บทที่ 443 สวมเสื้อผ้าไหมกลับบ้านเกิด

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 443 สวมเสื้อผ้าไหมกลับบ้านเกิด

หลินชิงเหอก็ไม่ได้แสดงท่าทางเกรงใจกับหล่อนเช่นกัน และตอบกลับไปว่า “ตกลงค่ะ คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงในครอบครัวกัน”

“อาสี่ น้องสะใภ้สี่ พวกเธอซื้อมอเตอร์ไซค์คันนี้มาให้ฉันใช่ไหม?” พี่ชายสามอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

“ค่ะ พี่คิดว่าเป็นยังไงคะ?” หลินชิงเหอพยักหน้า

“พี่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นหรือเปล่าครับ?” โจวชิงไป๋ซึ่งหยิบถังน้ำมันลงมาเอ่ยถามขึ้น

“ยังไม่เป็นเลย สอนฉันหน่อยสิ” พี่สามพูด

โจวชิงไป๋สอนให้เขาเติมน้ำมันก่อน จากนั้นจึงพาเขาออกไปขี่มอเตอร์ไซค์ ส่วนหลินชิงเหอและสะใภ้สามพากันเดินเข้าไปในบ้าน

“น้องสะใภ้สี่ ค่ามอเตอร์ไซค์กับน้ำมันเท่าไหร่จ๊ะ? พี่จะไปหยิบเงินมาให้” สะใภ้สามถามอย่างร่าเริง

“จะรีบไปทำไมคะ? ไม่ใช่ฉันจะกลัวว่าพี่จะไม่มีเงินให้เสียหน่อย” หลินชิงเหอหัวเราะออกมา เมื่อสังเกตเห็นว่าโจวอู่นีไม่ได้อยู่ในร้านด้วย เธอจึงเอ่ยปากถาม “อู่นีไปไหนล่ะคะ? หล่อนไม่กลับมาในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนหรือคะ?”

“ไม่ได้กลับมาหรอกจ้ะ ได้ยินว่าหล่อนจะเรียนอยู่ที่นั่นพร้อมกับหยางหยาง พี่ก็เลยตามใจให้หล่อนได้ทำอะไรตามที่อยากจะทำน่ะจ้ะ” สะใภ้สามอธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หล่อนรินน้ำให้หลินชิงเหอ จากนั้นก็เข้าไปหยิบเงินออกมาให้ทั้งหมด 900 หยวน แต่ราคาจริงไม่ได้มากขนาดนั้น หลินชิงเหอจึงหยิบเงินเฉพาะค่ามอเตอร์ไซค์และค่าน้ำมันออกมาและคืนเงินส่วนที่เหลือกลับไปให้

“คราวก่อน มีลูกค้าขี่มอเตอร์ไซค์มาซื้ออาหาร พวกเราเลยถามราคา เขาบอกว่าเพื่อนของเขาช่วยซื้อกลับมาให้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,000 หยวนแน่ะจ้ะ” สะใภ้สามเอ่ย

“ซื้อจากที่นั่นแล้วนำกลับมาขายที่นี่ในราคาประมาณ 1,000 หยวน ก็นับว่าเพื่อนของเขาไม่ได้ขูดรีดเขามากเกินไปนักหรอกค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม

“เรารู้จ้ะว่าเธอกับน้องสี่คอยดูแลเรา ถึงยอมกัดฟันซื้อมันมา” สะใภ้สามอธิบาย

“พี่คิดถูกแล้วค่ะที่ซื้อ ครั้งนี้ฉันเห็นพี่สามดำขึ้นและก็ผอมมากกว่าปีที่แล้วอีกค่ะ นี่ไม่ใช่วิธีที่ควรทำในการหาเงินเลยนะคะ” หลินชิงเหอกล่าว

สะใภ้สามจึงเอ่ยว่า “ถึงเขาจะดำและผอมยังไง ก็ดีกว่าตอนที่เขายังทำนาอยู่นั่นแหละจ้ะ งานในทุ่งนาเป็นความทุกข์ทรมานของแท้เลยละ ปีนี้ผลผลิตที่นี่ก็ไม่ดีด้วยนะ”

หลินชิงเหอหยิบถุงลูกกวาดและนมผง 2 กระป๋องออกมาจากกระเป๋าสำหรับให้หลานชายและหลานสาวของตน พลางถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?”

“ปีนี้ฝนตกหนักมากเลยล่ะจ้ะ เก็บเกี่ยวพืชผลในช่วงการเก็บเกี่ยวฤดูร้อนกันไม่ได้เลย โชคดีนะที่เป็นตอนนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ผู้คนจะต้องอดตายกันมากมายเลยล่ะจ้ะ” สะใภ้สามกล่าว

“มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยหรือคะ? ฉันคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ทางโทรศัพท์ ไม่เห็นหล่อนเอ่ยถึงเลย” หลินชิงเหอพูด

“หล่อนน่าจะกลัวว่าทำให้เธอต้องเป็นกังวลน่ะจ้ะ แต่ไม่เป็นไรแล้ว มันเกิดแค่ใน 2 อำเภอและในเขตรอบ ๆ เราเท่านั้น ยังพอมีอาหารที่ถูกส่งมาจากที่อื่นอยู่ พวกเราไม่ได้อดอยากอะไรเลย” สะใภ้สามตอบ

นี่คือสิ่งที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปที่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศในการผลิตอาหารต้องเผชิญ มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกเลยจริง ๆ โชคดีที่เป็นปัจจุบันนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นในช่วงก่อนหน้านี้ พวกเขาจะไปหาซื้ออาหารกันได้จากที่ไหน?

