GGS:บทที่ 952 ปิดตาตัวเอง
เมื่อประตูพิพิธภัณฑ์ได้เปิดออก เฉินฮงและผู้อาวุโสซ่งได้ออกมากล่าวทักทายทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสซี่ ผู้อาวุโสหวู่และคนอื่นๆที่อยู่ในวงกร
คนที่ต่อแถวรออยู่นั้นอดใจไม่ไหวจึงได้พุ่งเข้าไปในพิพิธภัณฑ์โดยไม่รอพิธีเปิดแต่อย่างใด ทันทีที่พวกเขาได้เห็นของสะสมในพื้นที่ส่วนแรกนั้นต่างก็จ้องมองอยู่นานจนทำให้คนมาทีหลังต้องแทรกตัวเข้ามา
“พระเจ้าช่วย ทำไมถึงได้มีเครื่องลายครามราชวงศ์ถังเยอะขนาดนี้เนี่ย” โจวฉือเซียนได้มองไปรอบๆพื้นที่ส่วนแรกนี้ด้วยความตื่นเต้น
เขานั้นรู้ดีว่าสี่แต่ละสีที่ใช้สร้างลวดลายบนเครื่องลายครามพวกนี้หมายความว่ายังไง และนี่เองก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเครื่องลายครามราชวงศ์ถังนับร้อยชิ้นวางเอาไว้อยู่ที่เดียวกันแบบนี้
“เครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ถังพวกนี้สุดยอดเลยเหรอ” ชาวต่างชาติคนหนึ่งถามออกมา
“หากคุณไม่รู้อะไรล่ะก็อย่าเที่ยวไปพูดแบบนี้ที่ไหนนะ หม้อสามสีพวกนี้นั้นมาจากราชวงศ์ถัง ในยุคสมัยนั้นนิยมใช้หม้อแบบนี้กัน สีหม้อในสมัยนั้นประกอบไปด้วย เหลือง เขียว ขาว น้ำตาล น้ำเงิน ดำ และสีอื่นๆอีก แต่ที่นิยมที่สุดจะเป็นสีเหลือง เขียว แล้วก็ขาว
เหล่านักสะสมเรียกทั้งสามสีนี้ว่าสีประจำราชวงศ์ถัง และทั้งสามนี้ก็ถือได้ว่าเป็นสีที่เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมของชนชาติจีนเลยทีเดียว และสีเหล่านี้เองก็เป็นที่นิยมในประวัติศาสตร์ชาติจีนมาอย่างช้านานเกี่ยวกับเครื่องลายครามพวกนี้
พวกมันได้รับความนิยมขนาดที่ว่าแม้แต่ชาวต่างชาติในยุคสมัยนั้นก็ยังนิยมซื้อไปใช้จนกลายเป็นสินค้าส่งออกของจีนเลยทีเดียว
เหตุที่สีทั้งสามนี้เป็นที่นิยมนั่นก็เพราะว่าพวกมันเป็นสีที่สะดุดตา ส่องสว่างและทำให้เครื่องลายครามดูดีมีเอกลักษณ์
พูดอีกอย่างก็คือเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ถังพวกนี้เป็นไข่มุกแห่งยุคสมัย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันนั้นเป็นที่นิยมสำหรับนักสะสมในยุคปัจจุบัน
ถึงแม้จะไม่ได้นิยมเท่ากับเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์หยวน หมิง และชิงก็ตามแต่ด้วยความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์นี้ก็ยังได้รับความนิยมอยู่บ้าง และบางชิ้นเองก็สามารถขายได้ในราคาสูงเลยทีเดียว”
อลันที่ได้รับฟังทำให้เขานั้นเข้าใจในเครื่องลายครามของจีนมากยิ่งขึ้น
“ทำไมถึงได้มีมากมายขนาดนี้เนี่ย” แอนนาอดโวยวายออกมาไม่ได้
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเยอะจัง” อลันเองก็แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาถึงขนาดที่ว่าอยากจะส่งหม้อสามสีพวกนี้กลับไปประเทศของเขาเลยจริงๆ
