องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 899 ผู้ใดมา

ช่างนี้หวาชิงรู้สึกทรมานอย่างยิ่งยวด นอนพลิกตัวไปมาในค่ายทหาร เนื่องจากไม่ได้พักผ่อนดีๆ จึงทำให้บาดแผลอักเสบ

ทหารเสนารักษ์มายังค่ายแล้วเห็นบาดแผลบริเวณหน้าอกของหวาชิงก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ดูไม่ได้เอาซะเลย

หมอเทวดากำลังขะมักเขม้นในการทำสูตรยา เมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็รีบตรงไปยังกระโจมของหวาชิงทันที เขาไปถึงก็กล่าวกับทหารเสนารักษ์ว่า “ออกไปเถอะ ข้าจะตรวจอาการเอง”

ทหารเสนารักษ์ได้ทีก็รีบวิ่งอย่างเร็วไว เขากำลังกลุ้มอกกลุ้มใจว่าควรทำเช่นไรดี ยามนี้มีผู้ช่วยคลี่คลายปัญหาแล้ว

เมื่อทหารเสนารักษ์ออกไป หมอเทวดามองหวาชิงด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

ดวงตาหวาชิงประหนึ่งดาบพิฆาตจ้องเขม็งหมอเทวดา สองมือยังไม่วายกำไว้แนบแน่น

หมอเทวดาเดินไปเบื้องหน้าหวาชิง ลังเลชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางเลือก”

“ต่ำทราม” หวาชิงตะเบ็งเสียงดุดัน

หมอเทวดากล่าว “หากไม่เอาแมลงออกมา อวัยวะภายในร่างกายเจ้าก็จะไม่เหลือ”

หวาชิงคิดใคร่ครวญสักพักพลันรู้สึกว่าเป็นการวู่วามในชั่วขณะ นางเห็นสภาพการตายที่อเนจอนาถของลูกน้องด้วยตาตัวเองแล้ว

“แต่ท่านก็คุยเรื่องหมั้นกับท่านพ่อข้าไม่ได้ อายุท่านปูนนี้แล้ว เป็นไปได้หรือที่จะสู่ขอข้าสำเร็จ?” หวาชิงเป็นคนปากไวมือไว น้ำเสียงดูแคลนสักเต็มประดา

หมอเทวดางงงวย ทว่าวินาทีต่อมาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เขาคิดว่านางจะปฏิเสธเสียอีก เขารู้สึกดีใจเหลือเกิน

“ข้าจะดูอาการเจ้าก่อน ข้ายังมีธุระด้านนอก ได้ยินว่าเจ้าติดเชื้อ” หมอเทวดารู้สึกเป็นห่วง หวาชิงจะออกไปสู้รบ นางเอียงหน้าไปอีกทาง ก่อนจะปลดอาภรณ์ออก

“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะล้างแผลไม่ดีหรือไม่?”

เมื่อปลดอาภรณ์ออก โลหิตพลันไหลออกจากบาดแผล หมอเทวดารู้สึกทำตัวไม่ถูก ทว่าเมื่อเห็นบาดแผลอักเสบก็ไม่ได้คำนึกสิ่งใดอีก รีบทำแผลโดยเร็ว หวาชิงเบือนหน้าไปอีกทาง ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน

หมอเทวดาทำแผลเสร็จเร็วอย่างคล่องแคล่วว่องไว

จึงกล่าวว่า “คืนนี้ข้าจะอยู่ดูแลเจ้า หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไปก็เท่ากับสูญแรงโดยเปล่าประโยชน์ ทหารเสนารักษ์ไม่เป็นกระไรแล้ว แต่เจ้ากลับสาหัสขึ้น”

หมอเทวดาหน้าดำคล้ำเครียด สวมอาภรณ์ให้หวาชิง เขารู้สึกเป็นการรักษาที่ยากเอาการ เพราะบาดแผลอักเสบแล้ว

หวาชิงไม่รู้ควรเอ่ยสิ่งใด คล้ายกับสร้างความลำบากให้หมอเทวดาแล้ว

“ท่านไม่ต้องสนใจข้า ข้าไม่เป็นอะไร” หวาชิงไม่ยอมอ่อนข้อ หมอเทวดาเดินออกไปด้านนอก

เขายังมีธุระติดตัวต้องไปทำก่อน

หวาชิงเห็นอีกฝ่ายไปแล้วพลันรู้สึกสลดใจ

ไม่นานทั้งสองค่ายก็ทำศึกกันอีกครา ฝ่ายหนานกงเย่ไม่เกรงกลัวแมลงอีกต่อไป สถานการณ์สู้รบช่างดุเดือดเหลือแสน