“แล้วทางซานนีล่ะคะเป็นยังไงบ้าง?” หลินชิงเหอนึกขึ้นได้จึงถามขึ้น

“หล่อนก็กำลังแย่เหมือนกันจ้ะ ปีนี้หลี่อ้ายกั๋วพาซานนีไปที่โรงพยาบาล” สะใภ้สามตอบ

“เกิดอะไรขึ้นคะ?” หลินชิงเหอ

“สภาพร่างกายของซานนีไม่ดีเลยละจ้ะ” สะใภ้สามเล่าเสียงเบาให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องประจำเดือนที่มาไม่เป็นปกติของซานนี ตอนท้ายหล่อนก็ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ว่าไปแล้วทำไมเด็กสาวที่ดีแบบนี้ถึงได้มีสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ได้ถึงขนาดนั้นกันนะ? หมอบอกว่าหล่อนเป็นโรคโลหิตจางจำเป็นต้องได้รับการรักษา ไม่อย่างนั้นต่อไปจะมีลูกยาก”

ตอนที่โจวซานนีและหลี่อ้ายกั๋วแวะมาหาที่นี่ สะใภ้สามได้เห็นหล่อน ใบหน้าของโจวซานนีขาวซีด ราวกับคนไม่มีชีวิต ผู้ที่ได้พบเห็นหล่อนแทบจะทนดูไม่ได้

“แล้วทางหลี่อ้ายกั๋วมีปฏิกิริยายังไงคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ดีมากทีเดียวจ้ะ ไม่แปลกใจเลยที่พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าเขาดี” สะใภ้สามตอบ “เขาแค่พูดว่า เมื่อรักษาหายดีแล้วก็จะไม่เป็นอะไร เขาไม่ได้พูดอย่างอื่นอีกเลย แต่พี่คิดว่าในใจของซานนีต้องกำลังคิดมากในเรื่องนี้อยู่ เธอก็รู้ว่าหล่อนมักจะเก็บงำทุกอย่างเอาไว้ในใจเสมอ”

“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในตอนที่หล่อนแต่งงานออกไป ไม่มีใครจะรู้สึกมีความสุขได้หรอกค่ะ” หลินชิงเหอแสดงความเห็น

ภัยธรรมชาติทำลายการเก็บเกี่ยวพืชผลและทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่อ่อนแอ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคร้าย

“พี่คิดว่า หลี่อ้ายกั๋วมีความตั้งใจอยากจะมาเปิดร้านค้าในอำเภอนะจ๊ะ” สะใภ้สามเอ่ย

คำพูดนี้ทำให้หลินชิงเหอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เขาอยากจะมาเปิดร้านที่นี่หรือคะ?”

เดิมทีเธอก็ต้องการจะแนะนำเรื่องนี้กับหลี่อ้ายกั๋วและโจวซานนีอยู่แล้ว ไม่คิดว่า พวกเขาก็มีความคิดอย่างเดียวกัน

“พี่คิดว่าพวกเขาต้องการทำอย่างนั้น แต่การเปิดร้านไม่ใช่เรื่องง่าย จะเช่าร้านก็ดูไม่เหมาะนัก แต่ถ้าจะซื้อร้านก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ส่วนเรื่องของการไปรับซื้อสินค้ามาขาย ก็ไม่สะดวกสำหรับหลี่อ้ายกั๋วอีกน่ะจ้ะ” สะใภ้สามอธิบายให้ฟัง

แม้ว่าหลี่อ้ายกั๋วจะไม่ได้เกิดมามีขาพิการ แต่ขาและเท้าของเขาก็อยู่ในสภาพที่แย่มากจริง ๆ การที่จะให้พี่ชายสามแนะนำการทำธุรกิจกับหลานเขยคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหา แต่ต้องกล่าวว่าพี่สามผู้ซึ่งมีขาและเท้าที่สมบูรณ์แข็งแรงยังรู้สึกว่าพลังชีวิตของเขาสูญสลายไปมากจากการที่ต้องเดินทางไปกลับระหว่างอำเภอกับชนบททุกวัน ฉะนั้นด้วยสภาพร่างกายของหลี่อ้ายกั๋วแล้ว เขาจะสามารถทำได้อย่างไรกัน?