“เครื่องลายครามพวกนี้ล้ำค่าเหรอ” ชายหนุ่มเจาะหูเองก็แสดงท่าทางตื่นเต้นทันทีที่เห็นเอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนกำลังยินคุยกับกลุ่มของชาวต่างชาติที่ทำท่าตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำอธิบาย ถึงแม้เขานั้นจะไม่รู้ว่าคนพวกนี้พูดอะไรกันแต่ก็พอดูออกจากท่าทางที่คนกลุ่มนี้คุยกัน
“แน่นอนว่าล้ำค่า เครื่องลายครามเหล่านี้บางชิ้นถือได้ว่ามาจากยุคสมัยที่ดีที่สุดในช่วงราชวงศ์ถัง ชิ้นหนึ่งมีค่าค่าไม่น้อยไปกว่าหนึ่งล้านหยวน และบางชิ้นเท่าที่ฉันเห็นเองก็ไม่ต่ำกว่าสิบล้านอย่างแน่นอน
อย่างชิ้นตรงนั้นเกินกว่าร้อยล้านหยวนด้วยซ้ำ” ชายสวมแว่นเองก็ได้พูดออกมาในขณะที่จ้องไปยังเครื่องลายครามนับร้อยชิ้นที่อยู่ตรงหน้า ถึงกับต้องขยับแว่นแล้วขยับแว่นอีกในระหว่างที่พูดออกมา
ตอนนี้ดวงตาของเขามีท่าทีแปลกๆ เพียงแค่เขาเพิ่งจะเหยียบเข้ามาก็ได้พบเจอของล้ำค่าเช่นนี้ นี่เขายังประเมินซูจิ้งต่ำเกินไปสินะ เขาเองก็มีความรู้สึกว่าไม่แปลกใจเลยที่ซูจิ้งจะมีอะไรดีกว่าที่เขาคิดเยอะ
“ล้าน สิบล้าน มีแม้กระทั่งร้อยล้าน” ชายหนุ่มที่ถามชายแว่นถึงกับทำเสียงหายใจกระหืดกระหอบออกมาในทันทีที่ได้ยิน
เฉินฮงและผู้อาวุโสซ่งเมื่อเห็นทุกคนตื่นตาตื่นใจจนทำท่าทางตื่นเต้นออกมาแบบนี้ก็รู้สุขมีความสุขอย่างมาก ขนาดพวกเขาเองก็ยังตกตะลึงตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นด้วยซ้ำ
ในตอนนี้ทั้งสองคนได้เริ่มบรรยายเกี่ยวกับเครื่องลายครามแต่ชิ้น และเมื่อได้ยินเรื่องราวต่างๆจากผู้เฒ่าทั้งสองก็ยิ่งทำให้ผู้ที่เข้าชมเองประหลาดใจมากกว่าเดิม
แน่นอนว่าผู้อาวุโสหวู่ก็ตื่นเต้นด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทันใดนั้น เขาเองก็ได้สะดุดตากับบางสิ่ง นั่นทำให้เขาเดินตัวแข็งทื่อตรงไปยังสิ่งที่สะดุดตาเขาอย่างไว
หลังจากเขานั้นจ้องมองไปยังภาพเขียนพู่กันจีนที่แขวนบนผนังเงียบๆอย่างต้องใจสักพัก เขาก็ได้บ่นพึมพำออกมาว่า “”นี่…มัน…ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถัง…ไม่ใช่เหรอ”
“ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถัง?” เอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนได้ยินคำนี้ถึงกับหูผึ่งและปลีกตัวจากกลุ่มชาวต่างชาติมาตามต้นเสียงในทันที
“ใช่ และทั้งหมดที่แขวนอยู่ตรงนี้เป็นภาพเขียนที่มาจากราชวงศ์ถังทั้งสิ้น” เฉินฮงพูดออกมาพลางพยักหน้าโดยที่ไม่ละสายตาจากภาพเหล่านั้นแต่อย่างใด
“ห้ะ เป็นไปได้ยังไงกัน” ผู้อาวุโสหวู่เองที่ได้ยินดังนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจ เขานั้นได้มองไปรอบๆก็ได้พบภาพเขียนพู่กันจีนจำนวนสิบสองภาพแขวนอยู่บนกำแพง พลางคิดในใจว่าทั้งหมดจากราชวงศ์ถังอย่างนั้นเหรอ
