เดิมทีเขาเดินอยู่บนถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหิน ก็ประสบกับทางแยกหลายแห่ง ทั้งหมดล้วนสงบเงียบเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้น ณะที่เท้าหนึ่งของเขาเหยียบลงไปบนหินแผ่นหนึ่งนั้นเอง แผ่นหินก็ยุบจมลงไปในทันใด พลังดูดกลืนขุมหนึ่งทำงานบนร่าง แล้วดูดกลืนตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไป หลังจากนั้นแผ่นหินก็กลับคืนสู่สภาพเดิม กลับไปเป็นถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหินตามปกติ
และที่ส่วนลึกใต้ดิน ในห้องลับใต้ดินอันลึกล้ำแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงร่วงหล่นลงมาถึงที่นี่ เขาลุกขึ้นยืนแล้วสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวัง
“ผู้แกร่งกล้า ‘หยวน’ ระดับสูงผู้นั้น ต่อให้อยากจะให้โอกาสกับผู้อ่อนแอ ก็ยังวางกับดักอันหนักหน่วงเอาไว้อยู่ดีนั่นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ เจ้าเมืองหลัวใจกว้างเพียงใด ถึงกับส่งมอบเมล็ดพันธุ์บุปผาโลกาให้กับตน แน่นอนว่าหนึ่งคือเดิมทีตนกับเจ้าเมืองหลัวก็รู้จักกันอยู่แล้ว สองก็คือบ้านเกิดของตนกำลังเข้าใกล้มหาวินาศอย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองหลัวจึงได้มอบของกำนัลให้
“ถ้าหากตอนนั้นคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ บางทีอาจจะง่ายดายกว่ามากแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มกับตนเองคราหนึ่ง
เขามิได้นึกเสียใจเลย
ถึงอย่างไรตอนนั้นที่กลับชาติมาเกิดยังดินแดนจิตโลกา เขาก็ไม่มีทางทำนายได้อยู่แล้วว่าตนเองจะสามารถคิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ออกมาได้! ถ้าหากคาดการณ์ได้ว่าตนจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาก็จะมีความมั่นใจว่าหลังจากที่เข้าสู่แก่นสำคัญของสกุลฝานแล้วจะสามารถสะสมความดีความชอบได้มากพอสำหรับการแลกเปลี่ยนเป็นเคล็ดร่างแยกแล้ว
น่าเสียดายที่แม้กระทั่งระดับขั้นเช่นเขาก็ยังมิอาจทำนายความสำเร็จในอนาคตของตนเองได้เลย
ดังนั้นเขาจึงได้เลือกท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา! ได้เคล็ดร่างแยกมาไว้ในมือแต่เนิ่นๆ
“วังเทพจิตโลกา ผันผวนมิอาจคาดเดาได้! ต่อให้หารูปแบบบางอย่างออกมาได้ คิดจะได้รับสมบัติล้ำค่ามาก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในจุดนี้ การจะได้สมบัติล้ำค่าของวังเทพจิตโลกามานั้นเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง ‘หยวน’ ย่อมไม่มีทางให้เด็กรุ่นหลังเหล่านี้ได้สมบัติล้ำค่าไปง่ายๆ อยู่แล้ว
“ถึงแม้ว่าข้าจะเคลื่อนไหวด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดก็ยังพูดได้ยากเลย”
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกเทพเมฆาแดงเอาไว้ในมือ เดินภายในห้องลับใต้ดินอย่างระมัดระวัง
อ้างอิงจากข้อมูลที่ท่านอาจารย์ให้ตนมา ห้ามเหินบินที่วังเทพจิตโลกา! ห้ามหลบหนีไปง่ายๆ! มีเส้นทางก็ต้องเดินตามเส้นทาง มีบันไดก็ต้องเดินตามบันได เช่นนี้ก็จะปลอดภัยกว่า…กล้าเหินบินเช่นพวกจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และมหาเคารพฝูอี่นั้นคือผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่ง มีความมั่นใจว่าสามารถต่อกรกับภยันตรายต่างๆ นานาได้
นอกจากระดับขั้นสุดยอด แม้กระทั่งบรรดามหาเคารพ ก็ยังต้องเดินตามทางไปอย่างซื่อสัตย์
