ในตอนนี้ ไม่มีลมพัดผ่านเวทีหินแม้แต่น้อย ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้อง
เป็นเสียงฟ้าร้องที่แปลกประหลาดเพราะว่ามันไม่ได้ดังก้องอยู่ในโลกความจริง หากแต่ดังอยู่ในห้วงแห่งจิตของฝูงชน
เสียงฟ้าร้องนี้มาจากร่างของเฉินฉางเซิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ มันไม่ได้มาจากการสั่นสะเทือนของอากาศ ทว่ามาจากการเพิ่มขึ้นของปราณแท้และเปลวเพลิงจากการเปิดจุดลมปราณ
ส่วนหนึ่งบริเวณหน้าอกของเฉินฉางเซิงพลันส่องสว่างขึ้น แสงแผ่ออกมาจากร่างกายเขา ทะลุผ่านชุดนักพรตที่ขาดวิ่น และส่องสว่างในดวงตาของทุกคนในที่แห่งนี้
เขาได้จุดไฟเปิดจุดลมปราณที่ตรงนั้น
จากนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังขึ้นตามมามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงฟ้าร้องนี้ดูเหมือนจะมาจากสวรรค์ แต่อันที่จริงแล้วมาจากร่างของเขา
จุดแสงที่ส่องสว่างมีจำนวนมากขึ้นภายใต้ชุดนักพรต ดูราวกับว่าไม่มีความสอดคล้องหรือเหตุผลในลำดับจุดลมปราณที่เปิดขึ้น ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ หากลากเส้นตามจุดลมปราณเหล่านี้ ก็จะได้ภาพวาดที่ขีดไปมาพัลวัน ไม่มีอะไรพิเศษให้เห็น
เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น สายตาที่จับจ้องมาที่ร่างของเฉินฉางเซิงเริ่มมีความกังวลมากขึ้น เขาได้เปิดจุดลมปราณจำนวนมากในร่างกายและชุดนักพรตก็ส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนดูประดุจโคมไฟส่องแสงหลากสี ภายในและภายนอกต่างก็สว่างจ้าหาใดเปรียบ
ถึงจุดนี้เสียงฟ้าร้องก็หยุดลงในที่สุด เขาหยุดใช้แสงดาวจุดไฟให้กับการเปิดจุดลมปราณ ฝูงชนไม่อาจเห็นได้ชัดว่าเขาได้เปิดจุดลมปราณไปมากมายเท่าไร มันมีจำนวนหลายสิบเฉกเช่นผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป หรือว่าหนึ่งร้อย หรือว่าสองร้อยเฉกเช่นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นกันแน่
โลกอันเงียบงันรอบกายเฉินฉางเซิงเริ่มมีการเคลื่อนไหว สายลมโชยพัดมาอย่างแผ่วเบา ทำให้ชุดนักพรตที่ขาดวิ่นดูยับย่น แสงที่แผ่ออกมาจากชุดนักพรตค่อยๆ จางลงเผยให้เห็นจุดแสงราวกับดวงดาว
แม้ว่าจุดแสงเหล่านี้จะดูเหมือนไม่เป็นระเบียบ แต่แท้จริงแล้วพวกมันก็มีกฎระเบียบของมันเอง เป็นดวงดาวนับไม่ถ้วนในท้องฟ้ายามราตรีที่ก่อตัวเป็นแผนภูมิดวงดาวที่สมบูรณ์
นี่คือเขตแดนดวงดาว
เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น ดวงตายังคงกระจ่างใจเหมือนเช่นเคย ทว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ในส่วนลึกมีแสงดาว ดูราวหยกที่ถูกน้ำชำระล้างมาชั่วนาตาปี ไอพลังปราณมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก หนาแน่นและทรงพลังยิ่งขึ้น
สายลมอ่อนโชยพัดชุดนักพรตของเขา เมื่อเขายืนขึ้น เศษดาวก็ปลิวออกจากแขนเสื้อ ลอยละล่องไปในอากาศ
เศษดาวพวกนั้นค่อยๆ กระจายหายไป ดวงดาวนับไม่ถ้วนบนชุดนักพรตค่อยๆ หม่นแสงลง ทว่าม่านพลังป้องกันที่มองไม่เห็นยังคงอยู่
เขายังยืนอยู่จุดเดิมแต่เขาไม่ได้อยู่ในโลกใบเดิมอีกแล้ว
เป็นความนิ่งเงียบอย่างที่สุด
เฉินฉางเซิงรวบรวมดวงดาวสำเร็จแล้ว!
และเขตแดนดวงดาวที่เขาสร้างก็ดูเหมือนจะสำเร็จแล้วเช่นกัน ถึงขนาดแผ่ความรู้สึกแห่งความบริบูรณ์ออกมา!