ยุคสมัยราชวงศ์ถังนั้นถือได้ว่าเป็นยุคสมัยที่ผ่านมาช้านานมาก อีกทั้งเกิดสงครามอยู่บ่อยครั้ง และภับพิบัติมานานับประการ นี่ยังไม่รวมถึงการสึกหรอของตัววัสดุอีก แน่นอนว่าการที่จะมีเหลือรอดมายังยุคปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
ขนาดภาพเขียนพูดกันจีนที่เก็บเอาไว้โดยพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเองก็ยังมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น และส่วนใหญ่แล้วนั้นล้วนได้รับความเสียหายมาแล้วทั้งสิ้น
ด้วยการที่เป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่หาได้ยากยิ่ง แน่นอนว่าย่อมเป็นที่ต้องการของนักสะสมเป็นธรรมดา
และในตอนนี้หลักฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ว่า ได้มาปรากฎตรงหน้าจำนวนกว่าสิบสองชิ้น นี่จึงไม่แปลกที่ผู้อาวุโสหวู่จะไม่อยากเชื่อว่าภาพเขียนพวกนี้มาจากสมัยราชวงศ์ถัง
“ไม่ใช่เพียงภาพเดียวแต่มากจนแขวนเต็มกำแพงแบบเนี้ยอ่ะนะ” เอี้ยป๋อพูดออกมาในขณะที่จ้องไปที่ภาพเขียนอย่างไม่ละสายตา
“เป็นไปไม่ได้น่า พี่เฉิน พี่ต้องพูดเล่นแน่ๆ” โจวฉือเซียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสูง
อลัน แอนนา และชายเจาะหูที่ได้ยินเสียงเสียงแปลกๆและพอจับใจความได้ก็ได้รีบเดินเข้ามาหาในทันที พวกเขารู้ถึงความสิ่งที่เป็นประเด็นในทันทีเมื่อเห็นภาพเขียนกว่าสิบสองชิ้นแขวนเอาไว้บนฝาผนัง
ทุกคนที่ตามมาต่างก็ไม่อยากจะเชื่อต่อให้เห็นภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังต่อหน้าตัวเองกว่าสิบสองชิ้นแล้วก็ตาม
พวกเขานั้นหายใจขาดช่วงไปบ้างเล็กน้อยในทันทีที่มีคนอื่นที่รู้เรื่องนี้ดีและได้เข้ามาเห็นแล้วทักออกมาดังลั่น ดูเหมือนว่าเฉินฮงจะพูดความจริงไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด
“เพราะเจ้า นี่มันงานเขียนของโอหยางฉุนไม่ใช่เหรอ หนึ่งในสี่ปราชญ์แห่งยุคคนนั้น!” เอี้ยป๋อได้หยุดยืนตรงหน้าภาพเขียนภาพหนึ่งในทันที
“จริงเหรอ” โจวฉือเซียนที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ตรงไปภาพเขียนที่เอี้ยป๋อพูดในทันทีแล้วทำการจ้องไปยังภาพเขียนดังกล่าว ยิ่งเขามองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตื่นเต้นมากจนเห็นได้ชัดเจนก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่ผิดแน่นี่มันงานภาพของปราชญ์โอหยางฉุน ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นชุดงานเขียนของโอหยางฉุนกับตาตัวเองแบบนี้”
“ภาพนี้ช่างดูวิจิตร พิศดาร ราวกับดูมีชีวิตเลยจริงๆ ฉันไม่เคยได้ยินชื่อของคนๆนี้มาก่อนก็จริงแต่ดูจากกระดาษและภาพทิวทัศน์ที่วาดแล้วประเมินได้ว่าภาพนี้มาจากสมัยราชวงศ์ถังจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นภาพวาดที่สมบูรณ์แบบนี้”