“สถานที่แห่งนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามรับสัมผัสรอบด้าน แต่กลับสามารถสัมผัสได้เพียงแค่พลานุภาพอันยิ่งใหญ่มหาศาลแผ่ปกคลุมไปทุกทิศทุกทาง อาณาบริเวณที่ตนสามารถรับสัมผัสได้นั้นน้อยนิดยิ่งนัก แผ่วงกว้างกว่านี้ก็ถูกสกัดกั้นเสียแล้ว
เดินมาตลอดทาง
“สวบๆๆ”
เดินมาครึ่งชั่วยามก็ยังคงอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินอันมืดหม่นเช่นเดิม เพียงแต่ด้านหน้าพลันมีเสียงดังขึ้นในทันใด
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตัวระแวดระวัง
แมลงที่มีเปลือกแข็งสีดำเป็นมันเงาพุ่งตรงออกมาจากบนกำแพงอุโมงค์ด้านข้าง ดวงตาเล็กทั้งสองจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเพียงแค่ไม่กี่ร้อยลี้เท่านั้น สำหรับระดับเทพจักรวาล ระยะทางเช่นนี้นับว่าแสนสั้นยิ่งนัก! แต่ก่อนหน้าที่มันจะพุ่งออกมาจากกำแพงอุโมงค์ เขตพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สังเกตพบเลยแม้แต่น้อย
พรึ่บ
มันหายตัวไปในทันใด แล้วพร้อมกันนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง กรงเล็บทั้งสองฉีกทึ้งทรวงอกของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่เงาร่างนี้กลับค่อยๆ เลือนหายไป
“รวดเร็วเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวเอาไว้ในมือ แต่กลับปรากฏตัวขึ้นยังอีกแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าแรงกดดันทั่วทั้งวังเทพจิตโลกาต่างก็ร้ายกาจจนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แม้จะอาศัยหอกเทพ เขตพลังเมฆาแดงของเขาก็ยังรักษาอาณาบริเวณไว้ได้เพียงแค่ร้อยลี้เท่านั้น แต่ก็เพียงพอสำหรับหลบเลี่ยงการโจมตีของตัวด้วงอันแปลกประหลาดนี้แล้ว
“ตัวด้วงนี่ช่างรวดเร็วยิ่งนัก เหนือกว่าข้าเสียอีก! ดูเหมือนว่าพลังการโจมตีจะไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการคาดเดาออกมาในทันที
ตัวด้วงสีดำพลันกางปีกที่มีเปลือกแข็งออกมา
เปรี้ยงๆ สายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบ
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ความเร็วของตัวด้วงสีดำพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งแล้วโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่ง
“ฟึ่บ”
ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถอาศัยเขตพลังเมฆาแดงหลบหลีกได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่มีความรวดเร็วจนชวนให้คนตกใจ หนีห่างไปร้อยลี้… ก็มิได้มีประโยชน์มากมายสักเท่าใดเลย โรมรันกันเพียงแค่สามครั้ง กรงเล็บของตัวด้วงสีดำก็ปะทะเข้าด้วยกันกับหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิง ตัวด้วงสีดำถูกทำให้ตกใจกลัวจนถอยหลังไป ดวงตาเล็กจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเอาเป็นเอาตาย
“โฮก…” ทันใดนั้นมันก็ส่งเสียงคำรามอันทรงพลังอย่างยิ่งออกมา
ฉึกๆๆ… เพียงไม่นาน บริเวณรอบๆ ก็มีเสียงฉึกๆๆ ดังลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน
ทันใดนั้นทุกบริเวณบนกำแพงอุโมงค์ใต้ดินก็มีตัวด้วงสีดำเจาะออกมา ตัวด้วงสีดำหลายร้อยตัวแน่นขนัดอยู่ที่ตำแหน่งต่างๆ กันในอุโมงค์ใต้ดินเส้นนี้
“ข้าเพิ่งจะเข้ามาที่วังเทพจิตโลกาเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความผ่อนคลายสบายใจดังเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังมีกะจิตกะใจอยากศึกษาพลังยุทธ์ของตัวด้วงสีดำ แต่ในตอนนี้… สิ่งที่เขาคิดก็คือไม่ว่าอย่างไรก็อย่าถูกตัวด้วงสีดำเหล่านี้ขับออกไปจากวังเทพจิตโลกาเป็นอันขาด
