บทที่ 442 เลิก

หลินชิงเหอได้ฟังแล้วจึงกล่าวตอบ “เมื่อทำธุรกิจ เราก็ต้องมีความซื่อสัตย์ เราไม่ปล่อยให้คนของคุณต้องเดินทางไปโดยสูญเปล่าหรอกค่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเราเลย ใครจะไปทำเรื่องที่ร้ายกาจอย่างนั้นได้คะ?”

“พวกคุณดูเป็นคนดี ฉะนั้น ผมจะเชื่อพวกคุณ แต่ถ้าเป็นคนอื่น ผมอาจจะไม่เชื่อหรอกนะครับ” เถ้าแก่ร้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ครั้งนี้หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ซื้อสินค้าอาหารทะเลแห้งจนเต็มรถบรรทุก ของทั้งหมดถูกบรรจุลงในกล่อง เมื่อรวมกันแล้วยอดเงินทั้งหมดที่ซื้อขายกันในครั้งนี้นับเป็นเกือบ 3,000 หยวนทีเดียว!

แม้เถ้าแก่ร้านอาหารทะเลจะทำธุรกิจซื้อขายสินค้ามามาก แต่ครั้งที่มียอดขายถึง 3,000 หยวนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นได้ในทุก ๆ เดือน

“ปูทะเลพวกนี้เพิ่งจะถูกจับมาได้ ผมให้พวกคุณเป็นของขวัญสำหรับการร่วมมือกันในอนาคตครับ” เถ้าแก่อาหารทะเลดีใจมากที่วันนี้ขายได้ในปริมาณมากเช่นนี้ เห็นได้ว่าหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋เป็นคนที่เชื่อถือได้ จึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมไม่รังเกียจที่จะแสดงน้ำใจออกมา

กล่องแช่แข็งที่ใส่ปูมัดไว้ได้ถูกนำมามอบให้

หลินชิงเหอไม่ได้สงวนท่าที เธอรับของและยังขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาเอาไว้อีกด้วย เมื่อใดที่ต้องการสั่งซื้อสินค้า เธอจะโทรศัพท์มาหาเขา

จากนั้นหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็ขับรถออกมา

ระหว่างทาง โจวชิงไป๋ยังคงรู้สึกสับสนอยู่และได้เอ่ยขึ้นว่า “ทำไมอยู่ดี ๆ คุณถึงได้อยากจะเปิดร้านขายอาหารทะเลแห้งล่ะครับ?”

ก่อนจะมาที่นี่ พวกเขาตั้งใจจะมาซื้อสินค้าบางอย่างเพื่อเอากลับไปกินที่บ้านเท่านั้น

หลินชิงเหอยิ้มพลางตอบว่า “เปิดร้านก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงครอบครัวเราก็กินของพวกนี้กันอยู่แล้ว เปิดร้านเอาไว้ที่นั่นเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะคะ”

ของเหล่านี้เป็นสินค้าพิเศษเฉพาะจากทางตอนใต้ ซึ่งหาซื้อได้ยากมากในปักกิ่ง

หลินชิงเหอชอบอาหารทะเลประเภทนี้มาก ทั้งหมดเป็นอาหารทะเลแห้ง ทำให้เก็บไว้ได้ค่อนข้างนาน อีกทั้งกำไรก็ไม่น้อยเลย

โดยปกติแล้วพวกมันจะทำกำไรได้ถึงครึ่งต่อครึ่ง บางอย่างอาจได้กำไรถึง 60%

สินค้าพวกนี้ราคาไม่ถูกเลย แค่ขายให้ได้สัก 2-3 อย่างต่อวัน ในเดือนนั้นพวกเขาก็สามารถทำเงินได้มากแล้ว

นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลินชิงเหอถึงได้เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในตอนนั้นว่าอยากจะทำธุรกิจนี้ ในเวลาที่ครอบครัวต้องการจะกินก็สะดวก อีกอย่างการมีร้านค้าเพิ่มขึ้นก็เป็นผลดีด้วย

ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะได้เข้าไปทำธุรกิจในสาขาที่แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรกับการได้ลองทำธุรกิจหลาย ๆ อย่าง

ครั้งนี้มีทั้งกุ้งแห้ง เปลือกกุ้งแห้งและอื่น ๆ อีกมากมาย พวกมันบรรจุอยู่ในกระบะด้านหลังของพวกเขาจนเต็มคันรถ

เมื่อขับรถบรรทุกมาจนถึงชานเมืองแล้ว หลินชิงเหอก็เก็บรถบรรทุกเข้าไปในมิติ จากนั้นพวกเขาก็ใช้รถจักรยานในการเดินทาง ทั้งคู่ขี่จักรยานมาถึงสถานีรถไฟ จักรยานนั้นเก็บได้ง่าย แค่หามุมสักมุมที่ไม่มีคนแล้วก็เก็บมันเข้าไปในมิติก็ได้แล้ว