ผู้อาวุโสหวู่ได้พูดออกมาในขณะที่เดินไปจ้องภาพวาดอีกชิ้นหนึ่ง ยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่ก็ยิ่นตื้นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เขานั้นมีความรู้สึกที่ดีต่อภาพวาดไร้นามนี้เป็นพิเศษ หากซูจิ้งนำออกไปมูลเขาคิดว่าต้องได้ราคาสูงอย่างแน่นอน
“ถึงแม้ผู้วาดนี้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนวาดก็ตาม แต่ในภาพนั้นกลับปรากฏภาพขบวนเสด็จของจักรพรรดิ์ไท่ซานแห่งราชวงศ์ถังแบบนี้ทำให้น่าสนใจจริงๆ” หนุ่มแว่นได้จ้องไปที่ภาพๆหนึ่งในขณะที่กระพริบตาถี่ยิบ
“ภาพวาดขบวนเสด็จนี่มีค่าเหรอ” ถึงแม้ว่าชายเจาะหูจะไม่เข้าใจในความลึกซี้งของภาพนี้เขาก็ยังถามออกมา
“ไม่ใช่มีค่าแต่ภาพนี้ประเมินค่าไม่ได้” ชายแว่นพูดออกมา
“พระเจ้า ไม่ใช่ว่าภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังนี่หายากมากไม่ใช่เหรอ ทำไมที่นี่ถึงได้มีภาพวาดเยอะขนาดนี้ได้กัน” อลันพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นในขณะพุ่งมาที่นี่ในทันทีที่เห็นภาพนี้แต่ไกล
ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังนี้แม้แต่ชาวอเมริกันเองก็ยังมีความชื่นชอบอย่างมาก ภาพที่พิพิธภัณฑ์ที่เขาสังกัดอยู่เองก็มีเหมือนกันแต่ว่าพวกมันนั้นไม่สมบูรณ์แต่แค่นั้นก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติได้แล้ว แต่นี่ เพียงพิพิธภัณฑ์เล็กๆแบบนี้กลับมีภาพเขียนหายากเยอะได้ขนาดนี้นี่มัน…
ผู้เข้าชมเองก็เริ่มทยอยเข้ามาดูด้วยความตื่นเต้นเพราะของหลายๆอย่างในนี้พวกเขานั้นไม่ได้มีโอกาสได้เห็นของจริงเลยสักครั้งในชีวิต ที่เขาเคยเห็นพวกนี้ก็เพียงแค่ตอนนั่งจิบชามองผ่านทีวีก็เท่านั้น
แถมยิ่งฟังเรื่องราวต่างๆจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญคุยกันเรื่องภาพเขียนผู้กันจีนสมัยราชวงศ์ถังนี้ได้อีก ถือว่าคุ้มค่าแบบสุดๆ
“นี่เขาต้องจ่ายไปเท่าไหร่ถึงได้หม้อสามสีกับภาพเขียนสมัยราชวงศ์ถังนี่มาได้กันเนี่ย” ตอนนี้หลายๆคนเองก็เริ่มคุยกันเรื่องเงินที่ต้องเสียออกมา
ก็จริงที่ฮัวหยุนชูนั้นจะถือว่าตัวเขานั้นมีดีอยู่กับตัว แต่นั่นเมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วซูจิ้งในตอนนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย คนๆนี้ไม่สามารถดูถูกได้เลยจริงๆ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะมันประเมินได้ยากยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นภาพเขียนพู่กันจีนนี้เองก็ไม่สามารถซื้อขายได้ด้วยเงินเสียด้วยซ้ำ มันประเมินค่าไม่ได้เลยทีเดียว ช่างมันเถอะ เราไปดูอย่างอื่นกัน” หนุ่มแว่นพูดออกมาแต่จริงๆแล้วเขาในตอนนี้แทบจะกลืนน้ำลายไม่ลงแล้ว
นี่เพียงแค่เดินเข้ามาในพื้นที่ส่วนแรกเองนะพวกเขายังตื่นเต้นได้ขนาดนี้ นี่ล้อกันเล่นใช่รึเปล่า หนุ่มแว่นในตอนนี้รู้สึกได้ราวกับว่าพื้นที่ส่วนแรกนี้เป็นเพียงประตูนรกจนทำให้เขาไม่อยากไปต่อเลยทีเดียว