อ้างอิงจากข้อมูล
เมื่อใดที่ต้านทานภยันตรายภายในวังเทพจิตโลกาเอาไว้ไม่อยู่ ก็ต้องถูกเคลื่อนย้ายส่งตัวออกไป การผจญภัยภายในวังเทพจิตโลกาในคราวนี้ก็นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว
แต่เขาก็ไม่ยอมจำนนใจรับความพ่ายแพ้เช่นนี้
“พรึ่บ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้วจริงๆ อาศัยอาภรณ์ราชันย์มารสำแดงเขตลวงโลกเทียมอย่างสุดแรงเขตลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลแผ่ปกคลุมทุกทิศทุกทาง ทันใดนั้นตัวด้วงสีดำเหล่านี้แต่ละตัวก็เริ่มปวดเศียรเวียนเกล้าราวกับเมามายก็มิปาน จากนั้นแต่ละตัวก็ร่วงหล่นลงบนพื้น ไม่มีแรงต้านทานอีกต่อไป! อีกทั้งพวกมันแต่ละตัวยังติดกับลงไปในส่วนลึกใต้ดินอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงแล้วหายลับไปต่อหน้าต่อตาในทันใด
“ยังดีที่เขตลวงโลกเทียมยับยั้งพวกมันเอาไว้ได้พอดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
เขตลวงโลกเทียมก็คือหนึ่งในท่าไม้ตายสำคัญของเขา
ถึงอย่างไรต่อให้เป็นมหาเคารพ ก็เพียงแค่อาศัยสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าจึงได้มีพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งเช่นนั้น วิญญาณก็มิได้มีความแตกต่างกับเทพจักรวาลชั้นที่สองเลย เผชิญกับเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิง โดยทั่วไปแล้วต่างก็ต้องแบ่งพลังจิตมาบางส่วน ไม่สามารถสำแดงพลังยุทธ์ที่กล้าแกร่งที่สุดออกมาได้
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองหมื่นปีเศษแล้ว
“ข้า ข้าออกมาแล้ว”
ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นแสงสว่างลอยเข้ามาตรงหน้า ด้วยวิสัยทัศน์ของเขาก็สามารถมองเห็นหุบผาอันกว้างใหญ่ภายนอกผ่านจุดสิ้นสุดของอุโมงค์ทางเดินที่อยู่ไกลออกไปได้ในทันใด
ถึงแม้ว่าเขาจะตื่นเต้น แต่ก็ยังเดินเข้าไปยังส่วนสุดท้ายของอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
ยามที่เดินออกมาจากปากถ้ำ จิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อดที่จะตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่งมิได้
“ติดอยู่ใต้ดินมาตลอดสองหมื่นกว่าปีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอุโมงค์ทางเดินด้านหลังปราดหนึ่ง อุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้ราวกับไร้ซึ่งขอบเขต มีภยันตรายต่างๆ นานา ตนเองทุ่มเทสุดชีวิตคิดหาทุกวิธี ถึงขนาดที่สำแดงวิธีการที่เสี่ยงชีวิตบางอย่างออกมาเลยทีเดียว จึงได้โชคดีมีชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้ได้
“เคราะห์ดีที่ก่อนข้าจะมาที่วังเทพจิตโลกา ได้แลกเปลี่ยนวัสดุสองชิ้นนั้นกับท่านอาจารย์มาก่อนแล้ว และได้บำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ไปจนถึงชั้นที่สิบสองอันสมบูรณ์แล้วด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ถ้าหากมิใช่เพราะมีกระบวนท่าที่พึ่งพาได้ เกรงว่าข้าก็คงจะถูกขับไล่ออกไปจากใต้ดินนั้นแล้ว”
ทุกครั้งที่เปิดวังเทพจิตโลกาต่างก็มีผู้เข้ามาเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าส่วนมากต่างก็มีผู้หนุนหลังทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่มีผู้หนุนหลังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ แต่ผู้ที่มีผู้หนุนหลังและมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานสนับสนุนข้อมูลโดยละเอียดให้แล้วได้รับประโยชน์เป็นอย่างมากโดยแท้จริงอย่างมนุษย์น้ำแข็งก็มีน้อยเป็นที่สุดอยู่ดี