ก่อนหน้านี้ยามที่โก่วหานสือได้เผชิญหน้ากับจงฮุ่ยจากสำนักต้นไหว และแสดงระดับการบำเพ็ญขั้นรวบรวมดวงดาวออกมา เขาก็ทำให้ฝูงชนตกตะลึงและชื่นชมอย่างมากแล้ว แต่ตอนนี้เล่า
เฉินฉางเซิงได้ทำลายสถิติของชิวซานจวินและกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์!
ความเงียบงันนี้ถูกทำลายในที่สุด เสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นและเสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้น และที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เมื่อเห็นเฉินฉางเซิงลืมตา ถังซานสือลิ่วก็คลายมือออกได้ในที่สุดและหันไปทางกวนเฟยไป๋ ยักคิ้วหลิ่วตาด้วยความรู้สึกพึงพอใจเกินบรรยาย
กวนเฟยไป๋ไม่ได้มองดูเขาหรือเฉินฉางเซิง กลับมองไปที่กวนไป๋ที่ลุกขึ้นช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความนับถือ
อีกหลายคนก็มองไปที่กวนไป๋ด้วยความนับถือและชื่นชม
จวบจนตอนนี้บางคนจึงเข้าใจว่าเหตุใดเฉินฉางเซิงถึงได้ขอเวลาจากกวนไป๋
และกวนไป๋ก็รออย่างเงียบๆ จริงๆ
มารยาทเช่นนี้ทำให้คนต้องอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
บางคนก็หันไปที่แท่นสูง เมียงมองร่างงามหลังม่าน
คนเหล่านั้นคิดในใจ เฉินฉางเซิงทะลวงเข้าสู่ระดับรวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องอารมณ์ไม่ดีเป็นแน่
……
……
เฉินฉางเซิงสัมผัสได้ถึงดวงดาวบนท้องฟ้าไกล รู้สึกถึงพลังจากแสงดาว และปราณแท้ที่ไม่รู้จบซึ่งไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณ เต็มไปด้วยความตื้นตัน
เขาได้ทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมมาเป็นเวลานาน จึงมั่นใจมากว่าจะสามารถสร้างเขตแดนดวงดาวที่ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ แต่เขตแดนดวงดาวก็เป็นเรื่องหนึ่ง สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในการควบรวมดวงดาวก็คือ แก้ไขปัญหาเรื่องขีดจำกัดในการใช้ปราณแท้อันเนื่องมาจากเส้นลมปราณที่ตีบตัน และยังมีโอกาสที่จะยืมความแข็งแกร่งนี้ทะลวงเส้นลมปราณที่ตีบตันได้โดยตรง
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกับร่างกายเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งที่ไร้ขอบเขต เขามั่นใจว่าหากราชามารปรากฏกายอีกครั้ง และหากเขากางร่มกระดาษทอง จะสามารถต้านทานการโจมตีได้อย่างน้อยสองครั้ง นี่หมายความว่าหากเขาต่อสู้กับผู้ที่เป็นสุดยอดฝีมือของโลกนี้ เขาก็ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง
แม้ชั่วขณะเดียวจะไม่อาจพาเขาไปไกลหมื่นลี้ ไม่อาจทำให้เขาอยู่ไปเป็นร้อยปี แต่ก็มากพอให้เขาใช้วิธีที่มีในการหลบหนีซ่อนตัว ทำให้เขาหาวิธีทะลวงมิติเข้าสู่สวนโจว ตราบใดที่เขาเข้าไปในสวนโจวได้ เขาก็มั่นใจว่าราชามารหรือใครก็ตามจะไม่สามารถสังหารเขาได้ในเวลาอันสั้น
ผลของการคำนวณนี้สมบูรณ์แบบ ทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลงอย่างมาก ปราณแท้ไหลเวียนในร่างกาย และความรู้สึกถึงพลังที่ท่วมท้นนั้นทำให้พึงพอใจมากขึ้นไปอีก การหยั่งรู้ที่มากขึ้นจากการทะลวงผ่านสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวนั้นทำให้ทะเลสาบและภูเขาดูแจ่มชัดมากขึ้นในสายตาของเขา สรุปแล้วเขาไม่เคยรู้สึกว่าโลกนี้งดงามเพียงนี้มาก่อน
ไม่กี่คืนก่อน เขากับสวีโหย่วหรงได้สนทนากันอย่างยาวนาน คือเหตุที่เขาตัดสินใจทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวระหว่างการประชุมใหญ่จู่สือเพื่อที่จะทำให้รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นแล้วเขาจึงยอมรับคำท้าประลองของคู่ต่อสู้แม้ว่าจะเข้าใจดีว่าตนเองนั้นอ่อนแอกว่ามาก เขาอยากใช้แรงกดดันนี้ในการทะลวงผ่านกำแพงที่สำคัญที่สุด แน่นอนว่าเขาต้องขอบคุณคู่ต่อสู้ที่มอบโอกาสนี้ให้แก่เขา และยังมอบเวลาให้กับเขาอย่างเพียงพอ
