนิด ทันใดนั้นเขาก็เห็นลูกธนูอันแหลมคมพุ่งทะยานออกมา แทงเข้าไปทะลุหัวของไก่ฟ้า ไก่ฟ้าก็ตกลงมาราวกับก้อนหิน 

 

 

ดูเหมือนเหล่าลูกเศรษฐีจะไม่รู้จักอะไรเลยนอกการใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่ที่จริงแล้วคนที่เกิดมาจากตระกูลใหญ่ตระกูลโต มีกี่คนกันที่ไร้ความสามารถ 

 

 

ลูกธนูที่ยิงออกไป อวิ๋นเยี่ยแม้แต่ยืนยังยืนไม่ติด ไฉหลิ่งอู่ยิงธนูสามลูกราวกับสายฟ้า ลูกธนูทุกลูกพุ่งเข้าไปที่ดวงตาของสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้น ว่ากันว่ามีแค่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะได้หนังสัตว์ชั้นดีมาครอบครอง 

 

 

กวาง กวางสายพันธุ์ตะวันออก กวางไซบีเรีย และจิ้งจอก แม้แต่หมีก็ยังมี ชะตากรรมเดียวที่รอคอยอยู่ข้างหน้าพวกมันคือความตาย ลูกธนูของจริงแบบมาตรฐาน หากยิงเข้าไปที่ตัวของสัตว์มันช่างน่าขำ ต้องยิงเข้าไปที่ตาถึงจะถือว่าเป็นลูกผู้ชาย 

 

 

เดิมทีไม่เข้าใจว่าทำไมอวี้ฉือต้องสวมชุดเกราะที่ส่องแสงแวววาว แต่ตอนนี้รู้แล้ว เขาตั้งใจเอามาเพราะต้องการจะต่อสู้กับหมีโดยเฉพาะ เขาห้ามให้ทุกคนโจมตีหมีดำตัวนั้นเด็ดขาด นี่คือของขวัญที่เขาจะเอาไปให้อาจารย์หลี่กังก่อนที่เขาจะเดินทางออกไปจากฉางอัน อาจารย์อายุมากแล้ว ร่างกายทนต่อความหนาวเหน็บได้ยาก ต้องการเสื้อคลุมหนังหมีสักตัว และหมีตัวนี้ก็ดีมาก ขนทั้งตัวเป็นสีดำเงางาม เหมาะสำหรับเอาไปทำเป็นเสื้อคลุมมากที่สุด 

 

 

เขาถูกหมีใช้อุ้งมือตบเข้าให้ เล็บข่วนบนชุดเกราะจนทำให้เกิดเสียง อวี้ฉือใช้หัวกระแทกเข้าไปใต้คางของหมี หมัดที่มีสนับเหล็กต่อยเข้าไปที่เอวหมี คนหนึ่งคนกับหมีหนึ่งตัวกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น ได้ยินเสียงคำรามของอวี้ฉือ เขาต่อยเข้าไปบนหลังหมี ต่อยมันลงไปกับพื้น ตัวเองขึ้นไปขี่แล้วต่อยหัวหมีรัวๆ ราวกับเม็ดฝน… 

 

 

อวิ๋นเยี่ยคิดมาตลอดว่าหัวของคนเราสำคัญที่สุด แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตอนนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงประโยคที่คนคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้ หากอยากให้คนคนหนึ่งฉลาด ต้องทำให้เขามีร่างกายที่แข็งแกร่ง ภาพของคนที่กำลังต่อสู้กับหมี อย่างไรเสียก็คงต้องกล่าวว่าถึงแม้ภาพนั้นจะเต็มไปด้วยเลือด แม้ว่ามันจะป่าเถื่อน แต่การต่อสู้แบบนี้มันคือความงดงามอย่างหนึ่งในสมัยดึกดําบรรพ์ 

 

 

“ลานสังหารไม่เคยมีภาพที่สวยงาม” หลี่เค่อถือขอนไม้ไว้ในมือ หยอกล้อกระรอกที่อยู่บนไหล่ของตัวเองไม่หยุด เมื่อคืนตอนที่เขานอนหลับอยู่ มันมุดเข้าไปในรองเท้าของหลี่เค่อ ทำเอาหลี่เค่อสวมรองเท้าตอนเช้าตกใจแทบตาย สุดท้ายทหารที่กล้าหาญก็เขย่าเอากระรอกออกมาให้เขา ขาของมันได้รับบาดเจ็บ สุดท้ายมันจึงอยู่กับหลี่เค่อไม่ไปไหน หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหลี่เค่อป้อนพุทราแดงให้มันกินก็เป็นได้ 

 

 

“เจ้าไม่ชอบการฆ่าฟันหรือ” อวิ๋นเยี่ยถามหลี่เค่อ คนของราชวงศ์ที่ไม่ชอบการฆ่าฟันมีค่อนข้างน้อย อวิ๋นเยี่ยเคยเรียนหนังสือกับพวกเขา เขารู้ว่าอาจารย์ของเขาสอนอะไรให้แก่พวกเขา การฆ่าฟันคืออาวุธสุดท้ายที่อาจารย์สอนพวกเขา 

 

 

“ข้าชอบการเป็นโจร แต่ข้าเกลียดการฆ่าฟัน ทุกคนล้วนแต่มีค่าในตัวเอง คนคือแหล่งที่มาของความร่ำรวยบนโลกใบนี้ ไม่มีคนก็ไม่มีความร่ำรวย ไม่มีคน ความร่ำรวยก็ไร้ประโยชน์ เยี่ยจึนะเยี่ยจึ เจ้าลองคิดดูสิว่า หากบนโลกใบนี้เหลือเพียงข้ากับเจ้า ถึงแม้ว่าข้าจะมีเงินทองมากมายนับไม่ถ้วนแล้วเช่นไร มีค่าหรือไม่ 