ในยุคนี้ยังไม่มีกล้องวงจรปิดหรืออะไรคล้าย ๆ อย่างนั้น ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว

เมื่อขึ้นมาบนรถไฟแล้ว พวกเขาก็ตรงไปยังที่นั่งของตนเอง

หลังจากต้องทำเรื่องต่าง ๆ มามากมาย หลินชิงเหอจึงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก และนอนหลับไปกับโจวชิงไป๋

เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาก็ยังเดินทางไปไม่ถึง รถไฟไม่ได้แล่นช้า แต่ก็ไม่ได้แล่นเร็วเช่นกัน จะต้องใช้เวลาในการเดินทางเกือบ 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การเดินทางจากปักกิ่งไปหยางเฉิงนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดถึง 4 วันเต็ม ๆ มีช่วงพักในระหว่างทางด้วย กระนั้นก็ไม่สามารถจะพูดได้เลยว่ามันไม่ไกล

ถึงอย่างไรการคมนาคมขนส่งก็ยังไม่พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองเหมือนในยุคต่อมา

เมื่อมาถึงเมืองเทศบาลมณฑลแล้ว หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็หาบ้านพักรับรองแขกและอาบน้ำให้รู้สึกสบายตัว หลังจากเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและผ้านวมแล้ว จึงได้เข้านอน

ทั้งคู่นอนหลับไปจนกระทั่ง 8 โมงเช้าในวันรุ่งขึ้นถึงตื่นนอน

หลินชิงเหอซึ่งนอนหาวอยู่ในอ้อมกอดของโจวชิงไป๋พูดขึ้น “ในอนาคตเมื่อร่ำรวยแล้ว เราก็ไม่ต้องหัวหมุนกันแบบนี้อีกแล้วล่ะค่ะ”

จนถึงตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาก็ดูเหมือนจะมีทรัพย์สินมากมาย แต่การจะพูดว่าพวกเขาร่ำรวยนั้นยังเร็วเกินไป

“พอเปิดร้านขายอาหารทะเลแห้งร้านนี้แล้ว ปีหน้าเราจะไม่มาทางใต้กันอีกแล้วนะครับ” โจวชิงไป๋พูด

“จะทำอย่างนั้นได้ยังไงคะ?” หลินชิงเหอชะงักงันไปชั่วขณะ จากนั้นจึงมองไปที่เขา

เป็นความจริงที่มันเหนื่อย แต่ม้าที่ไม่ได้กินหญ้าตอนกลางคืนจะอ้วนพีได้อย่างไร คนเราไม่สามารถร่ำรวยได้ถ้าไม่ได้เงินลาภลอยเสริมเข้ามา แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่การเดินทางมาตอนใต้ในครั้งนี้ ก็สามารถทำกำไรได้เกือบ 40,000 หยวนเลยทีเดียว

เงิน 40,000 หยวนที่ได้ในครั้งนี้มันหมายถึงอะไรน่ะหรือ?

ร้านเสื้อผ้าและร้านเครื่องดื่มของเธอดูเหมือนจะเป็นธุรกิจที่ไปได้ดีมาก และได้กำไรสูง แต่หลังจากที่หักต้นทุนค่าแรงในแต่ละเดือนแล้ว มันจะได้มากสักเท่าไหร่กันในแต่ละเดือน?

ถึงแม้มันจะเหนื่อยไปสักนิด แต่พวกเขาจะไม่อยากได้เงินที่ได้มาง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไร?

“ต่อไปธุรกิจที่เราทำจะดีมาก อีกอย่างเราก็ซื้อเรือนสี่ประสานกันมาแล้ว อย่าทำมันอีกต่อไปเลยนะครับ” โจวชิงไป๋กล่าว

หลินชิงเหอนิ่งอึ้งไปสักพัก เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้ว เธอก็ลังเล

ความจริงโจวชิงไป๋ไม่อนุญาตให้ทำเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะเธอต้องการจะทำ เขาจึงทำตามเธอ

ที่เขาตกลงเห็นด้วยก็เพราะสภาพครอบครัวในตอนนั้นอยู่ในระดับปานกลาง และจำเป็นต้องเลี้ยงดูพวกเด็ก ๆ ให้ดี

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ครอบครัวมีฐานะดีแล้ว เกินกว่าคำที่ว่ากินดีอยู่ดีอย่างแท้จริง

“ร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องดื่ม กับร้านขายอาหารทะเลแห้งร้านนี้ แล้วยังมีร้านเกี๊ยวของผมด้วย ถ้าบริหารจัดการร้านค้าเหล่านี้ให้ดี ก็จะรายได้มากขึ้นและมีเงินใช้ไม่ขาดมือหรอกครับ” โจวชิงไป๋เอ่ยต่อ