เฉินฉางเซิงคำนับกวนไป๋อย่างจริงจัง สีหน้าจริงใจ “ขอบคุณศิษย์พี่มาก”
กวนไป๋ไม่ได้หลบเลี่ยง เขามอบเวลาให้เฉินฉางเซิงหนึ่งปีเพราะเขาต้องการเห็นว่าเฉินฉางเซิงจะสามารถทะลวงผ่านสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวในหนึ่งปีได้หรือไม่
“อย่างที่คาดไว้ เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง ไม่ทำให้โลกนี้ผิดหวัง”
เขามองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าว “แต่การประลองกระบี่ในวันนี้ ข้าต้องชนะ”
ในการประลองครั้งนี้ กวนไป๋ต่อสู้ในนามจงห้วนอวี่แห่งสำนักเทียนเต้าที่ฆ่าตัวตายในบ่อน้ำเย็น เขามีเกียรติภูมิของผู้เชี่ยวชาญกระบี่ มีภาระของผู้นำคนหนุ่มสาวแห่งสำนักเทียนเต้า เขาสามารถมอบเวลาให้เฉินฉางเซิงทะลวงเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวได้ แม้แต่ทำตัวเป็นผู้คุ้มกันให้ แต่เขาไม่อาจปล่อยให้เฉินฉางเซิงจากไปในฐานะผู้ชนะได้
หลังจากรวบรวมดวงดาวสำเร็จ เฉินฉางเซิงก็บรรลุเป้าหมายสำคัญที่สุดในการมาหานซานครั้งนี้ ความคาดหวังจากทั้งสังฆราชและซูหลีได้สำเร็จลุล่วงแล้ว เขาไม่มีความสนใจในหินสวรรค์ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหินสีดำก้อนเล็กบนจานนี้อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมโยงกับความลับของหวังจื่อเช่อก็ตาม เขาไม่สนว่าผลของการต่อสู้จะเป็นเช่นใดและจะจากไปก็ได้ แต่เพราะว่าเขามีความเคารพต่อกวนไป๋ เขาต้องต่อสู้อย่างจริงจังจนกว่าจะจบ มอบการต่อสู้ครั้งแรกหลังทะลวงผ่านสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวให้กับคู่ต่อสู้ของเขา
เขายกกระบี่ไร้ราคีในมือขึ้น ชี้ไปที่กวนไป๋อย่างสงบและเคารพ
มือซ้ายของกวนไป๋ยกกระบี่ขึ้น และฟันจากบนลงล่างอย่างเรียบง่าย
เบื้องบนคือสวรรค์ เบื้องล่างคือปฐพี
จากบนลงล่างก็หมายถึงร่วงลงจากสวรรค์
แต่การโจมตีนี้ไม่ใช่น้ำตกที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ทว่าเป็นเมฆที่ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้าบรรจุไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งเป็นนิรันดร์
ครั้นมองเห็นการโจมตีที่ดูเหมือนเรียบง่ายนี้ สีหน้าโก่วหานสือก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างมากในทันที
ผมที่ขมับของเจ๋อซิ่วลอยขึ้นอย่างฉับพลันราวกับลวดเหล็ก
ร่างงดงามด้านหลังม่านดูเหมือนจะเคลื่อนมาข้างหน้าเล็กน้อย
พวกเขามองเห็นความน่ากลัวจากการโจมตีของกวนไป๋
ในยามที่เฉินฉางเซิงรวบรวมดวงดาว กวนไป๋ก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า เขาเองก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นรวมรวมและทำความเข้าใจ
กวนไป๋ทำความเข้าใจฟ้าดินที่อยู่โดยรอบ ทะเลสาบก้อนหินที่อยู่ด้านหลัง ยามที่เฉินฉางเซิงรวบรวมดวงดาว กวนไป๋ก็ทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน การเป็นไปของทะเลสาบและก้อนหิน ดังนั้นเขาจึงได้รู้ถึงกฎเกณฑ์และกลั่นกรองออกมา
การโจมตีนี้ไม่ใช่ความแข็งแกร่งอีกต่อไป หากแต่เป็นกฎ
กฎแห่งฟ้าดินก็คือวิถีสวรรค์
แม้ว่าการโจมตีนี้จะห่างไกลจากวิถีสวรรค์ที่แท้จริง แต่ก็ยังเป็นกระบี่แห่งวิถีสวรรค์ที่หาใดเปรียบมิได้
สำนักเทียนเต้านั้นเป็นผู้นำของหกสำนักไม้เลื้อยมาได้นานนับร้อยปี จึงเป็นธรรมดาที่จะมีแนวทางที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง แนวทางที่โดดเด่นที่สุดก็คือวิชาของพวกเขา อันรับรู้ได้ถึงวิถีสวรรค์