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นหุบผาขนาดใหญ่และสะพานแขวนข้ามหุบผาเส้นหนึ่งตรงหน้าแล้ว
เขาเดินไปตามทางเล็ก มุ่งหน้าไปยังปากสะพานแขวนอย่างรวดเร็ว
อ้างอิงจากข้อมูลประสบการณ์ที่ท่านอาจารย์มอบให้…ที่วังเทพจิตโลกานี้ หากพบทางก็เดินตามทาง หากพบสะพานก็เดินข้ามสะพาน หากพบบันไดก็เดินบนบันได! ในท้ายที่สุดแล้วหากทำตามความตั้งใจของบุคคลที่ก่อตั้งวังเทพจิตโลกาผู้นั้น เช่นนั้นก็น้อยนักที่จะประสบเคราะห์ แต่ถ้าหากโง่งมไม่ยอมเดินบนสะพานแขวน แต่บินตรงผ่านหุบผา เกรงว่าคงจะต้องประสบกับอันตรายใหญ่หลวงในทันที!
แน่นอนว่าการที่พวกจักรพรรดิเซี่ยกล้าฝ่าฝืนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว! ตนเองมีพลังยุทธ์ระดับนี้ก็เดินอย่างซื่อๆ ไปเสียเถิด
“ช่างหนาวเสียจริง”
เดินบนสะพานแขวน
สะพานแขวนหนาวเหน็บหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่ข้างบน ไอหนาวอันไร้รูปร่างก็แพร่ผ่านจากใต้ฝ่าเท้าไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย คล้ายว่าการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดก็ยังมิอาจต้านทานเอาไว้โดยสมบูรณ์ได้
มีหลายครั้งที่ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ อยู่ภายในวังเทพจิตโลกาแล้วเกิดการยับยั้ง
เห็นได้ชัดว่าสำหรับผู้แกร่งกล้าระดับสูงกว่าที่หนีออกไปจากกรงขังของโลกแห่งนี้แล้ว การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย
เดินไปถึงครึ่งหนึ่งของสะพานแขวน
พรึ่บ
ไอหนาวอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกันออกมาเป็นสัตว์ประหลาดที่เป็นน้ำแข็งตลอดร่างตนหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง มันมีหางเส้นยาวและมีสามหัว
“ฆ่ามัน”
ทันใดนั้นร่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แยกออกเป็นสามร่าง
พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามร่างพุ่งสูงเสียดฟ้า หนึ่งในนั้นสะพายหอกยาวเล่มหนึ่ง อาศัยหอกยาวสำแดง ‘เคล็ดการร่วมโจมตี’ กระแสน้ำวนใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสาม ร่างกายของพวกเขาทุกคนต่างก็เปล่งประกายเจิดจรัส อีกทั้งยังปล่อยหมัดออกมาพร้อมกัน พลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นสามสายรวมกันเป็นจุดเดียวอย่างรวดเร็ว
“ปัง…”
ทลายเวหาอันสมบูรณ์! สามร่างแยกร่วมโจมตี!
เดิมทีภายใต้เขตลวงโลกเทียม สัตว์ประหลาดน้ำแข็งตนนั้นก็ยากจะรับได้อยู่แล้ว บวกกับตรงหน้าก็เริ่มฉีกออกเป็นโพรงสีดำสนิทขนาดมหึมา ร่างกายของสัตว์ประหลาดน้ำแข็งตนนี้ก็ถูกฉีกทึ้งภายใต้โพรงสีดำสนิท ร่างกายส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกพลังคุกคามขุมนี้ทำให้ตื่นตระหนกจนสูญสลายไป
“จัดการ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามที่ยืนอยู่บนสะพานแขวนต่างก็เผยรอยยิ้ม
เขาต่อสู้อยู่ใต้ดินมาสองหมื่นปีเศษ ได้ผสานรวมเคล็ดการร่วมโจมตี ‘ทลายเวหา’ กับ ‘ยุทธวิธีเมฆาแดง’ เข้าด้วยกันจนสมบูรณ์แบบอย่างที่สุดแล้ว
เดิมทีเคล็ดทลายเวหาอันสมบูรณ์ก็เป็นเคล็ดไม้ตายที่เป็นห้าสายผสานรวมกัน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านพลานุภาพอันแกร่งกล้า!