 

 

เอาเงินทองของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง นี่คือความสุขอย่างหนึ่ง ส่วนคนก็ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปปล้นเขาแค่ครั้งเดียว เช่นเดียวกับพืชผล เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเก็บเกี่ยวมันแค่ครั้งเดียว ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าการทำกิจการบางครั้งมันก็อยู่ร่วมกับหลักการของสรรค์และโลก ข้าจะเอาแนวคิดนี้ไปใช้กับกิจการของข้า มันจะต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน” 

 

 

“อันที่จริง หากเจ้าพาทหารของตระกูลหลี่ออกไปปล้นด้วยมันอาจจะเร็วขึ้นนะ” อวิ๋นเยี่ยเบิกตามองหลี่เค่อด้วยความโกรธเคือง 

 

 

เขาไม่ได้ดูถูกพ่อค้า แต่ในกลุ่มพ่อค้าที่มีผู้มีพรสรรค์อย่างหลี่เค่อทำให้คนดูถูก หลี่เค่อเกาแก้มปูดของกระรอก ยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าดูสิ แค่เจ้าเริ่มอิจฉาเจ้าก็จะพูดคำหยาบ ทำไมกันล่ะ ลูกศิษย์แซงหน้าอาจารย์เจ้าเลยไม่พอใจ? เจ้าเคยพูดไว้ไม่ใช่หรือ การเรียนรู้ต้องมีความคิดสร้างสรรค์และรู้จักเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดเอง ปากไม่ตรงกับใจ การกระทำไม่สอดคล้องกับคำพูดเอาเสียเลย” 

 

 

“เจ้าเรียนรู้อะไร ก็แค่ความรู้เล็กๆ น้อยๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือ ‘ทฤษฎีต้นทุน’ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือ ‘เศรษฐศาสตร์การเมือง’ เจ้ารู้จัก ‘ทฤษฎีการเงิน’ หรือไม่ เจ้ารู้จัก ‘จุลภาคของเศรษฐกิจขนาดเล็กในสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่’ หรือไม่ คนที่มีความรู้ชอบถ่อมตนแต่คนที่ไม่มีความรู้กลับชอบโอ้อวด ไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเลยแม้แต่น้อย คนอย่างเจ้าไม่น่าคบหาด้วย” 

 

 

ไอ้สารเลวของตระกูลหลี่ล้วนแต่มีปัญหา สำหรับเรื่องที่ตัวเองไม่รู้พวกเขาจะถามถึงโคตรเหง้าทันที สำหรับเรื่องที่รู้อยู่แล้ว มักจะโยนอาจารย์ออกไปจากกำแพง นิสัยนี้เหมือนกับชาวแคว้นวอไม่มีผิด หรือว่าแม้แต่พฤติกรรมแบบนี้ทูตของต้าถังก็เลียนแบบ? 

 

 

หลี่เค่อก้มตัวลงโค้งคำนับทันที ตอนที่เขากำมือนิ้วหัวแม่มือทั้งสองของเขาแทบจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า “หลี่เค่อผิดไปแล้ว ท่านอาจารย์โปรดให้คำแนะนำ” 

 

 

“คำพูดเมื่อครูข้าพูดให้ตัวเองฟัง ข้ารู้จักแค่ชื่อหนังสือแต่ไม่รู้เนื้อหาข้างใน ตอนนั้นอาจารย์บอกให้ข้าตั้งใจเรียน บอกว่ามันเป็นความรู้สำคัญในการบริหารประเทศและราษฎร” 

 

 

“แล้วสุดท้ายมันเป็นเช่นไร” 

 

 

“ตอนที่อาจารย์สอนเรื่อง ‘ทฤษฎีต้นทุน’ ข้าแอบอ่านนิยาย ตอนที่อาจารย์สอนเรื่อง ‘เศรษฐศาสตร์การเมือง’ ข้าแอบมองดูผู้หญิงที่เดินไปผ่านทางหน้าต่าง ส่วนเรื่องจุลภาคอะไรนั่น ข้าได้ยินมันในความฝัน ดังนั้น เจ้าถามไปก็ไร้ประโยชน์” 

 

 

“เป็นเช่นนี้ได้เช่นไร เจ้าทิ้งความรู้ที่จะเอามาสอนให้ข้าไปเช่นนี้ได้เช่นไร พระเจ้า เจ้าต้องชดใช้ ‘ทฤษฎีต้นทุน’ ให้ข้า ชดใช้ ‘เศรษฐศาสตร์การเมือง’ ให้ข้า ชดใช้ ‘จุลภาค’ ให้ข้า 

 

 

บนโลกใบนี้มีใครเหมือนเจ้าหรือไม่ เข้าไปในภูเขาสมบัติแต่กลับออกมามือเปล่า เจ้ายังมีหน้ามาเผชิญหน้ากับข้าได้เช่นไร พระเจ้า! พระเจ้าช่วย เจ้าให้ฟ้าผ่าหรือข้าฆ่าเสียเถิด” หลี่เค่อเสียใจราวกับพ่อแม่ตาย เขาเหยียดแขนสองข้างออกอธิษฐานต่อพระเจ้า ต้องการให้พระเจ้ามายุติความเจ็บปวดของเขา