นักพรตจี้กับอวี๋เหรินเดินผ่านทุ่งโล่ง
ไม่ได้เดินไปบนถนนหลวง ไม่ได้ล่องเรือไปตามแม่น้ำลั่ว หากแต่เดินไปตามทางที่น้อยคนนักจะเดินไป ทางอันเต็มไปด้วยต้นหญ้าทอดยอดสูง ชุดนักพรตปกคลุมไปด้วยเศษหญ้า ตั๊กแตนตัวหนึ่งถูกบี้ตายใต้ไม้เท้า
อวี๋เหรินเดินได้ลำบาก จึงเดินช้ามาก นักพรตจี้ก็คิดถึงความเร็วของศิษย์จึงไม่เดินเร็วนัก อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ที่ทุ่งหิมะตอนเหนือของหานซานเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วพวกเขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ในทุ่งหญ้าแห่งนี้ที่สามารถมองเห็นเมืองอันยิ่งใหญ่ได้
เมืองนี้ไม่มีกำแพง แต่ในวันนี้ที่ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส่ สามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ห่างไปหลายสิบลี้ นั่นก็เพราะเมืองนี้มีแท่นสูง มีเขาสูงที่ชานเมือง และมีอาคารสูงเสียดฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน
แม้ไม่ได้กลับมายังที่แห่งนี้หลังจากผ่านไปหลายปี นักพรตจี้ก็ไม่แสดงอารมณ์ใดบนใบหน้า มีแต่ความสงบเยือกเย็นหรืออาจเป็นความด้านชาตามปกติ อวี๋เหรินไม่เคยมีความประทับใจใดกับจิงตู หรือมีความรู้สึกใดเกี่ยวกับมัน ทว่าสีหน้าก็ยังมีความสงสัยใคร่รู้และโหยหา แต่กระนั้น ชั่วขณะต่อมา อารมณ์นั้นก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดและไม่สบายใจ
เขามองไปที่จุดหนึ่งบนท้องฟ้า มองดูอยู่เป็นเวลานาน
สายลมอ่อนโยนบนทุ่งพัดปอยผมดำที่ปรกหน้าผากเขา
เขามีดวงตาเพียงข้างเดียวที่มองเห็นได้ การจ้องมองระยะไกลเป็นเวลานานก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวด เขาขยี้ตา ไม่อาจสะกดความสงสัยไว้ได้ ประหลาดใจว่าดวงตาตนเองเห็นอะไรเมื่อครู่นี้
“เจ้าไม่ได้ตาฝาดไป นั่นคือดาวชะตาของศิษย์น้องเจ้า”
ถึงคราหนึ่ง นักพรตจี้ก็เริ่มมองไปที่ท้องฟ้า ใบหน้าสงบเย็นชาตลอดกาลในที่สุดก็เผยรอยยิ้มอ่อนจางออกมา แม้ว่ายิ้มนี้จะอ่อนจางแต่ก็เปี่ยมล้นอารมณ์
ผ่านไปหลายปีแล้ว เนิ่นนานจนเกือบลืมไปแล้วว่าลมพัดมาจากทิศทางใดตอนที่จักรพรรดิไท่จงสนทนากับเขาภายในวังต้าหมิงก่อนจะกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว
ได้ยินคำพูดของนักพรตจี้ อวี๋เหรินก็ยิ่งไม่สบายใจ
“ไม่ต้องกังวล นี่เป็นสิ่งที่ดี”
ว่าแล้วนักพรตจี้ก็เดินต่อไป
อวี๋เหรินมองดูหลังของเขา เปิดปากพูดอะไรบางอย่างทว่าไม่มีเสียงออกมา เขาใช้ภาษามือแต่ก็ไม่อาจทำให้อาจารย์หันกลับมา ได้แต่ส่ายหน้าและเดินต่อไป
ลมพัดผ่านต้นหญ้าเปิดทางให้
อาจารย์กับศิษย์เดินไปตามทางผ่านทุ่งหญ้า หนึ่งดีใจ หนึ่งกังวลใจ
นครจิงตูตั้งตระหง่านที่ปลายทาง
……
……
บนยอดเขาหานซาน ริมทะเลสาบสวรรค์ หลายคนเดาได้แล้วว่าเฉินฉางเซิงกำลังทำอะไร และกำลังพบเจอกับสิ่งใด บทสนทนาแสดงความตกใจดังขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน จนฟังคล้ายเสียงหึ่งๆ ของฝูงผึ้ง จากนั้นในชั่วพริบตา เสียงก็เงียบหายไปสิ้น กลับกลายเป็นความเงียบสงัดงัน
ฝูงชนมองไปที่เฉินฉางเซิงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ
เขา…กำลังรวบรวมดวงดาว!