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรอีก เนื่องจากสิ่งที่สะใภ้สามหยิบยกขึ้นมาพูดคือปัญหาในเรื่องนี้ทั้งสิ้น

“ธุรกิจที่ร้านเป็นยังไงบ้างคะ?” หลินชิงเหอมีความคิดบางประการอยู่ในใจ แต่ยังคงลังเลอยู่ ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนเรื่องพูด

สะใภ้สามหัวเราะ “ธุรกิจปีนี้ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงแล้ว ธุรกิจยังดีอยู่ค่อนข้างมากเลยละจ้ะ”

เนื่องจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ในตอนนั้นหาสินค้ามาขายได้ไม่มากนัก แต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มดีขึ้น พี่ชายสามตามน้องชายสามตระกูลหลินไปรับปลาและกุ้งจำนวนมากกลับมาขาย และช่วยชดเชยธุรกิจที่ขาดหายไปในช่วงเวลาที่ไม่มีผักและผลไม้มาขายได้

ทว่าตอนนี้เรื่องได้ผ่านไปแล้ว ผักและผลไม้ทยอยออกสู่ท้องตลาดมากมายต่อเนื่อง ยิ่งในตอนนี้มีมอเตอร์ไซค์แล้ว ในอนาคตพวกเขาคงจะไม่แย่ลงไปกว่านี้แน่

“อ๋อ แล้วปีนี้น้องเล็กกับน้องเขยจะกลับมาไหม?” สะใภ้สามถาม

“ยังไม่แน่เลยค่ะ” หลินชิงเหอส่ายหน้า

“ปีนี้เราซื้อบ้านแล้วนะจ๊ะ ถึงจะเล็กไปสักหน่อย เรากำลังวางแผนย้ายเข้าไปอยู่ในอีกไม่นานนี้แล้วละจ้ะ” สะใภ้สามกล่าว

หลินชิงเหอยิ้ม “พี่ซื้อบ้านแล้ว”

“เป็นอะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ไม่ค่อยกว้างขวางเท่าไหร่น่ะ” สะใภ้สามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมพี่ไม่ซื้อแบบที่มีสวนด้วยล่ะคะ?” หลินชิงเหอถาม

“มันแพงเกินไปน่ะจ้ะ” สะใภ้สามส่ายศีรษะ

หลินชิงเหอได้พูดทุกสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ในเมื่อสะใภ้สามคิดว่ามันแพงเกินไป เธอจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

“น้องชายกับน้องสะใภ้ของเธอซื้อบ้านแบบที่มีสวนด้วย ถึงสถานที่จะไม่เล็ก แต่พี่ก็คิดว่าไม่คุ้มค่า มันราคาตั้ง 1,800 แน่ะ!” สะใภ้สามพูด

ราคามันแพงเกินไป บ้านแบบที่มีสวนต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก และสภาพของบ้านก็ค่อนข้างจะทรุดโทรม พวกเขาจะต้องมาปรับปรุงบ้านใหม่เอง ซึ่งนั่นก็ต้องใช้เงินอีกเช่นกัน

สรุปแล้ว หากพวกเขามีเงินไม่ถึง 2,000 หยวน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อมันได้

“พี่ซื้ออะพาร์ตเมนต์มาราคาเท่าไหร่คะ?” หลินชิงเหอถาม

“ประมาณ 900 จ้ะ ถึงตัวตึกจะเก่าไปสักนิด แต่ก็ไม่เป็นไร พี่สามของเธอกับพี่ตั้งใจไว้ว่าจะกลับไปสร้างบ้านแบบที่กว้างขวางหน่อยที่หมู่บ้าน เอาแบบที่คล้าย ๆ กับของพี่สะใภ้ใหญ่ เธอยังไม่ได้เห็นมันสินะ บ้านแบบนั้นน่ะจะเป็นหน้าเป็นตาได้มากกว่า” สะใภ้สามกล่าวยิ้ม ๆ

เอาล่ะ หลินชิงเหอเข้าใจแล้วว่ามันเป็นการสวมเสื้อผ้าไหมกลับบ้านเกิด(1) พวกเขาอยากกลับไปสร้างบ้านที่บ้านเกิดเพื่อให้คนในหมู่บ้านอิจฉา

แต่เธอคิดว่าในอนาคตแล้วมันไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ พวกเขาจะต้องพักอยู่ในเมืองกันเป็นส่วนใหญ่ และจะได้กลับไปที่นั่นเพียงไม่กี่ครั้งต่อปีเท่านั้น เมื่อสร้างเสร็จแล้ว บ้านก็จะถูกปล่อยทิ้งไว้ให้ว่างเปล่า

………………………………………………………………………………………..

(1) หมายถึง คนที่จากบ้านเกิดไปแล้วประสบความสำเร็จ จะกลับมาที่บ้านเกิดด้วยความมีเกียรติ

สารจากผู้แปล

แง…ซานนีอย่าเป็นอะไรไปเลยนะ สงสารหนู ชีวิตตอนเด็กก็ลำบากมากแล้ว ขอให้หนูได้ใช้ชีวิตตอนโตแบบมีความสุขไม่เจ็บไม่ป่วยบ้างเถอะ

สะใภ้สามจะซื้อบ้านใหม่ แม่จะแนะนำอะไรไหมนะ

ไหหม่า(海馬)