หลินชิงเหอมองหน้าเขา โจวชิงไป๋ก็มองกลับมาที่ภรรยาของตนเช่นกัน

“จะเลิกจริง ๆ หรือคะ?” หลินชิงเหอมองเขาด้วยสายตาผิดหวัง

“ในอนาคต ครอบครัวเราจะไม่มีวันขาดเงินหรอกครับ ผมจะขึ้นราคาเกี๊ยวอีกครั้ง การจะทำเงินได้ถึง 500 หยวนต่อเดือนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” โจวชิงไป๋บอกอย่างจริงจัง

ในตอนแรก หลินชิงเหอรู้สึกค่อนข้างผิดหวัง แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ จึงตอบกลับไป “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ขึ้นราคาซะนะคะ มันจำเป็นต้องขึ้นราคาแล้วล่ะ”

“เลิกใช่ไหมครับ?” สายตาของโจวชิงไป๋ยังคงมองมาที่เธอ

“ก็คุณบอกว่าเลิก งั้นก็เลิกเถอะค่ะ ฉันจะเชื่อฟังคุณ” หลินชิงเหอตอบพร้อมกับทอดกายลงไปในอ้อมแขนของเขา

อันที่จริงแล้ว ด้วยลักษณะนิสัยของเขา การที่เขารับปากยินยอมให้เธอเป็นผู้ค้ากำไรในตลาดมืดตั้งแต่แรกก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมาทำร่วมกับเธออีกหลายปีด้วย แต่ในเมื่อเขาอยากจะเลิกตอนนี้ เช่นนั้นก็เลิก

อย่างไรเสีย เธอก็ซื้อเรือนสี่ประสานเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งยังมีร้านค้า 5 แห่งและบ้านหลังที่ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวอาศัยอยู่ด้วย บ้านนั้นก็เป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้ชื่อของเธอกับชิงไป๋

นอกจากนี้ยังมีเงินเก็บอีกจำนวนมาก ธุรกิจของร้านค้าต่าง ๆ ก็มีความมั่นคง ดังนั้นหลินชิงเหอจึงรู้สึกว่าการปล่อยโอกาสในการหาเงินเช่นนี้ไป ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

มันไม่เป็นอะไรหรอก ตราบใดที่ชิงไป๋ของเธอไม่ต้องรู้สึกวุ่นวายใจกับมัน

“ถ้าฉันเป็นฮ่องเต้ ก็ดูเหมือนจะเป็นฮ่องเต้ที่ไม่ฉลาดนักนะคะเนี่ย” หลินชิงเหอพูดพลางทอดถอนใจ

โจวชิงไป๋หันไปมองที่เธออย่างตั้งคำถาม หลินชิงเหอจึงอธิบายต่อ “ฉันทิ้งเงินไปตั้งมากมายเท่าไหร่เพื่อคุณล่ะคะ ตาแก่?”

“ไม่แก่ครับ” โจวชิงไป๋พลิกตัวขึ้นมาอยู่บนตัวเธอ

หลินชิงเหอหน้าแดงระเรื่อแล้วพูดว่า “นี่มันเกือบได้เวลาที่ต้องลุกขึ้นแล้วนะคะ”

“อีกเดี๋ยวก็ได้ครับ ไม่รีบ” โจวชิงไป๋หัวเราะ

ความ ‘ไม่รีบ’ นี้ต่อเนื่องไปจนถึงตอนเที่ยง พวกเขากินอาหารกลางวันที่นั่น ก่อนที่จะขึ้นรถไปอำเภอตอนเวลาบ่ายโมง

ตอนที่มาถึงอำเภอ ก็เป็นเวลาเกือบจะบ่าย 3 โมงแล้ว

พวกเขาหาสถานที่เพื่อจะนำมอเตอร์ไซค์และน้ำมันของพี่ชายสามออกมาจากมิติ จากนั้น ทั้งคู่ก็เดินทางไปที่ร้านของพี่ชายสามก่อน

เมื่อมาถึงที่ร้าน พี่ชายสามและสะใภ้สามอยู่ที่ร้านพอดี

หลินชิงเหอเกือบจะหลุดปากหัวเราะออกมา เมื่อได้เห็นสภาพร่างกายที่ผอมและตัวดำคล้ำของพี่ชายสาม เขาแทบกลายเป็นลิงไปแล้ว

“อาสี่ น้องสะใภ้สี่” ดวงตาของพี่ชายสามเป็นประกาย เมื่อได้เห็นทั้งคู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่พวกเขาขี่มา เขาจึงรีบเดินออกมาหาอย่างรวดเร็ว

“ฉันกำลังพูดอยู่เลยจ้ะว่าพวกเธอน่าจะมาถึงเร็ว ๆ นี้ เรารอพวกเธอกันมาตั้งนาน คืนนี้ต้องมากินข้าวที่บ้านเรานะจ๊ะ ฉันจะเชือดไก่เลี้ยง!” สะใภ้สามที่เดินตามออกมากล่าวขึ้น

…………………………………………………………………………………