ในตอนนั้นระหว่างการประลองในการสอบใหญ่ เฉินฉางเซิงก็ทะลวงสู่ขั้นทะลวงอเวจีท่ามกลางการประลอง หรือว่าวันนี้เขาก็จะทะลวงสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวอีกเช่นกัน ผู้มีพรสวรรค์แห่งนิกายหลวงที่สร้างปาฏิหาริย์มามากมายจะทำให้ทั้งต้าลู่ตกตะลึงอีกครั้งหนึ่งเช่นนั้นหรือ เขาจะทำสำเร็จหรือไม่
การเลือกช่วงเวลานี้เพื่อทะลวงผ่านก็น่าตะลึงเพียงพอแล้ว แต่คำถามที่สำคัญจริงๆ ก็คือเขาจะทำสำเร็จหรือไม่
หากสำเร็จ ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์ หากไม่ ก็จะเป็นเรื่องตลก
และแค่ทำเช่นนี้ก็ไม่เพียงพอ
รวบรวมดวงดาวคืออะไร คนที่ไม่เข้าใจเรื่องการบำเพ็ญแต่ได้อ่านคัมภีร์เกี่ยวกับการบำเพ็ญมาบ้างเชื่อว่าการรวบรวมดวงดาวนั้นคือการชำระกระดูกขั้นสูง หยิบยืมรัศมีที่ไร้ขีดจำกัดจากทะเลดวงดาวมาเพื่อทะลวงผ่านสู่ขั้นรวบรวมดวงดาว เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายจนถึงระดับที่เกินจินตนาการ… มุมมองเช่นนี้ไม่ได้ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ยอดฝีมือขั้นรวบรวมดวงดาวต่อให้ไม่สร้างเขตแดนดวงดาว ก็ยังสามารถอาศัยพลังความแข็งแกร่งของร่างกายต่อสู้กับยอดฝีมือเผ่ามารได้โดยตรง นี่ก็คือเหตุผลที่ว่านั้น
กระนั้นก็ตาม ความสำคัญที่แท้จริงของการรวบรวมดวงดาวกลับอยู่ที่คำว่า ‘การสร้างเขตแดนดวงดาว’
การยืมรัศมีเจิดจ้าของดวงดาว ผู้บำเพ็ญเพียรต้องเปิดวงโคจรลมปราณมากมายในร่างกาย พยายามอย่างเต็มที่ในการเปิดจุดลมปราณให้มากกว่าสามร้อยจุดหากเป็นไปได้ จากนั้นก็จะได้รับปราณแท้เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบจนไม่รู้สึกเหนื่อยล้าในสถานการณ์ทั่วไป รัศมีดวงดาวสามารถแผ่ออกสู่ภายนอกก่อตัวเป็นโลกใบหนึ่ง มีแต่ทำเช่นนี้ได้จึงจะนับว่าเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง!
ปัญหาก็คือจะกระจายรัศมีดวงดาวได้อย่างไร จะเลือกจำนวนและลำดับของจุดลมปราณที่จะเปิดขึ้นอย่างไร นี่เป็นคำถามที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้มีพรสวรรค์ขั้นสูงและเป็นศิษย์ของพรรคสำนักขนานใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากอาจารย์ ต้องเตรียมการเป็นเวลานานก่อนจะทำการรวบรวมดวงดาว หากขาดการใส่ใจเพียงแค่เล็กน้อยก็มีโอกาสล้มเหลวสูงมาก ถึงขนาดมีโอกาสที่แสงดาวจะไหลกลับและทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ระดับการบำเพ็ญเพียรลดลง อาจหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นไร้ความหวังที่จะทะลวงผ่านสู่ระดับรวบรวมดวงดาวได้อีกตลอดชีวิต
จากเส้นแบ่งระดับการบำเพ็ญตนทั้งหลาย แม้ว่าเส้นแบ่งของขั้นรวบรวมดวงดาวนั้นไม่อันตรายเช่นขั้นทะลวงอเวจี แต่ก็ไม่นับว่าง่ายดาย เว้นแต่ในกรณีของผู้ที่ต้องการทะลวงผ่านได้ทำการสะสมประสบการณ์และความเข้าใจมามากเพียงพอแล้วเท่านั้น
ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีพรสวรรค์เพียงใด เขาก็ยังอายุไม่ครบสิบเจ็ดปีดี นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีเลือดมังกรแท้เช่นชิวซานจวินที่ศึกษาล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งเต๋ามาตั้งแต่เด็ก ส่วนเขาบำเพ็ญมาไม่ถึงสองปีด้วยซ้ำ แล้วจะมีเวลามากพอให้สะสมความเข้าใจและประสบการณ์ได้อย่างไร
แม้ว่าเขาจะฝืนทะลวงผ่านได้สำเร็จ โชคดีหลบเลี่ยงการตีกลับของแสงดาวได้ แต่หากลำดับการเปิดจุดชีพจรนั้นไม่ถูกต้องหรือจุดมากเกินไป ก็เป็นไปได้สูงมากว่าในยามที่เขาสร้างเขตแดนดวงดาวของตัวเอง จะต้องพบกับความบกพร่อง อย่างว่าแต่สร้างให้สมบูรณ์แบบเลย อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะอ่อนแออย่างมากด้วยซ้ำ