ในฐานะเจ้าสำนักเทียนเต้าคนก่อน เหมาชิวอวี่ย่อมคุ้นเคยกับการโจมตีนี้ของกวนไป๋ดี
ใบหน้าของเขาแสดงความเสียดาย คิดถึง พอใจและอารมณ์อื่นๆ อีกมากมาย
ในสายตาของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เฉินฉางเซิงจะรับการโจมตีนี้ ต่อให้หลังจากทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวและก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรไปมากแล้วก็ตาม
กระบี่วิถีสวรรค์ เป็นท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเทียนเต้า การโจมตีนี้ผู้ใช้กระบี่จะต้องนำจิตวิญญาณไปถึงระดับที่สมบูรณ์แบบและผสานเข้าด้วยกันกับฟ้าดินในพื้นที่โดยรอบก่อนที่จะใช้ออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันไม่อาจที่จะต้านทานการโจมตีนี้ได้ ต่อให้ใช้วิชาต้านทานก็ยังไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีนี้ได้เมื่อใช้ออกมาแล้ว
เพราะวิถีสวรรค์ไม่อาจฝืน วิถีสวรรค์ไม่อาจย้อนคืน
หากผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปที่เพิ่งทะลวงผ่านสู่ขั้นรวบรวมดวงดาวและการบำเพ็ญยังไม่มั่นคงดี มาเผชิญหน้ากับกระบี่วิถีสวรรค์ของกวนไป๋ บางทีพวกเขาอาจคิดจะยอมแพ้เพียงอย่างเดียว
แต่เฉินฉางเซิงไม่ แม้ว่าตอนที่เขาเห็นกระบี่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เขาก็รู้ว่าไม่มีโอกาสชนะกวนไป๋มากนัก เขาก็ยังต้องการจะทดลองดูว่าจะรับการโจมตีนี้ได้หรือไม่
เพราะว่าการโจมตีนี้เป็นตัวแทนของวิถีสวรรค์
หลายปีที่ผ่านมานี้เขาดิ้นรนต่อต้านชะตา สิ่งที่เขาต้องการจะต่อสู้มากที่สุดก็คือวิถีสวรรค์ เขาต้องชนะ หรืออย่างน้อย ก็ต้องไม่สูญเสียจิตใจที่หาญกล้าท้าทายวิถีสวรรค์
ดังนั้นไม่เพียงแต่เขาไม่หนี ทว่าเขายังก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับกระบี่วิถีสวรรค์
ด้วยก้าวเพียงก้าวเดียว ก็ก่อให้เกิดเสียงฟ้าร้องประหนึ่งมีพายุนับไม่ถ้วนก่อตัวอยู่ภายในร่างกายของเขาและเริ่มหมุนวนอย่างรุนแรง
ตู้ม! แสงดาวภายในจุดลมปราณสิบกว่าจุดเริ่มระเบิดออกและเชื่อมต่อกันเป็นเส้นๆ เส้นลมปราณที่ตีบตันเส้นหนึ่งก็ทะลวงออก!
ทุกคนในที่นี้สัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เขาแผ่ออกมาได้อย่างชัดเจนว่าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก!
แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เขาต้านทานวิถีสวรรค์
เขาก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งอย่างสุขุมยิ่ง
ครั้นเท้าก้าวลง ลมพัดก็ขึ้น ชุดนักพรตสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง แม้จะเป็นเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น แต่ก็ดูเสมือนธงศึก
เส้นลมปราณที่ตีบตันอีกเส้นหนึ่งทะลวงออก และพลังปราณของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!
ไม่นานหลังจากนั้นก้าวที่สามก็เหยียบลง!
แต่ทว่า…ไม่มีฟ้าร้องหรือสายลม
ไม่มีเสียงใด มีเพียงความเงียบ
เขาขมวดคิ้ว รู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง ตกตะลึงอยู่บ้าง
เขาหันไปมองยังที่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะเจ็บปวดเกินบรรยาย ประหนึ่งว่าการเคลื่อนไหวง่ายๆ นี้ต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี
ที่แห่งนั้นคือแท่นสูงที่กางกั้นด้วยผ้าม่าน
เขามองไปที่เงาร่างงดงามหลังม่าน สีหน้างงงวยอยู่บ้าง ท่าทีสิ้นหวังอย่างยิ่ง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขายืนอยู่บนแท่นหิน ใบหน้าซีดขาว เสมือนว่าเขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้นเอง กระบี่วิถีสวรรค์ก็ได้ฟันลงมา
……