ดูแคลนทหารปีกใต้ไม่ได้จริงๆ แม้นไม่มีแมลงเสริมกำลัง ทว่าก็ยังคงเก่งกาจใช่ย่อย สงครามครั้งนี้จึงยากกว่าตอนที่สู้รบกับแคว้นอู๋โยว

หลังสู้รบหนึ่งวันเต็มๆ ไม่มีค่ายใดเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบ

หนานกงเย่ถอยทัพ แล้วยืนอยู่บนกำแพงเมือง

แกนนำแม่ทัพของอีกฝ่ายลั่นวาจาท้าทายเขา โดยบอกว่าจะชิงสตรีของเขาไปคลอดบุตรให้ตน

หนานกงเย่ยืนสักพัก ท่านอ๋องหย่งจวิ้นเดินเข้ามา “ท่านจะทำเป็นไม่ได้ยินหรือ?”

หนานกงเย่มองปราดหนึ่ง ทว่าไม่ได้ตอบ หมุนกายจากไป

ผลสุดท้ายคือ เช้าวันถัดไป ศีรษะของผู้ด่าทอเขาเมื่อวานได้แคว้นอยู่ที่กำแพงเมือง

ค่ายของศัตรูเริ่มเดือดดาลมาตะโกนท้าประลอง

“รู้จักคนนี้หรือไม่?” สายตาหนานกงเย่จับจ้องเบื้องล่าง พลางถามขึ้นมา

เฉินอวิ๋นเจี๋ยตอบ “ไม่รู้จักพ่ะย่ะค่ะ”

“เฉินอวิ๋นเจี๋ย เจ้าไปรับมือเขา จำไว้ว่าหากได้ยินเสียงสัญญาก็ให้รีบถอยทัพ ห้ามสู้ต่อ และสังเกตความสามารถของเขาด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เฉินอวิ๋นเจี๋ยออกมาทำศึก หนานกงเย่สั่งให้เตรียมธนูมา แล้วยืนสังเกตการศึกอยู่บนกำแพงเมือง ทันทีที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยได้ยินเสียงสัญญาก็รีบถอยทัพ ทำให้อีกฝ่ายโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

เฉินอวิ๋นเจี๋ยรายงานว่า “ถึงแม้จะสู้กับเขายาก แต่ก็สามารถสู้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าออกไปรับมืออีกครา” หนานกงเย่ให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยไปอีกหลายหน ครั้งนี้สี่หนานกงเย่ให้ธนูแก่เฉินอวิ๋นเจี๋ย ซึ่งเฉินอวิ๋นเจี๋ยถอยกำลังอีกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายฉุนเฉียวจนไม่เคลื่อนไหวใดๆ

เฉินอวิ๋นเจี๋ยถอยกลับได้สักระยะก็หันหน้ากลับไป จากนั้นก็หยิบธนูยิงใส่ระหว่างคิ้วอีกฝ่าย จนอีกฝ่ายตกลงจากหลังม้า จากนั้นเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็กลับไป

ค่ายศัตรูสูญเสียแม่ทัพใหญ่สองคนภายในสองวัน จึงบุกโจมตีคืนนั้นเลย ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันหนึ่งคืนหนึ่งวัน

ทว่าก็ไม่มีฝ่ายใดคว้าชัยชนะ จึงล้มเลิกการศึก

หวาชิงรู้สึกร้อนอกร้อนใจ ไยจึงสู้ยากเย็นแสนเข็ญปานนี้

ตกดึกนางก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา

หมอเทวดาก็ไม่นอนเช่นกัน ลุกขึ้นมาดูหวาชิง “เจ้านอนไม่หลับก็ช่วยอะไรไม่ได้ การสู้รบของทั้งสองฝ่ายเป็นการเสียเวลาทั้งนั้น”

หวาชิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านเป็นหมอจะรู้อันใด?”

หมอเทวดาจนปัญญา นั่งลง

ยามนี้เป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว ทหารในค่ายพักผ่อนกันหมดแล้ว มีเพียงหวาชิงที่ยังคงนอนไม่หลับ

ด้านนอกกระโจมมีเสียงฝีเท้า หวาชิงมองหมอเทวดาอย่างสงสัย ซึ่งหมอเทวดาก็รับรู้เช่นกัน หมอเทวดาฟังอย่างละเอียดแล้วก็ทำท่าบอกใบ้ว่ามีกันสามคน จากนั้นก็หลบไปอีกทาง ส่วนหวาชิงก็แกล้งทำเป็นหลับ