สามเคล็ดวิชาผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์โดยอาศัยเคล็ดการร่วมโจมตี
พลังคุกคามก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น
คาดว่าต่างก็ไปถึงขอบกั้นระดับเทพจักรวาลชั้นที่สามแล้ว ก็เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้
……
เผชิญกับภยันตรายบนสะพานแขวนเพียงแค่สามระลอกเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปถึงอีกด้านหนึ่งของสะพานแล้ว ที่บริเวณไกลออกไปก็สามารถมองเห็นโถงตำหนักแห่งหนึ่งได้แล้ว
“ในที่สุดก็เห็นโถงตำหนักเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นยินดีในใจ
อ้างอิงจากประสบการณ์ของคนก่อนๆ ตามปกติแล้วโถงตำหนักจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ แต่ก็จะอันตรายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ หมายจะมุ่งหน้าเข้าใกล้โถงตำหนักที่อยู่ไกลออกไป
“พรึ่บ”
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ารางเลือน
“เผชิญกับภยันตรายอีกแล้วหรือ อย่าขังข้าไว้ใต้ดินสองหมื่นกว่าปีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายขึ้นมาในทันใด ได้เห็นโถงตำหนักแล้ว เผชิญกับภยันตรายอีกได้อย่างไรกันเล่า
……
เคลื่อนที่ผ่านห้วงอากาศ แปรเปลี่ยนเป็นมายา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง
นี่คือจัตุรัสอันใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่ง ที่ศูนย์กลางจัตุรัสก็คือเจดีย์ที่สูงถึงสิบชั้นแห่งหนึ่ง ส่วนบริเวณโดยรอบจัตุรัสล้วนเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาว
“ที่นี่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงงอยู่บ้าง
“เจ้าเด็กน้อย ตรงหน้าเจ้าก็คือเจดีย์คละถิ่น เจดีย์คละถิ่นมีสิบชั้น ชั้นที่ห้าขึ้นไปก็สามารถได้สุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาได้ ยิ่งขึ้นไปสูงก็ยิ่งมีข้อดีมาก ทุกคนที่มีป้ายคำสั่งจิตโลกา มาที่วังเทพจิตโลกาเป็นครั้งแรก บุกผ่านสองอาณาเขตต่างก็มีโอกาสเช่นนี้ ชั่วชีวิตหนึ่งเจ้าก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว คว้าโอกาสเอาไว้เถิด” เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง พร้อมกันกับข้อมูลจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์คละถิ่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนก
เขาเข้าใจในทันที
เจดีย์คละถิ่น…
ที่วังเทพจิตโลกา สิ่งใดๆ ที่มีชื่อว่า ‘คละถิ่น’ ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
และผู้กลับชาติมาเกิดที่มีป้ายคำสั่งจิตโลกา มีเพียงการมาที่วังเทพจิตโลกาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังต้องบุกผ่านสองอาณาเขตอย่างปลอดภัย จึงจะมีคุณสมบัติเข้ามาได้ นี่ก็คือของกำนัลชนิดหนึ่งที่ ‘หยวน’ มอบให้กับผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกาทุกคน ให้โอกาสแล้ว จะคว้าโอกาสไว้ได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าเด็กรุ่นหลังแล้ว
“วังเทพจิตโลกาแห่งนี้ ถึงแม้ว่าภยันตรายจะเข้ามาอย่างฉับพลันเหลือเกิน แต่โอกาสนี้ก็มาถึงอย่างฉับพลันยิ่งเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลั้นหายใจ
…………………………………………….