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป แค่สามารถสร้างเขตแดนดวงดาวได้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่โดดเด่นมากแล้ว เขตแดนดวงดาวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับรวบรวมดวงดาวจำนวนมากมายในโลกนี้นั้นยากที่จะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่เขาคือเฉินฉางเซิง ว่าที่สังฆราช ดังนั้นผู้คนต้องการให้เขาต่างไป เฉกเช่นที่ซูหลีเคยเยาะเย้ยไว้ในป่า เขตแดนดวงดาวแบบนั้นยังเรียกว่าเขตแดนดวงดาวได้อีกหรือ
ในขณะที่รอผลลัพธ์ ทุกคนในฝูงชนต่างก็มีความรู้สึกที่ต่างกันไป สีหน้าจึงแตกต่างกันไป
ใบหน้าโก่วหานสือนั้นสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง กวนเฟยไป๋เคร่งเครียดมาก เหลียงปั้นหูออกจะโดดเดี่ยว นี่เป็นเพราะพวกเขาเข้าใจเฉินฉางเซิงอย่างล้ำลึก นับตั้งแต่เขาได้เลือกเวลานี้เพื่อทะลวงผ่าน เขาต้องมีการเตรียมตัวมาอย่างเพียงพอและมีความมั่นใจมากเกินพอ
สีหน้าของเจ๋อซิ่วเฉยชาอย่างมาก ทว่านัยน์ตายังหดตัวลงเล็กน้อย ใบหน้าถังซานสือลิ่วค่อนข้างซีด สองมือกำแน่น พวกเขาเข้าใจในตัวเฉินฉางเซิงดียิ่งกว่าและก็ยังมั่นใจในตัวเฉินฉางเซิงว่าจะสามารถทะลวงผ่านได้ อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังรู้สึกประหม่า เกรงว่าจะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เป็นกังวลมากที่สุดก็คือสวีโหย่วหรง นางนั่งอยู่หลังม่านใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ โน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อยราวกับนางพร้อมที่จะยืนขึ้นได้ทุกขณะ
ดวงดาวได้ส่องสว่างในเวลากลางวัน รัศมีดาวก็สาดส่องลงมาไหลเข้าสู่ร่างของเฉินฉางเซิง ส่งผลให้พื้นหินแข็งแกร่งทรุดลงไป ทะเลสาบและภูเขาที่งดงามกลายเป็นเงียบงัน
ดวงตาเฉินฉางเซิงยังคงปิดอยู่ ทว่าเขาได้ตื่นขึ้นกลับคืนสู่ความเป็นจริงแล้ว เขาได้ทำการถอดจิตสำรวจสภาพร่างกายตนเอง ยืนยันแล้วว่าแดนลี้ลับของเขานั้นยังคงเปิดกว้าง ปราณแท้ทั้งหมดลุกเป็นไฟ แสงดาวที่ไหลเข้ามาในร่างนั้นแทบจะเกินการควบคุมของเขา เขารู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร
แน่นอนว่าเขาต้องการสร้างเขตแดนดวงดาวที่สมบูรณ์ และก็ยังมั่นใจว่าสามารถทำได้
การรวบรวมดวงดาวต้องใช้ความเข้าใจ การหยั่งรู้ และการเตรียมตัวอันยาวนาน แม้ว่าเขาจะบำเพ็ญมาไม่ถึงสองปีดี แต่ก็ได้ใช้เวลาไปหลายปีศึกษาเรื่องนี้ เขามีวิธีในการบำเพ็ญที่แตกต่างไปจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง
ก่อนที่เขาจะชำระไขกระดูกได้สำเร็จ เขาก็ได้ทำการถอดจิตแล้ว ยามที่เขาดึงแสงดาวลงมาเพื่อชำระไขกระดูก เขาก็ได้อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีแล้ว เขาใช้วิธีที่เหนือกว่าระดับการบำเพ็ญที่แท้จริงอยู่เสมอมา
ในสุสานเทียนซูปีที่แล้ว เขายังอยู่ในขั้นทะลวงอเวจีแต่ก็สามารถรวบรวมดวงดาวของตนได้แล้ว
ตอนอยู่ในป่า ซูหลีได้สอนเพลงกระบี่รอบรู้ให้เขา ยามที่เขานั่งอยู่ริมทะเลสาบ มองดูท้องฟ้าพร่างดาว ครุ่นคิดว่าจะทำลายเขตแดนดวงดาวของยอดฝีมือระดับรวบรวมดวงดาวอย่างไร เขาก็ได้ครุ่นคิดว่าจะดึงทะเลดวงดาวเข้าสู่ร่างกายของตนอย่างไร จะเปิดจุดลมปราณอย่างไร จะสร้างเขตแดนดวงดาวแบบใด
ท้องฟ้าดวงดาวของเขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว
เขาเพียงแค่รอเวลาที่จะจุดให้มันส่องสว่างขึ้นมาเท่านั้นเอง
……