มีคนเปิดกระโจมออก จากนั้นก็เข้ามา บุรุษทั้งสามนายทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ หมายจะเข้าใกล้หวาชิง หมอเทวดาเข้ามาแทงเข็มเงินสามเข็ม ทั้งสามคนก็ล้มกองกับพื้น

หวาชิงมอง หมอเทวดาเรียกคนเข้ามา จากนั้นทั้งสามคนก็ถูกมัดตัว แล้วเฆี่ยนไต่สวนคืนนั้นทันที ทว่าไม่มีผู้ใดปริปากพูด

ต่อมาหนานกงเย่โยนทั้งสามคนลงกำแพงเมือง กระดูกของสามคนนี้หักในบัดดล เฉินอวิ๋นเจี๋ยออกไปลากศพทั้งสามร่างไปยังนอกกำแพงของศัตรู จากนั้นก็โยนทิ้งไว้ตรงนั้น

สงครามดุเดือดขึ้นทุกที สู้กันชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร

ทว่าการบุกกับการรับนั้น การรับยากกว่า

“ท่านอ๋อง ดูจากรูปการแล้ว หากพวกเขายังคงโจมตีเช่นนี้ ฝ่ายพวกเรามีสิทธิ์พ่ายแพ้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ แคว้นเฟิ่งก็บุกมาอีกทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ข้ารู้แล้ว คืนนี้บุกจู่โจมพวกเขา ลองดูแล้วกัน” หนานกงเย่ก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ ทว่าก็นิ่งนอนดูดายไม่ได้เช่นกัน

หนึ่งเดือนให้หลังล้วนมีแต่สงครามกันทุกวี่ทุกวัน สู้รบจนขวัญของทหารหวาดหวั่น บวกกับการเข้าโจมตีของแคว้นเฟิ่งด้วย ทำให้หนานกงเย่กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันพักผ่อน

ณ เมืองหลวง

ฉีเฟยอวิ๋นได้รับข่าวว่า เฟยอิงหาคนเจอแล้ว กำลังพากลับมายังแคว้นต้าเหลียง ฉีเฟยอวิ๋นจึงโล่งอกไปหนึ่งเปราะ

ฉีเฟยอวิ๋นรีบเตรียมสัมภาระมุ่งหน้าไปยังชายแดนทันที

ฉีเฟยอวิ๋นเดินทางทั้งวันทั้งคืน หลังจากเดินทางเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าก็มาถึงชายแดนในเวลาที่หนานกงเย่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้คนไปรายงานหนานกงเย่ ทางด้านเฟยอิงก็เดินทางมาถึงแล้วเช่นกัน

เฟยอิงนำคนกลับโดยใช้เส้นทางลับทางหุบเขา ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น เฟยอิงก็เกือบล้มลง แต่เสี่ยวเฉียวกับอามู่ไม่ได้เป็นอะไร คนอื่นก็ล้วนกลับมาอย่างปลอดภัย

ฉีเฟยอวิ๋นคล้ายกับยกภูเขาออกจากอก รีบทำการรักษาตัวเฟยอิงในทันควัน บัดนี้เฟยอิงนอนสลบไสลไปแล้ว

เสี่ยวเฉียวกล่าวว่า พวกเขาถูกขวางทาง มีจำนวนคนมากมายที่หมายจะคร่าชีวิตพวกเขา ทำให้พวกเขาหนีมาได้อย่างยากลำบาก

“ท่านแม่ นับจากวันนี้ พวกข้าจะไม่จากท่านแม่ไปไหนอีก ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่” ฉีเฟยอวิ๋นทำหน้าเย็นชา เสี่ยวเฉียวกับอามู่รีบปิดปากเงียบ ถึงแม้ทั้งสองยังอายุน้อย ทว่าก็รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นรักใคร่พวกตน จึงได้ทำเช่นนี้

เสี่ยวเฉียวเอ่ยว่า “พวกเราแค่อยากพาอาจารย์กับหนังเสือกลับมา”

เสี่ยวเฉียวรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ฉีเฟยอวิ๋นลูบศีรษะเสี่ยวเฉียว “ขอแค่พวกเจ้าปลอดภัย อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ”

ฉีเฟยอวิ๋นจัดที่พักให้พวกเสี่ยวเฉียวเสร็จ แล้วรอคอยหนานกงเย่กลับมา

ยามที่หนานกงเย่มา ประตูเกิดเสียงหนึ่งครั้งก็เปิดออก ฉีเฟยอวิ๋นนั่งบนเตียง เมื่อเห็นหนานกงเย่เดินเข้าประตูพลันลุกขึ้นยืน ท้องกลมโตของเธอเสมือนแตงโมลูกใหญ่ หนานกงเย่มองด้วยอารมณ์เหลือเชื่อ